ภายในโรงน้ำชาหย่งซิน แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันส่องวูบวาบสลัวๆ กลิ่นบุหรี่ราคาถูกคลุ้งปนกับกลิ่นชาแก่ เสียงหัวเราะหยาบโลนของพวกนักเลงโต๊ะข้างๆ ดังรบกวนหู เสียงโต๊ะไม้เก่าเสียดสีกับพื้นกระดานลั่นเอี๊ยดๆ ทุกครั้งที่มีใครลุกหรือเปลี่ยนท่า
หลินตงไห่ นั่งกอดอกอยู่ที่มุมหนึ่ง เขาจิบชาหวานราคาถูก แต่รสชาติกลับขมจนแทบทนไม่ได้ ร่างของเขาเอนพิงเก้าอี้ไม้ตาเหลือบมองชายร่างกำยำผิวคล้ำที่มีรอยสักเส้นหยาบบนแขน"หลงเสี่ยวหู" นักเลงท้องถิ่นชื่อเสียงฉาวโฉ่ของย่านนี้
เสี่ยวหูตบแก้วเหล้าลงกับโต๊ะเสียงดัง ปั้ง!
“ว่าไงวะ ไอ้หนุ่ม!” เขาหรี่ตาแคบ มองหลินตงไห่เหมือนมองหมาป่าตัวเล็กที่คิดท้าทายสิงโต
“แกกล้ามาหาข้าด้วยเื่จิ๊บจ๊อยแค่นี้เหรอ แค่ร้านซาลาเปาเล็กๆ เนี่ยนะ?”
หลินตงไห่กำมือแน่น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา
“ไม่ใช่แค่ร้านเล็กๆ พวกมันกล้าทำตัวอวดดีขอแยกบ้านหนีออกจากตระกูลหลิน ข้าทนไม่ได้ที่เห็นพวกมันยิ้มหน้าบาน ทำตัวเหมือนคนมีความสุขจนแทบสำลัก ทั้งที่เมื่อก่อนพวกมันเคยคลานมาขอเศษข้าวแท้ๆ!”
เสี่ยวหูหัวเราะพรืด เสียงแหบพร่าเหมือนใบมีดกำลังครูดกับสนิม
“เหอะ! เื่แก้แค้ส่วนตัวแบบนี้ ดี! ข้าชอบว่ะ!”
เขากวักมือเรียกลูกน้องสามสี่คนที่นั่งเล่นไพ่อยู่ใกล้ๆ
“มานี่เว้ย! ไอ้เด็กนี่มันมีเื่ให้พวกเราเล่นสนุกแล้ว!”
พวกนักเลงหัวเราะ เสียงดังจนคนในโรงน้ำชาบางส่วนแอบเหลือบตามอง หลินตงไห่ล้วงถุงผ้าออกมาวางบนโต๊ะ เสียงเหรียญกับธนบัตรหยวนกระทบกันดัง กรุ๊งกริ๊ง
“นี่เงินมัดจำ!” เขากัดฟันพูดเสียงต่ำ
“พรุ่งนี้เช้า ข้าอยากเห็นร้านมันเงียบเหมือนป่าช้า!”
เสี่ยวหูคว้าเงินไปนับอย่างไม่เร่งรีบ แววตาโลภส่องประกายใต้แสงตะเกียง
“สบายมาก... แค่ไปหาเื่ร้านเล็กๆ ทุบโต๊ะนิดหน่อย ข่มขู่ให้ลูกค้าหนี แค่เนี้ย พวกบ้านนอกมันก็ไม่กล้าสู้แล้ว”
หลินตงไห่ยกคางสูงขึ้น ริมฝีปากยกยิ้มเย็น
“ไม่ต้องถึงกับพังร้านทั้งหมด แค่ให้มันขายไม่ได้สักสองสามวันก็พอ... ข้าอยากเห็นสีหน้าสิ้นหวังของพวกมัน!”
ลูกน้องคนหนึ่ง เป็ชายหนุ่มรูปร่างผอม หน้าแหลม ตาแดงก่ำเหมือนคนติดเหล้า หัวเราะเสียงต่ำ
“ถ้างั้นคืนนี้ก็เริ่มเลยดีไหมพี่หู? ฮ่าๆๆ ข้าอยากเห็นพวกบ้านนอกมันร้องขอชีวิต”
เสี่ยวหูหัวเราะดังลั่น กวาดเหล้าขาวเข้าปากอึกใหญ่จนหยดเหล้าหยดเลอะคาง เขาฟาดแก้วลงโต๊ะอีกครั้ง เสียงดังสะท้อนก้อง
“ดี! คืนนี้! เราจะให้พวกบ้านนอกนั่นลิ้มรสชาติงูเ้าถิ่นสักหน่อย!”
