ชิงหลุนเริ่มบรรเลงบทเพลงแห่งหมู่ดาวขึ้นในที่สุด
ได้เวลาแล้ว จิติญญาของดาวหยิงโฮ่ก็พร้อมจะคืนสู่ทะเลแห่งหมู่ดาวแล้วเช่นกัน แม้หยิงโฮ่ในตอนนี้จะแตกต่างไปจากก่อน แต่เขาก็เป็นักรบแห่งดาราจักรของดาวหยิงโฮ่อย่างแท้จริง
ในที่สุดน้องสาวของนางก็ไม่ต้องตายแล้ว ไม่ว่าจะมองอย่างไร เื่ในวันนี้ก็น่าพึงพอใจเป็อย่างมาก
ดังนั้น นางจึงหยิบขลุ่ยหยกออกมาบรรเลงบทเพลงแห่งหมู่ดาวอย่างไม่รีรอ
ดวงตาของมั่วทิงอวี่ค่อยๆ ปิดลงอย่างเชื่องช้า ร่างของเขากลายเป็แสงดาว แล้วล่องลอยออกไป ดวงิญญาของเขามองดูคนที่ยังอยู่เป็ครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงกลับคืนสู่ทะเลแห่งหมู่ดาวในที่สุด
ซูฉางอันประคองวู๋ถงเอาไว้ พลางมองขึ้นไปบนท้องนภา ราวจะเห็นรอยยิ้มของมั่วทิงอวี่ เขาจึงส่งยิ้มตอบกลับไป มันเป็รอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริง เขารับรู้ได้ถึงผู้จากไป แม้มั่วทิงอวี่จะลาจากไปแล้ว แต่เขาก็ยังรับรู้ได้ถึงเขาอยู่ดี เขากำลังเฝ้ามองมาจากท้องนภาเบื้องบน...
และแล้ว นักดาบที่เก็บดาบเอาไว้ในฝักมานานนับสิบปี แต่ทันทีที่ดาบออกจากฝัก นักรบแห่งดาราจักรก็ถูกสังหารคนนั้น ก็ต้องหลับใหลตลอดไป
ในที่สุดเหล่าสายลับที่วนเวียนอยู่ภายในเมืองฉางเหมินก็ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนพื้นหิมะ... ดาวหยิงโฮ่ดับสูญ มั่วทิงอวี่ชีพวาย
เมื่อได้รับคำตอบที่้า พวกเขาก็กลายเป็ลำแสงแล้วพุ่งออกไป นำข่าวที่ได้ไปสู่ผู้เป็นายของตนในที่สุด
ชิงหลุนเองก็กำลังมองขึ้นไปบนท้องนภาเช่นกัน หัวใจของนางไม่ได้เรียบเฉยเฉกเช่นที่แสดงออกมาทางสีหน้าเลยสักนิด วินาทีที่ชายคนนั้นยอมสละชีวิตเพื่อช่วยหยิงโฮ่ นางรู้สึกใจสั่นอย่างน่าประหลาด นางไม่เข้าใจว่าทำไมคนๆ หนึ่ง ถึงไปตายแทนคนอีกคนด้วยรอยยิ้มได้ แต่นางก็รู้สึกขอบคุณมั่วทิงอวี่ที่ช่วยน้องสาวเอาไว้
สุดท้าย นางก็หันไปโค้งตัวให้ซูฉางอัน พลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ดูแลนางด้วย”
จากนั้น นางก็หมุนกายแล้วเดินจากไปไกล กระทั่งหายเข้าไปในความมืดมิดท่ามกลางสายตาไม่เข้าใจของซูฉางอัน
วู๋ถงลืมตาขึ้นในที่สุด นางไม่ได้เป็นักรบแห่งดาราจักรแล้ว ทว่ายังคงเป็ยอดฝีมือขั้นสูงอยู่ เพราะเคยเป็นักรบแห่งดาราจักรมาก่อน นางจึงเข้าใจเื่กฏแห่งพลัง รวมไปถึงองค์ประกอบแห่งพลังในโลกอย่างลึกซึ้ง ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น เพราะมั่วทิงอวี่ตัดเส้นแสงแห่งชะตาชีวิตของนางจนขาด ดังนั้น นางจึงไม่ถูกควบคุมโดยเหตุและผล ไม่ถูกบงการโดยฟ้าและดินอีก ดังนั้น แม้ตอนนี้นางจะไม่ใช่นักรบแห่งดาราจักร แต่นางก็ไม่จำเป็ต้องเกรงกลัวต่อนักรบแห่งดาราจักรเลยสักนิด
