บทที่ 7 ก้าวสู่จุดสูงสุด
ดวงตะวันสามดวงสาดส่องเจิดจ้ากลางนภา ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆหมอก
การตรวจกระดูกเสร็จสิ้นลงแล้ว ทว่าเสียงอึกทึกครึกโครมในบริเวณนั้นยังคงดำเนินต่อไป ผู้คนจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการคัดเลือกเป็ศิษย์ยังคงเฝ้ารอชมความคึกคัก
เบื้องหน้าเหล่าศิษย์ที่ผ่านการคัดเลือก มีเส้นทางขึ้นสู่ยอดเขาชิงเยวียนสองสาย
สายหนึ่งเป็เส้นทางที่ศิษย์ทั่วไปใช้สัญจรไปมา
อีกสายหนึ่งนั้นปกคลุมด้วยหญ้ารกชัฏ แลดูเก่าแก่และไม่ธรรมดา
นี่คือ "บันไดสู่์" อันโด่งดัง
เล่ากันว่านี่คือสมบัติล้ำค่าที่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักชิงเยวียนค้นพบโดยบังเอิญ แม้จะไม่สมบูรณ์นัก แต่เชื่อกันว่าน่าจะเป็ของบันไดโบราณเมื่อนานมาแล้ว ใช้เพื่อทดสอบศิษย์ในอดีต
“ผู้ที่ปีนป่ายได้สิบขั้น จะได้เข้าเป็ศิษย์ชั้นนอก”
“ผู้ที่ปีนป่ายได้ห้าสิบขั้น จะได้เข้าเป็ศิษย์ชั้นใน”
“ผู้ที่ปีนป่ายได้แปดสิบขั้น จะเป็ศิษย์สายตรง”
ชายชราอ้วนเตี้ยยืนอยู่เบื้องหน้าบันไดสู่์ กล่าวขึ้นเสียงดังฟังชัด
“แล้วถ้าปีนป่ายถึงยอดล่ะขอรับ?” หวังหู่ถามขึ้นด้วยความมั่นใจ
มุมปากของชายชราอ้วนเตี้ยยกขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาตอบคำถามนี้
“ปรมาจารย์กล่าวไว้ว่า ผู้ใดก้าวขึ้นถึงยอด ผู้นั้นจักเป็ศิษย์สายตรงของเ้าสำนักชิงเยวียน”
“ทว่าเมื่อหวนมองประวัติศาสตร์ของสำนัก แม้จะมีอัจฉริยะนับไม่ถ้วน แต่มีเพียงสองถึงสามคนเท่านั้นที่ทำได้”
“คนเ่าั้ล้วนแต่มีพร์ระดับสูงสุด ขออย่าได้ทะเยอทะยานจนเกินไป มิเช่นนั้นอาจไปได้ไม่ไกลนัก”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง
ถ้อยคำเ่าั้ล้วนกล่าวถึงผู้คนส่วนใหญ่
ในปีนี้ไม่ใช่ว่ามีเด็กสาวที่มีพร์โดดเด่นคนหนึ่งหรอกหรือ?
“ท่านผู้าุโขอรับ แล้วผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง หรือผู้ที่ฝึกฝนวิชามาก่อน จะได้เปรียบกว่าหรือไม่ขอรับ?” มีคนถามขึ้นอีก
ผู้าุโอ้วนเตี้ยกล่าวอย่างไม่เบื่อหน่าย
“ไม่ต้องกังวล บันไดหินจะกดขอบเขตพลังของเ้า”
หลังจากให้ความรู้แก่ทุกคน เขาก็ผายมือ
“จำกัดเวลาหนึ่งชั่วยาม เริ่มได้เลย”
สิ้นเสียง พลันมีศิษย์คนหนึ่งปักธูปยาวขนาดนิ้วหัวแม่มือลงในกระถางทองสัมฤทธิ์
การจับเวลาได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่ทุกคนต่างมองหน้ากัน ไม่มีใครยอมเป็คนแรก
“พวกขี้ขลาดตาขาว! ข้าไปก่อน!”
