แม่นมฉินเม้มปากเล็กน้อย ก่อนหันออกไปมองแสงสว่างยามสายนอกหน้าต่าง แล้วพึมพำออกมา “หากข้าไม่เข้าใจ เช่นนั้นความตรากตรำที่ผ่านมาก็คงไร้ค่า”
เมื่อคิดถึงการพบพานของนางแล้ว ย่าหลี่เองก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะจับไหล่ของแม่นมฉิน “ดีแล้ว เื่ที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป ไม่ว่าในอดีตเ้าจะลำบากมามากเพียงใด แต่พวกเราต้องมองไปข้างหน้า”
แม่นมฉินนึกถึงภาพของหลินฟู่อินที่เอาชนะหลินต้าหลางและจ้าวซื่อในบ้านหลิน ภาพอันองอาจที่นางเข้าปะทะกับทั้งสองอย่างซื่อตรงแล้วเอาชนะได้อย่างงดงามนั้น
นางััได้ว่าคนที่บ้านเดิมต่างก็หวาดกลัวเด็กสาวผู้นี้
หากในตอนนั้นนางกล้าที่จะลุกขึ้นสู้กับแม่สามีของนางเช่นนี้บ้าง ผลลัพธ์จะต่างออกไปหรือไม่นะ?
แต่ชีวิตในตอนนี้เองก็ไม่ได้เลวร้าย เพียงติดตามเด็กสาวผู้นี้ไปแล้วมีชีวิตที่มีความสุขเช่นนี้
แม่นมฉินดึงสติกลับมา จากนั้นก็ยื่นมือออกไปจับไม้กวาดที่ย่าหลี่ถืออยู่ แล้วแย้มยิ้ม “น้าหลี่ไปพักเถอะ ข้าจะทำต่อเอง”
“ไม่ ข้าจะทำเอง” ย่าหลี่ไม่ยอมปล่อย
“นิดเดียวเอง ข้าทำประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้ว” แม่นมฉินแย่งไม้กวาดมา แล้วกวาดแทนอย่างว่องไว
ย่าหลี่มองแผ่นหลังอันขันแข็งนั้นแล้วก็ยิ้มออกมา หลินฟู่อิน เด็กสาวผู้นี้มีความสามารถในการรวบรวมคนขยันเข้าหาตัวจริงๆ…
หลินฟู่อินขึ้นมานั่งอยู่บนเกวียนเทียมลาเพื่อรอเข้าเมืองได้สักพักแล้ว คิ้วของลุงหลิวเองก็โค้งขึ้นเมื่อเขาเห็นหลินฟู่อินและหลินซานหลาง เพราะหลินฟู่อินนั้นใช้จ่ายอย่างอู้ฟู่เสมอ และนางยังแบ่งปันสิ่งที่นางจับจ่ายมาเ่าั้ให้เขาบ้างเป็ครั้งคราว มีหรือที่เขาจะไม่ดีใจ?
“อ้าว ฟู่อิน จะเข้าเมืองอีกแล้วหรือ?” ลุงหลิวทักทายด้วยรอยยิ้ม
หลินฟู่อินเองก็ยิ้มตอบ “ใช่เ้าค่ะ”
“ได้ยินว่าเถ้าแก่ของภัตตาคารหลิวจี้นั่งรถม้ามาเยือนเ้าถึงที่แล้วกลับไปพร้อมไข่เยี่ยวม้าเต็มคันรถเลยนี่จริงหรือ?” ลุงหลิวถามถึงข่าวลือที่ลอยมาเข้าหู
ได้ยินคำถามนี้ เหล่าผู้โดยสารก็พร้อมใจกันผึ่งหูรอฟัง
นี่ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็ต้องปกปิด และเป็เื่ที่ไม่อาจปิดบังอะไรได้ หลินฟู่อินจึงพยักหน้ารับ “ใช่ ข้าได้ทำการค้ากับภัตตาคารหลิวจี้แล้ว”
“คงได้เงินมามากมายเลยใช่หรือไม่?” ใครสักคนถามขึ้นด้วยความอิจฉา
หลินฟู่อินเพียงยิ้มออกมา “เป็เพียงกิจการเล็กๆ เท่านั้น ต้นทุนเองก็ค่อนข้างสูงด้วย” จากนั้นก็หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อ “บ้านของข้าไม่ได้มีที่ดินที่ดีนัก และต่อให้มี ข้าก็ไม่มีความรู้ในการทำไร่ แต่ข้ายังมีเด็กอีกสองปากท้องให้ต้องเลี้ยง ข้าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากการหาวิธีอื่นในการทำเงิน”
ก็จริง คนในหมู่บ้านต่างก็รู้เื่ของครอบครัวนาง แม้แต่คนนอกหมู่บ้านก็ยังเคยได้ยินผ่านหู
มันไม่ง่ายเลย
นางยังเป็เพียงเด็กสาววัยกระเตาะ แต่กลับต้องเลี้ยงดูเด็กวัยยังไม่หย่านมถึงสองคน
ความอิจฉาในใจของเหล่าผู้ฟังมลายหายไป
ลุงหลิวเองก็กล่าวออกมา “เป็เื่ยากจริงๆ นั่นแหละ!” แล้วเขาจึงหันไปมองซานหลาง เพ่งไปที่กระเป๋าใบตุงของเขา ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้ม “ซานหลาง ในกระเป๋านั่นคืออะไรหรือ?”