วู๋ถงหยัดตัวลุกขึ้นภายใต้การประคองของซูฉางอัน นางเห็นแผ่นหลังของชิงหลุนขณะเดินจากไป และเมื่อเห็นว่าดาวหยิงโฮ่สลายหายไปจากท้องฟ้า นางก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“อ้าก!!!” นางกรีดร้องดังลั่น พลันน้ำใสๆ ก็เอ่อล้นดวงตา
“...” ซูฉางอันอยากจะปลอบนาง แต่ก็ได้เพียงอ้าปากค้างเท่านั้น จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจกล่าวสิ่งใดออกมาได้เลย
เสียงกรีดร้องค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็ครวญคราง ร่างของนางค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นอย่างเชื่องช้า อาภรณ์บนร่างค่อยๆ ขาดออกทีละนิด จากนั้นขนนกสีเพลิงก็ค่อยๆ แทงออกมาจากร่างของนาง ก่อนจะปกคลุมร่างหญิงสาวเอาไว้ด้วยเวลาเพียงไม่นาน
“หงส์...” ซูฉางอันมองนกสีเพลิงขนาดใหญ่ตรงหน้า พลางกล่าวระคนอึ้งขึ้น ในตอนนั้นเอง ในที่สุดซูฉางอันถึงตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้ว อาจารย์หญิงของตนเป็หงส์นั่นเอง
หงส์ขนาดใหญ่แหงนหน้าขึ้นฟ้าพลางส่งเสียงโหยหวนออกมา นางร้องไห้ราวแทบขาดใจ ก่อนจะกระพือปีก ทำให้สายลมพัดกระหน่ำไปรอบบริเวณ ในที่สุด เมืองฉางเหมินในยามวิกาลก็ถูกเสียงโหวกเหวกโวยวายปลุกจนตื่นจากห้วงนิทรา ผู้คนจุดไฟให้แสงสว่างภายในบ้านหลังแล้วหลังเล่า ฝูงคนเดินออกมาจากบ้านของตน แล้วมองไปในทิศที่เสียงร้องดังขึ้น
เสียงอุทานดังขึ้นท่ามกลางฝูงคนครั้งแล้วครั้งเล่า สามัญชนทั้งหลายเคยพบเห็นสัตว์ประหลาดเช่นนี้เสียเมื่อไหร่ต่างก็มองนกั์สีเพลิงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดผวากันอย่างพร้อมเพรียง
“นั่นมันหงส์นี่นา!” ในที่สุดใครบางคนก็รู้ตัวตนที่แท้จริงของนกบนฟ้า
เสียงอุทานดังขึ้นมากกว่าเดิม
ร้อนไปถึงไท่โส่ว กู่เซียงถิงที่ต้องวิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์พร้อมกับเสื้อคลุมตัวใหญ่เขายังไม่ทันได้สวมชุดสุภาพตามกฎของราชสำนักเลยด้วยซ้ำ เขาปลอบประโลมฝูงคนที่ตกอยู่ในอาการตื่นตระหนกไปพลาง พลางก็นำลูกชายและทหารคนสนิทของตนตรงไปหานกั์ทันที
ไม่ใช่ว่ากู่เซียงถิงไม่กลัวหรอกนะ แต่เขาเป็ไท่โส่วของเมืองฉางเหมิน จึงต้องรับผิดชอบต่อประชาชนของตน ดังนั้น เขาต้องสืบให้รู้ชัด ว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้มีหงส์ปรากฏตัวขึ้นเช่นนี้
ในที่สุดวู๋ถงก็สงบลง นางบินวนอยู่บนท้องนภาเพียงครู่หนึ่งก็หมุนตัว เตรียมจะบินมุ่งไปทางทิศเหนือเสียแล้ว
ซูฉางอันรีบวิ่งเข้าไปหา แล้วะโขึ้นไปบนท้องนภาให้ดังที่สุดเท่าที่ตนจะสามารถทำได้ “อาจารย์หญิง! ท่านต้องใช้ชีวิตต่อไปให้ดี ท่านอาจารย์จะคอยดูเราจากบนท้องฟ้าเสมอ!”