หวังหู่ก้าวเท้าอย่างองอาจขึ้นสู่บันไดหิน
ในชั่วพริบตา เขารู้สึกว่าปราณโลหิตในกายไม่เดือดพล่านอีกต่อไป ไม่อาจมอบพละกำลังที่เหนือกว่าคนทั่วไปแก่เขาได้
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงก้าวเดินต่อไปอย่างภาคภูมิใจ
สิบขั้น.....ยี่สิบขั้น.....
เมื่อถึงขั้นที่สามสิบ ร่างกายของเขาก็เริ่มโยกคลอน
ในเวลาเดียวกัน เสียงคำรามของเสือก็ดังแ่ๆ ออกมาจากภายในกาย พยายามต้านทานแรงกดดันมหาศาล
เขายังคงประคองให้ผ่านพ้นขั้นที่ห้าสิบไปได้
ผู้คนอื่นต่างก็ส่งเสียงอุทานด้วยความตกตะลึง
ได้เป็ศิษย์ชั้นในแล้ว!
เมื่อมีคนนำร่องแล้ว ผู้ที่ตามมาก็ทยอยก้าวขึ้นไปเช่นกัน ด้วยว่าธูปยังคงลุกไหม้ การเสียเวลาไปเปล่า ๆ อาจทำให้ปีนป่ายได้น้อยลงไปหนึ่งขั้นก็เป็ได้
ความเร็วในการปีนป่ายนั้นแตกต่างกันไป แต่สีหน้าของผู้คนไม่มีใครผ่อนคลายเลยแม้แต่คนเดียว
แรงกดดันจากทุกทิศทาง ยิ่งสูงขึ้น แรงกดดันก็ยิ่งมาก จนแทบทำให้หายใจไม่ออก
“นั่นหลินเจียงใช่ไหม เขาเดินเร็วมากเลยนะ”
“มู่หรงเซียวเร็วกว่าอีก!”
“ทำไมพวกเขาถึงดูสบายๆ ขนาดนั้นนะ”
…..
ผู้ที่ถกเถียงกันนั้นมีเพียงส่วนน้อย ส่วนใหญ่ต่างก็เร่งฝีเท้า ปีนป่ายไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น
จนกระทั่ง อิ๋งปิง ก้าวขึ้นไป
ความสนใจของผู้คนต่างหันเหมาที่นางโดยไม่รู้ตัว
เพราะทุกคนต่างอยากรู้
ว่าเด็กสาวผู้เยือกเย็นซึ่งมีรากฐานกระดูกระดับสูงสุดผู้นี้ จักก้าวไปได้ไกลเพียงใด
“บันไดที่สมบูรณ์นี้ ยังสามารถทดสอบจิตใจได้อีกด้วย”
เมื่อััได้ถึงแรงกดดันที่อ่อนแอ อิ๋งปิงส่ายหน้าเล็กน้อย
ยิ่งกว่านั้น บันไดสู่์แห่งนี้ช่างเก่าแก่เกินไปแล้ว
เกรงว่าอีกไม่นานก็จะเสื่อมประสิทธิภาพไป
ร่างอรชรราวกับดอกบัวน้ำแข็งก้าวก้าวสูงขึ้นเรื่อย ๆ
สิบขั้น.....ยี่สิบขั้น.....สามสิบขั้น.....
ราวกับก้าวเดินอยู่บนพื้นราบอย่างไรอย่างนั้น!
ความสูงแทบไม่มีผลกระทบต่อนางเลย นางทิ้งห่างคนอื่นๆ ไปอย่างรวดเร็ว
ผู้คนต่างถึงกับไม่อาจเก็บความตกตะลึงไว้ได้
นี่ไม่ใช่แค่เื่ของจะการขึ้นถึงยอดเขาหรือไม่
แต่นี่คือการมาทำลายสถิติเวลาของการขึ้นถึงยอดต่างหาก!
พร์ของนาง เกรงว่าจะเป็หนึ่งในบรรดาผู้มีพร์ระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสำนักชิงเยวียนเลยทีเดียว!
อิ๋งปิง ก้าวขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ
ในไม่ช้า นางก็มาถึงขั้นที่ห้าสิบสี่
“อืม?”