สายตาของเหล่าผู้โดยสารพากันจับจ้องไปยังหลินซานหลางแทน
หลินซานหลางไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว เมื่อได้ยินคำถามนี้เขาจึงหัวเราะออกมาแล้วกล่าว “พ่อแม่ของข้า พี่น้องของข้า และน้องฟู่อินต่างก็ช่วยสนับสนุนข้า จนข้ามีโอกาสได้เข้าไปร่ำเรียนในเมืองขอรับ”
“โอ เข้าไปเรียนในเมืองงั้นหรือ?” ใครสักคนส่งเสียงขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ “การได้เข้าไปเรียนในเมืองนั้นมิใช่เื่ง่าย ข้าว่าบ้านหลินไม่น่ามีกำลังพอส่งนะ”
“ใช่ๆ เ้าหลินสองนั่นก็ดูไม่น่าส่งลูกชายไปเรียนในเมืองได้ไหว!” ใครสักคนส่งเสียงท้วงขึ้นมาอีก “หรือจะได้ความช่วยเหลือจากพี่น้องฝั่งพ่อภรรยากัน?”
“เห็นด้วย เ้าหลินสองคนนั้นน่ะหรือจะสามารถพอที่จะส่งเสียลูกได้? ข้าว่าอย่างไรก็ได้ความช่วยเหลือจากบ้านฝั่งเฟิงซื่อแน่”
เหล่าผู้โดยสารต่างก็แลกเปลี่ยนความเห็นกันไม่หยุด และเมื่อหลินซานหลางตั้งท่าจะอธิบายว่าเป็หลินฟู่อินต่างหากที่เป็คนช่วยเขา หลินฟู่อินก็ถองศอกใส่เขาเบาๆ
“ไม่ต้องพูด ให้เดากันไป” หลินฟู่อินขยิบตาให้กล่าวเสียงเบา
ว่าไปนั่น หากเื่รั่วไหลออกไปว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะนางแล้วละก็ คงมีพวกคนที่อยากป็นบัณฑิตแห่มาเคาะประตูบ้านนางกันไม่หยุดเป็แน่
หลินซานหลางเห็นหลินฟู่อินบอกให้หยุดจึงกลืนคำพูดลงคอ แล้วก้มหน้าลงโดยไม่กล่าวสิ่งใดอีก
มีเพียงลุงหลิวที่เห็นการเคลื่อนไหวของสองพี่น้อง เฟิงซื่อเองก็มีหลานที่วัยเหมาะกับการเข้าเรียนอยู่ที่บ้านเดิมของตน หากบ้านเดิมของเฟิงซื่อมีความสามารถพอที่จะส่งเสียใครสักคนได้แล้ว เหตุใดถึงไม่เลือกส่งลูกหลานของตัวเอง แต่กลับไปส่งลูกของพี่น้องที่แต่งออกจากบ้านไปแล้วกัน?
ข่าวเื่ที่หลินซานหลางเข้าไปเรียนในเมืองนี้เป็ข่าวใหญ่ในหมู่บ้านหูลู่ และผู้โดยสารเหล่านี้ก็จะไม่พลาดในการกระจายข่าวทันทีที่พวกเขากลับถึงหมู่บ้านเป็แน่
แน่นอนว่าข่าวนี้ยิ่งโหมไฟริษยาในใจของพวกเขามากขึ้นอีก ทั้งเื่ที่หลินฟู่อินทำเงินก้อนใหญ่ได้นั่นด้วย เหตุใดลูกหลานของบ้านหลินจึงมีโชคกันมากขนาดนี้กันนะ?