“อี๊ด!” หงส์สีเพลิงส่งเสียงร้องโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ราวเป็การขานรับ
ในที่สุด ซูฉางอันก็วางใจได้เสียที เขาทรุดนั่งบนพื้นดินราวสูญเสียพลังทั้งหมดที่มีไปแล้วเช่นนั้น
สักพัก กู่เซียงถิงกับพวกก็มาถึง
หงส์เพลิงจากไปแล้ว เหลือเพียงเด็กชายที่นั่งอยู่บนพื้นดินโดยกอดดาบเอาไว้ในอ้อมแขนเท่านั้น กู่เซียงถิงรู้สึกคุ้นหน้าเด็กชายเป็อย่างมาก ทว่าก็นึกชื่อไม่ออกเสียที
กู่หนิงผู้เป็ลูกชายจำซูฉางอันได้ จึงรีบวิ่งเข้าไปหา
“ซูฉางอัน? เ้ามาทำอะไรที่นี่ เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ?” กู่หนิงพ่นคำถามรัวราวกับประทัด
ทว่าซูฉางอันกลับไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิด เพียงแหงนมองดวงดาวที่ละลานตาบนท้องฟ้าด้วยรอยยิ้มเท่านั้น
ผ่านไปนาน...
เขากล่าวขึ้นในที่สุด “เมื่อครู่ มีหงส์ผ่านมาทางนี้น่ะ”
วิถีชีวิตภายในเมืองฉางเหมินยังคงดำเนินต่อไป ส่วนเื่ที่ว่านกั์ตัวนั้นเป็หงส์จริงหรือไม่ หรือมาที่เมืองฉางเหมินเพื่ออะไร ก็ยังคงเป็เพียงหัวข้อในการล้อมวงคุยยามว่างของชาวบ้านเท่านั้น
ทว่ากู่ฉางอันกลับไม่คิดเช่นนั้น เขารีบเขียนเื่นี้ลงในจดหมาย แล้วสั่งให้ทหารนำมันไปส่งที่เมืองฉางอันอย่างเร่งด่วนทันที ทว่าคำตอบที่เขาได้กลับมา กลับมีเพียงคำว่า ‘อย่าได้กังวล’ เท่านั้น เื่นี้จึงต้องจบลงอย่างค้างคาในที่สุด
าในดินแดนทางเหนือค่อยๆ สงบลง ทางด้านซูฉางอันเองก็กลับไปเป็คุณชายซูที่ไม่ได้เื่ได้ราวคนเดิมอีกครั้ง สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปก็คือ มีดาบในฝักวางเอาไว้ในจุดที่เตะตามากที่สุดในบ้านนั่นเอง
เวลาเลยผ่านไปอย่างเงียบงัน ไม่ต่างไปจากม้าขาวที่วิ่งผ่านช่องแคบ
วันนี้ เมืองฉางเหมินครึกครื้นอย่างแปลกตา
วันนี้ ซูฉางอันอายุสิบหกปีแล้ว เพื่อนร่วมห้องของเขาก็มีอายุสิบหกแล้วเช่นกัน
สำหรับแผ่นดินนี้ คนอายุสิบหกนับเป็ผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว และเมื่อบรรลุนิติภาวะ ก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหามากมายด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นต่อจากนี้จะทำอะไรต่อไป? ทำงานอะไรเพื่อเลี้ยงชีพดี? จะแต่งงาน และมีลูกด้วยหรือเปล่า?