หวังหู่พบว่าด้านหลังเงียบสงบลงกะทันหัน เมื่อเขามองกลับไป ก็รู้สึกมือเท้าเย็นเฉียบ
ดวงตาของหญิงสาวราวกับจันทราหนาวเหน็บที่ลอยเด่นอยู่บนหมู่เมฆา และทอดเนตรมายังสรรพชีวิตทั้งปวง
ในชั่วพริบตานั้น เขาไม่กล้าสบตา และถอยเท้าออกไปโดยสัญชาตญาณ
“เป็ที่จับตามองของคนนับหมื่นเลยนะ”
หลี่โม่รำพึงขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
บางคนภายนอกเ็าแต่ภายในอบอุ่น บางคนภายนอกอบอุ่นแต่ภายในเ็า
แต่แบบยัยก้อนน้ำแข็งที่ภายนอกเ็าราวน้ำแข็ง แต่ภายในยังคงดุดันเช่นนี้ เป็ครั้งแรกที่เขาได้พบเจอ
เมื่อคิดดังนั้น เขาก็เริ่มเคลื่อนไหว
จะเก็บงำความสามารถไหมหรือ? ไม่มีทาง!
ยิ่งปีนได้สูงเท่าไร สถานะในสำนักก็จะยิ่งสูงขึ้นในอนาคต และก็จะยิ่งมีโอกาสได้พบปะกับผู้ที่มีชะตาฟ้าลิขิตดีๆ มากขึ้น
ขนแกะของยัยนั่นเอง เขายังรีดได้ไม่สะใจพอเลย
อีกอย่าง เขาก็อยากจะลองดูด้วยว่าตัวเองจะไปได้ไกลแค่ไหน
การตรวจกระดูกได้ผลออกมาว่าเขาเป็ระดับล่างสุด
ทั้งที่ตลอดมาก็ไม่รู้เลยว่าพร์ของตัวเองเป็อย่างไร
ร่างเซียนนี้ ในโลกแห่งวิชาการต่อสู้จะอยู่ในระดับใดกันแน่?
ก้าวเท้าขึ้นไป
อืม?
“นี่มันก็แค่บันไดธรรมดาๆ ไม่ใช่เหรอ?”
หลี่โม่เอียงคอ แล้วก้าวข้ามไปสามขั้นรวด
บนแท่นพิธี
“อิ๋งปิง เด็กสาวคนนั้น นิสัยถูกใจข้านัก!”
มองดูเด็กสาวที่ปีนไต่ราวกับพายุหิมะพัดผ่าน สตรีในชุดวังสองตาเป็ประกาย
การเคลื่อนไหวที่มากเกินไป ทำให้นางซึ่งเดิมก็ดูมีเสน่ห์อยู่แล้ว ยิ่งทวีเสน่ห์เย้ายวนขึ้นไปอีก
“เ้าสองตัวน้อยนี่จะลงเอยกันได้ไหมนะ?”
เซวี่ยจิง ลูบเคราขาวพลางครุ่นคิด
ในจดหมาย ศิษย์เก่าของเซวี่ยจิงซึ่งก็คือบิดาของหลี่โม่ เคยกล่าวว่าอยากให้อิ๋งปิงเป็ลูกสะใภ้ในอนาคต ทว่าตอนนี้ดูเหมือนตำแหน่งศิษย์สะใภ้ผู้นี้คงไม่มั่นคงแล้วกระมัง
รากฐานกระดูกระดับ丙 (ปิ่ง) จักเป็ศิษย์สายตรงไปได้อย่างไรกัน..?
เซวี่ยจิงพลันมองเห็นร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังก้าวเดินอย่างรวดเร็วอยู่บนทางขึ้นเขา
“ท่านเ้าสำนัก เด็กสาวผู้นั้นยกให้ข้าเถิด ข้าจะต้องสอนนางให้ดีงามแน่นอน!” ศิษย์น้องซางอู่กล่าวพลางตบหน้าอกปุๆ ด้วยความมึนเมาอย่างน่าขัน
บรรดาผู้าุโแทบจะทนดูไม่ได้ ต่างก็กล่าวขึ้นพร้อมกันว่า
“พอเถอะน่า ในหนึ่งวันมีสิบสองชั่วยาม เ้าหลับไปเสียหกชั่วยาม เมาไปเสียหกชั่วยาม!”
“ศิษย์น้องซางอู่ เ้าปล่อยนางไปเถอะน่า อย่าให้พร์ดีๆ ของนางต้องบิดเบี้ยวไปเพราะเ้าเลย”
“ไม่ได้! ไม่ได้เด็ดขาด! แม้เ้าจะฆ่าข้าตาย ข้าก็ไม่ยินยอม!”