หากหลินซานหลางไปเรียนแล้วเช่นนี้ ก็จะแปลว่าบ้านใหญ่ของตระกูลหลินจะมีบัณฑิตถึงสองคน!
ในต้าเว่ยนี้ ไม่มีสิ่งใดที่มีค่ามากไปกว่าผู้รู้หนังสือ!
แต่แม้จะอยากอิจฉา แต่ก็ไม่อาจอิจฉาได้เต็มที่
เพราะปู่หลินเองก็เคยร่ำเรียนมาในสมัยที่เขายังเด็ก ดังนั้นการที่ลูกหลานของเขาจะอ่านออกเขียนได้บ้างจึงไม่น่าแปลกใจ
หลินฟู่อินพาหลินซานหลางไปส่งถึงโรงเรียนในเมืองด้วยตัวเอง ที่นั่นมีสวนกว้างใหญ่ ตัวบ้านสะอาดสะอ้าน ตัวสวนได้รับการบำรุงรักษาเป็อย่างดี เสียงเปิดหน้ากระดาษดังลอยมาตามลม ตอนนี้คงเป็เวลาเรียน
“พี่ซานหลาง ข้าเป็สตรี เพราะอย่างนั้นข้าจึงเข้าไปด้วยไม่ได้ ท่านเข้าไปติดต่อเ้าหน้าที่เื่เข้าเรียนด้วยตัวเองเสีย จากนั้นก็เหลือแค่ตั้งใจเรียนเท่านั้น” หลินฟู่อินร่ำลาหลินซานหลางที่ทางเข้า จากนั้นจึงโบกมือให้เขา “เข้าไปเถอะ ข้าไปก่อนนะ”
นางให้กุญแจร้านไว้กับหลินซานหลางพร้อมกับซาลาเปาลูกโตสี่ลูกที่นางกินไม่หมด แล้วจึงจากไป
หลินซานหลางมองแผ่นหลังของหลินฟู่อิน แล้วจึงกำหมัดแน่น ใจตั้งมั่นว่าเขาจะตั้งใจเรียนรู้และสร้างชื่อเสียงให้ได้!
เมื่อส่งหลินซานหลางเสร็จแล้ว หลินฟู่อินก็มุ่งหน้าไปยังร้านขายชาดของแม่นางฉิน
แม่นางฉินจำหลินฟู่อินได้เป็อย่างดี เพราะความประทับใจที่ฝังลึกต่อตัวหลินฟู่อิน
เมื่อนางเห็นหลินฟู่อินเดินมาแล้ว นางก็รีบทักทายออกมาทันที “คุณหนูหลิน อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์เ้าค่ะ” หลินฟู่อินทักทายด้วยรอยยิ้ม สีหน้าผ่อนคลาย “ได้ยินว่า่นี้ค้าขายได้ดีเลยใช่หรือไม่เ้าคะ?”
คนทำการค้าต่างก็ชอบการได้ยินในสิ่งที่เข้าหูกันทั้งนั้น นางจึงกล่าวออกมาทันที “ขอบคุณคุณหนู ่นี้ค้าขายได้ไม่เลวเลย”
เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นแล้ว หลินฟู่อินก็พอจะเดาได้ว่า่นี้คงทำมาค้าขึ้นจริงๆ อย่างไรเสีย แม้แต่ชาดที่นางซื้อไปในตอนนั้นที่เรียกได้ว่ามีคุณภาพต่ำที่สุดในร้าน ก็ยังใช้งานได้เป็อย่างดีมาจนถึงตอนนี้
และตัวที่แพงกว่านี้ก็คงมีคุณภาพที่ดียิ่งกว่า หลินฟู่อินเองก็อยู่ที่นี่มานานพอตัว และผ่านธุรกิจมาบ้างแล้ว นางจึงรู้ดีว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการทำธุรกิจในต้าเว่ยคือความซื่อสัตย์ และความใส่ใจต่อเม็ดเงินที่ใช้จ่ายไป
“เช่นนั้นข้าก็ขอแสดงความยินดีกับแม่นางฉินด้วย!” หลินฟู่อินแสดงความยินดีอย่างจริงใจ รอยยิ้มของแม่นางฉินจึงยิ่งเบิกบานขึ้นกว่าเดิม แล้วถามออกมา “ชาดที่ท่านซื้อไปคราวก่อน ใช้ได้ดีหรือไม่?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้