แน่นอนว่าสำหรับประชาชนทั่วไป และนักเรียนในสำนักแล้ว สิ่งนี้หาใช่เื่ที่ต้องมากังวลใจไม่ ซูฉางอันเองก็เช่นกัน แม้เขาจะมีฐานะดีไม่เท่าคนในชั้นเรียน อีกทั้งบ้านเรือนก็ยังเก่าและทรุดโทรม ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนบ้านของเพื่อนคนอื่นๆแต่อย่างไรเสีย บิดาของเขาก็เป็ถึงไป่ฟู่จ่างในกรมทหาร ขอเพียงเขาไม่คิดเื่การใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย ด้วยตำแหน่งของบิดาเขาย่อมหางานในกรมทหารได้อยู่แล้ว อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีอาชีพไว้เลี้ยงตัวแล้ว
แต่สมดังคำที่ว่า ต่อให้จะไม่เครียดเื่อนาคตก็ยังต้องกังวลเื่ปัจจุบันอยู่ดี ศิษย์ในสำนักเอง ก็มีเื่ที่ต้องกังวลใจอยู่เช่นกัน
ราชสำนักจะเลือกเด็กที่มีอายุสิบหก-สิบแปดที่มีคุณสมบัติและความสามารถจากทั่วทุกสารทิศเข้าไปศึกษาในสำนักขนาดใหญ่ต่างๆ ทุกๆ สามปี ซึ่งจะเลือกโดยมุ่งเน้นไปที่ศิษย์ในสำนักและศูนย์ฝึกการต่อสู้ต่างๆการคัดเลือกนี้จะพิจารณาจากความสามารถและพรสรรค์ส่วนตัวเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดแต่อย่างใด เรียกได้ว่า การคัดเลือกในครั้งนี้เป็เหมือนโอกาสที่จะพลิกชีวิตของสามัญชนที่ยากจนทั้งหลายเลยก็ว่าได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็สามัญชนหรือผู้มีฐานะ เพียงแค่มีบุตรที่ได้รับการศึกษาหรือฝึกการต่อสู้ ก็จะให้ความสำคัญกับการคัดเลือกซึ่งสามปีจะมีหนนี้เป็อย่างมาก
เมื่อการคัดเลือกเริ่มขึ้น เมืองฉางอันก็จะส่งขุนนางไปยังดินแดนต่างๆ โดยพวกเขาจะเป็ผู้ควบคุมดูแลการสอบคัดเลือกของคนที่มีคุณสมบัติ จากนั้นก็จะส่งผลการสอบกลับไปที่เมืองหลวง เพื่อให้เมืองหลวงคัดเลือกคนที่เหมาะสมมากที่สุดภายในระยะเวลาสิบวัน จากนั้นผู้ที่ผ่านการคัดเลือกก็จะถูกส่งไปศึกษาต่อที่สำนักขนาดใหญ่ต่างๆ ท้ายที่สุด เมืองฉางอันจึงจะส่งทูตส่งสารไปยังสถานที่ต่างๆเพื่อแจ้งให้คนที่ผ่านการคัดเลือกทหารนั่นเอง
และวันนี้ก็คือวันที่ทูตส่งสารมาที่เมืองฉางเหมิน
เหลือเวลาอีกเพียงชั่วหนึ่งก้านธูปเท่านั้น ทูตส่งสารก็จะมาถึงแล้ว... ทูตส่งสารจากเมืองฉางอันตรงต่อเวลามาก พวกเขาจะมาตรงเวลาพอดี ไม่ขาดไม่เกินไปเลยแม้แต่นิดเดียว
สำนักแห่งเมืองฉางเหมินถูกรายล้อมไปด้วยผู้ปกครองและศิษย์ที่เดินทางมารอผลการสอบ แน่นอนว่ายังรวมไปถึงเหล่าประชาชนทั่วไปทั้งหลายด้วย ในเมืองฉางเหมิน หากมีคนได้เข้าไปศึกษาในสำนักหรือสถานฝึกยุทธิ์ชื่อดังแม้แต่คนเดียว เท่านี้ก็นับเป็เื่ที่ยอดเยี่ยมจนเกินจะบรรยายแล้ว
ขนาดทูตส่งสารยังมาไม่ถึง ประชาชนในเมืองฉางเหมินก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงเื่นี้กันแล้ว
“เ้าว่าครั้งนี้เด็กในเมืองฉางเหมินของเราจะผ่านการคัดเลือก แล้วได้เข้าไปศึกษาในเมืองฉางอันสักกี่คนกัน?”