เหล่าผู้าุโล้วนมีความคิดที่จะรับศิษย์ดีๆ แต่ในเื่นี้พวกเขามีความเห็นเป็เอกฉันท์ว่า ใครสอนก็ได้ แต่จะต้องไม่เป็ซางอู่ ผู้าุโแห่งยอดเขาเก้าเด็ดขาด!
ในเวลานั้นเอง
เสียงร้องของหงส์ดังแผ่กังวานไปทั่วฟ้า
ปรากฏว่าอิ๋งปิง ได้ยืนอยู่ ณ ปลายสุดของบันไดสู่์แล้ว! อีกา นกกางเขน ห่านป่า เหยี่ยว... นกนับไม่ถ้วนพากันโฉบเข้ามาจากทุกทิศทาง แล้วบินวนรอบกายเธออย่างว่าง่าย
ผู้คนนับไม่ถ้วนในลานประลองต่างยืนนิ่งงัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่บนแท่นพิธีนั้น เหล่าผู้าุโของสำนักชิงเยวียนต่างก็รับรู้ได้ พวกเขาดูราวกับมองเห็นนกสีขาวอมเทาคล้ายจันทราอยู่เื้ัอิ๋งปิง ขนปีกของมันเปล่งประกายเจิดจ้า แผ่รัศมีอันสูงส่งและลึกลับ
เ้าสำนักชิงเยวียน ผู้ที่เงียบงันมาตลอดพลันลุกขึ้นยืน
“สตรีผู้นี้สามารถหลอมรวมรูปกายร้อยปักษา! รวบรวมจิติญญาหงส์! และแสดงปรากฏการณ์แห่งการจุติของวิหคทมิฬได้!” ซ่างกวนเหวินชาง ดวงตามีประกายเจิดจ้า
ผู้คนบนบันไดสู่์ไม่สามารถมองเห็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติได้ ทว่าพวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องอันกึกก้องสะท้านฟ้า และเห็นนกนับร้อยบินวนรอบกายอิ๋งปิง
ยิ่งกว่านั้น หวังหู่ยังไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ว่าเงาร่างคล้ายนางฟ้าคนนั้นอยู่ห่างจากเขาเพียงสี่สิบก้าวเท่านั้น
ขณะที่เขากำลังจ้องมองด้วยแววตาอยากอย่างโจ่งแจ้ง และเตรียมจะเร่งฝีเท้าขึ้นไปอีกสองสามก้าว...
ตึง—
เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง
หลี่โม่?
เขาขึ้นมาถึงนี่ได้อย่างไรกัน?
“เ้าใช้วิธีการอะไรหลอกล่อบันไดสู่์!”
“นี่ยังจะคิดขึ้นไปยืนข้างนางอีกรึ? ลงไปเสียเดี๋ยวนี้!”
หวังหู่ดวงตาแดงก่ำ ใบหน้ามืดทะมึน เขาฝืนทนแรงกดดัน เตรียมจะดึงคอเสื้อหลี่โม่แล้วโยนเขาลงไป
หลี่โม่เพียงตอบกลับด้วยเครื่องหมายคำถามบนหน้า '?'
การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายช้าอืดอาดราวกับเต่าคลาน ถึงเพียงนี้แล้วยังไม่เลิกก่อกวนอีกหรือ?
แท้จริงแล้ว หลี่โม่ไม่ได้สนใจเื่เขาเลย
“ฮ่าฮ่าฮ่า กฎไม่ได้บอกไว้ว่าห้ามลงมือบนบันไดหินนี่นะ...”
“หา? เ้าว่าอะไรนะ?”
“ข้าว่า...”
ปัง—
หลี่โม่เตะเข้าที่เป้าอีกฝ่ายเต็มแรง!
เป็ความเ็ปที่เพียงแค่เห็นก็รู้สึกได้ เหล่าเด็กหนุ่มที่เห็นฉากนี้ ต่างก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว
“อั่ก!...”
ใบหน้าของหวังหู่พลันแดงก่ำเป็สีตับหมูในพริบตา ความเ็ปรุนแรงทำให้เขายืนไม่มั่นคง ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่ที่เขายืนอยู่คือบันไดหิน ซึ่งต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาล
“อ้าก!...”