“น่าจะพอๆ กับปีก่อนนั่นแหละ อาจจะสาม หรือห้าคนเท่านั้น”
“ข้าว่า บุตรชายของท่านไท่โส่วต้องได้รับการคัดเลือกแน่ๆ ได้ยินว่าเขามีความรู้ด้านบุ๋นอยู่ในระดับสาม ทั้งยังมีความรู้ด้านบู๊อยู่ในระดับสองอีก ด้วยความสามารถเช่นนี้ คาดว่าเขาต้องได้เข้าไปศึกษาในสำนักระดับแนวหน้าของเมืองฉางอันอย่างแน่นอน”
“นั่นน่ะสิ สมแล้วที่คุณชายกู่สนิทชิดเชื้อกับจิ้นอ๋อง ดูสิ ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย ข้าว่าแม่นางซูโม่ที่โตมาพร้อมกับเขาเองก็ไม่เลวเหมือนกัน ว่ากันว่านางมีความรู้ด้านบุ๋นระดับสาม และมีความรู้ด้านบู๊ในระดับหนึ่งเชียวนะ”
“นั่นน่ะสิ ช่างเป็คู่กิ่งทองใบหยก เหมาะสมกันจริงๆ!”
ชาวบ้านพูดกันคนละคำสองคำ แลดูครื้นเครงเป็อย่างมาก ท่าทางมีความสุขของพวกเขา ราวกับบุตรหลานของตนได้รับการคัดเลือกอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งนี่ก็แสดงให้เห็นแล้ว ว่ากู่หนิงได้ใจชาวบ้านในเมืองฉางเหมินไปมากขนาดไหน
แต่ซูฉางอันที่รอผลอยู่ด้วยกลับไม่รู้สึกเช่นนั้นเลยสักนิด
แน่นอนว่าการสอบด้านบุ๋นของเขาแย่จนไม่อาจทนมองได้เลย ส่วนผลสอบด้านการบู๊ก็ช่างน่าอายจนยากจะเอื้อนเอ่ยด้วยเช่นกัน จะว่าไปแล้ว คุณชายซูช่างไม่มีพร์ด้านการศึกษาเอาเสียเลย หากจะว่ากันตามจริง เขาเองก็น่าจะคาดเดาเหตุการณ์เช่นนี้ได้ั้แ่แรกแล้ว ไม่น่าจะต้องเสียใจอะไรเลย
แต่ที่แย่ก็คือ เมื่อสองวันก่อนการสอบ จู่ๆ บิดาของเขาก็กลับมาจากกรมทหารด้วยใบหน้าแดงก่ำ ดูท่าน่าจะดื่มไปมาก ทันทีที่มาถึง เขาก็ลงไปนอนคลุกอยู่บนเตียงที่ถูกซักจนขาวสะอาดของซูฉางอัน โดยไม่สนลูกชายที่กำลังฝึกดาบอยู่เลยแม้แต่น้อย เป็เวลานาน จึงหยิบถุงที่บรรจุเงินก้อนออกมาท่ามกลางสายตาตกตะลึงราวกับเจอผีกลางวันแสกๆ ของซูฉางอัน
ซูฉางอันนับเงินในนั้นอยู่ครู่หนึ่ง มีทั้งหมดสามสิบแปดตำลึง
ในตอนนั้น ซูฉางอันลองคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง บิดาเป็ไป่ฟูจ่างมานานแปดปี เขามีเบี้ยเดือนอยู่ที่เดือนละสองตำลึงกับห้าร้อยอีแปะ เมื่อหักค่าเล่าเรียนรวมไปถึงค่าใช้จ่ายประจำวันของซูฉางอัน ในแต่ละเดือนก็น่าจะมีเงินเก็บเพียงหกร้อยอีแปะเท่านั้น เช่นนั้น เงินสามสิบแปดตำลึงนี้ ตลอดห้าปีที่ผ่านมา บิดาของเขาต้องเก็บหอมรอมริบ ต้องประหยัดมากขนาดไหนกันนะ ...เมื่อห้าปีก่อน เป็ตอนที่ซูไท่ตัดสินใจจะส่งซูฉางอันเข้าไปในสำนักในเมืองฉางอันนั่นเอง