เสียงกรีดร้องและเสียงกลิ้งค่อยๆ จางหายไป
“หลบเร็วเข้า!”
มีคนะโเตือน โชคดีที่ทุกคนหลบทัน ไม่ได้ถูกหวังหู่ที่กลิ้งลงไปราวกับลูกน้ำเต้าชนเข้า
“สงบลงแล้ว”
หลี่โม่ยักไหล่ แล้วเดินขึ้นไปต่อ
เมื่อครู่มีผู้ดูแลจ้องมองเขาอยู่ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร ดูเหมือนหวังหู่จะพูดถูก
บนบันไดสู่์ ไม่มีข้อกำหนดห้ามทำร้ายผู้อื่นจริงๆ เพียงแต่ปกติแล้วทุกคนไม่ได้อยู่ในสถานะคู่แข่ง การเสียเรี่ยวแรงไปก่อกวนผู้อื่นย่อมเป็การทำร้ายศัตรูสิบส่วน แต่ทำร้ายตัวเองไปด้วยแปดส่วน จึงไม่เคยมีใครทำเช่นนี้มาก่อน
“เด็กหนุ่มนั่นยิ้มแย้มสดใส แต่ลงมือหนักหน่วงจริงๆ นะ.”
“ไม่สิ นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ”
“เขาไม่ใช่รากฐานกระดูกระดับ丙 (ปิ่ง) หรอกหรือ?”
พลันมีคนกล่าวขึ้น ทุกคนจึงได้สติ
ใช่แล้ว ไม่ถูกต้องนี่นา!
เขาปีนขึ้นไปถึงขั้นที่ห้าสิบกว่าได้อย่างไร... ไม่สิ ตอนนี้ถึงขั้นที่แปดสิบแล้ว!
ท่าทางที่เดินสบายๆ ราวกับเดินเล่นนั้น ช่างดูผ่อนคลายและง่ายดายเสียจริง
หากการแสดงออกของอิ๋งปิงทำให้ทุกคนตกตะลึงและอิจฉา
การกระทำของหลี่โม่นั้น ทำให้ทุกคนประหลาดใจอย่างที่สุด
บ้าไปแล้วเรอะ นี่เรียกว่ารากฐานกระดูกระดับ丙 (ปิ่ง) รึไง?!
“ผู้ดูแลหาน รากฐานกระดูกของเ้าเด็กคนนี้ ท่านมิได้ตรวจผิดพลาดไปใช่ไหม?” ผู้าุโชายชราอ้วนเตี้ยกล่าวด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง
หญิงชราผู้ดูแลที่เพิ่งตรวจกระดูกให้หลี่โม่ ใบหน้าเปลี่ยนไป ทำได้เพียงกล่าวเสียงต่ำ
“อาจเป็เพราะข้าอายุมากแล้ว สายตาพร่ามัวจึงมองผิดไป”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา เหล่าผู้าุโต่างก็ครุ่นคิด
ผู้ดูแลผู้นั้นมีสายตาเฉียบคมและมีประสบการณ์สูง การตรวจกระดูกจะผิดพลาดได้อีกหรือ?
ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
เงาร่างบนยอดเขาได้เปลี่ยนจากหนึ่งเป็สองแล้ว
ดวงตาของอิ๋งปิงมีประกายประหลาดต่อเนื่อง
มาถึงยอดเลยหรือ?
ในสายตาของเธอ นี่ไม่ใช่เื่ยาก แม้จะเป็บันไดสู่์ที่สมบูรณ์ เธอก็เคยพบเจอผู้คนที่สามารถขึ้นถึงยอดมาแล้วนับไม่ถ้วน
แต่ในบรรดาคนเ่าั้ ไม่มีเขา!
สายลมพัดพลิ้ว เสื้อคลุมของหลี่โม่โบกสะบัด เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ช่างบังเอิญจริง เ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย.”
เมื่อมองลงมาจากยอดเขา ความรู้สึกปลอดโปร่งในอกพลันเอ่อล้นออกมา
เดิมทีเป็่เวลาอันงดงาม แต่กลับมีอีกาตัวหนึ่งไม่รู้จักกาละเทศะ พลันร่อนลงมาเกาะบนศีรษะของหลี่โม่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้