จู่ๆ ซูฉางอันก็รู้สึกราวมีบางอย่างตื้ออยู่ที่ลำคอ เขาอยากจะพูดออกไป แต่ก็ทำไม่ได้ ซูไท่เอาเงินออกมาให้ในเวลาเช่นนี้ มีหรือที่ซูฉางอันจะไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร
“ก่อนจากไป แม่ของเ้าดึงมือข้าเอาไว้ แล้วบอกให้ข้าดูแลเ้าให้ดีให้เ้ามีอนาคต ข้าเลยมาลองคิดดู ต้องทำยังไงถึงจะมีอนาคตได้ล่ะ? ก็ต้องเล่าเรียนไงเล่า! หากได้ไปเรียนในสำนักที่ฉางอันก็จะมีอนาคต ดังนั้นข้าจึงส่งเ้าไปศึกษาที่สำนัก ข้ารู้ว่าเ้าไม่ชอบเล่าเรียน แต่การฝึกยุทธิ์ต้องใช้เงิน ทั้งเื่กินและเื่ที่อยู่อีก ทุกอย่างล้วนต้องใช้เงินทั้งนั้น สี่ปีที่เข้าไปในเมืองฉางอัน เ้าต้องได้กินดีอยู่ดี เมื่อถึงวันเทศกาลก็ต้องตัดเสื้อผ้าใหม่บ้าง จะปล่อยให้เ้าทำให้ข้าอับอายขายหน้าไปถึงที่เมืองฉางอันได้ยังไงกัน ทั้งหมดนั้นล้วนต้องใช้เงินด้วยกันทั้งสิ้น”
ขณะกล่าว ซูฉางอันรับรู้ได้ว่าบิดามีกลิ่นเหล้าเคล้ารุนแรงเหลือเกิน เขากล่าวพร่ำเพ้ออยู่คนเดียวโดยไม่รอให้ซูฉางอันได้กล่าวโต้ตอบ
“ข้าไม่มีปัญญาอะไร หาเงินมากมายมาไม่ได้ แต่ข้าลองคำนวณดูแล้ว ข้าเคยคำนวณั้แ่วันแรกที่เ้าเข้าไปศึกษาในสำนักแล้ว ว่าหากข้ากินแต่อาหารในกรมทหาร แล้วประหยัดเงินค่าเหล้าอีกหน่อย จนถึงตอนที่เ้าได้รับคัดเลือก ข้าก็น่าจะออมเงินได้มากพอให้เ้าใช้จ่ายในเมืองฉางอันได้แล้ว แต่เงินนั่นก็ไม่ได้มีจำนวนมากมายอะไร หากเ้าอยากฝึกวรยุทธิ์ เงินนั่นต้องไม่พอแน่”
“แต่ตอนนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว การสอบมาถึงแล้ว เมื่อเ้าได้รับคัดเลือกให้ไปเรียนต่อที่เมืองฉางอัน เ้าก็จะสร้างเกียรติให้ตระกูลของเรา ข้าเองก็จะไม่ผิดต่อแม่ที่เสียไปของเ้าแล้ว!” หลังพูดจบ ซูไท่ก็สะอึกด้วยความมึนเมา แล้วหลับไปในที่สุด... เขาก็เป็เหมือนพ่อแม่ทุกคนที่ไม่เคยสงสัยในความเฉลียวฉลาดของลูกเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาเองก็มั่นใจมากเช่นกันว่าไม่ว่าจะเป็ทางด้านบุ๋นหรือบู๊ ลูกของตนก็ต้องสอบได้ดีมากแน่ๆ ดังนั้นคืนนั้น เขาจึงหลับไปอย่างมีความสุขภายใต้ฤทธิ์เหล้าและความมั่นใจอันไร้สาเหตุที่มีต่อซูฉางอัน
ทว่าซูฉางอันกลับไม่อาจสั่งให้ตัวเองรู้สึกมีความสุขเฉกเช่นบิดาได้เลย เขามองเงินสามสิบแปดตำลึงในมือที่แสนหนักอึ้งสลับกับซูไท่ที่หลับอยู่บนเตียง นี่เป็ครั้งแรกเลย ที่เขารู้สึกผิดที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจเรียนก่อนหน้านี้
แต่เื่ราวในโลกก็เป็เช่นนี้เสมอ เมื่อรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไป นั่นก็สายเกินไปเสียแล้ว