พวกนักเลงโห่เฮพร้อมกัน เสียงหัวเราะดังไปทั้งโรงน้ำชาเหมือนฝูงสุนัขป่าได้กลิ่นเื หลินตงไห่ยิ้มมุมปากอย่างสะใจ แต่ในใจกลับแฝงความกลัวเล็กๆ เขาเหลือบตาไปที่ประตูไม้ของโรงน้ำชา เงามืดข้างนอกยิ่งทำให้ทุกอย่างดูน่ากลัวขึ้นไปอีก
ยามค่ำในอำเภอหย่งหลีอากาศเย็นลง ลมพัดแ่พาเอากลิ่นหอมที่ยังหลงเหลืออยู่ของซาลาเปานึ่งสดจากร้าน “เยวี่ยหยินถัง” ลอยไปตามถนนสายเล็กๆ ที่เริ่มว่างเปล่า หลังจากปิดร้านตามปกติ หลินเซี่ยนกับแม่กำลังเก็บลังนึ่งไม้ไผ่ ส่วนอาเฟยกำลังปิดประตูร้านและตรวจเช็กกลอนเหล็ก
“วันนี้ขายหมดั้แ่บ่ายเลยนะเซี่ยนเอ๋อร์” หานซิ่วเหมยเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายอารามณ์ดี
“ค่ะ แม่... อีกไม่นาน เราน่าจะเก็บเงินพอสำหรับค่าบ้านแล้ว” เด็กหญิงตอบด้วยดวงตาเปล่งประกาย
แต่แล้ว…
เสียงฝีเท้าหนักหลายคู่ดังขึ้นจากทางตรอกมืดข้างร้าน
“เฮ้! นี่มันร้านซาลาเปาที่คนพูดถึงกันนี่หว่า” เสียงทุ้มต่ำเจือเสียงหัวเราะเย็นะเืดังขึ้น ก่อนชายร่างสันทัดสวมเสื้อกั๊กเก่าๆ สามสี่คนจะก้าวออกมาจากความมืด แววตาของพวกมันกวาดมองร้านด้วยความไม่เป็มิตร
อาเฟยหันกลับมาทันที ดวงตาเขาแข็งกร้าว
“พวกนายมาทำอะไรที่นี่?”
หัวหน้ากลุ่มนักเลงยิ้มเหยียด กัดไม้จิ้มฟันพลางว่า
“ก็ได้ยินว่าร้านนี้ขายดิบขายดี เลยอยากจะ ‘ดูแลความปลอดภัย’ ให้ซะหน่อย แต่แน่นอนว่ามันมีค่าธรรมเนียมอยู่แล้ว”
หลินเซี่ยนขมวดคิ้ว ร่างเล็กก้าวออกมาข้างแม่ทันที
“เราไม่้าคนดูแล! เชิญกลับไปเถอะค่ะ!”
คำพูดของเธอทำให้พวกนักเลงหัวเราะพรืดออกมา
“โห… ปากดีนะหนูน้อย! ฮ่าๆๆ ถ้าไม่จ่ายค่าคุ้มครอง ก็อย่าหาว่าเราไม่เตือนแล้วกัน!”นักเลงร่างสูงพูดพลางเตะเก้าอี้ข้างเท้าล้มครืน
อาเฟยก้าวออกมาบังหลินเซี่ยนกับแม่ทันที ร่างสูงโปร่งของเขาแม้ยังมีร่องรอยาแเก่า แต่สายตากลับเด็ดเดี่ยว
“ไปซะ ถ้าพวกแกไม่อยากเดือดร้อน!”
หัวหน้านักเลงหัวเราะเยาะ
“ไอ้หนุ่ม อย่างแกนี่นะจะทำให้ข้าเดือดร้อน ถุย! อย่าทำเป็เก่งเลย ถ้าไม่อยากให้ร้านนี้พัง!”
ปัง!
เสียงเหล็กกระแทกดังสนั่น ประตูร้านที่เพิ่งปิดถูกกระแทกจากด้านนอกจนสั่นคลอน นักเลงทั้งกลุ่มช่วยกันเตะ และถีบโต๊ะเก้าอี้จนล้มระเนระนาด
หลินเซี่ยนสะดุ้ง เธอหันมองอาเฟยอย่างหวาดหวั่น อาเฟยกันหลินเซี่ยนและหานซิ่วเหมยไว้ด้านหลัง แม้จะหวาดหวั่นกับสถานการณ์ตรงหน้าแต่ในดวงตาของเขากลับนิ่งเย็น เขาควักเหรียญทองแดงออกมาจากกระเป๋าเสื้อ หย่อนลงพื้นดัง กรุ้งกริ้ง ก่อนจะพูดเสียงเรียบ
“หยุด! พวกแกดูนี่! รู้จักเหรียญนี่ไหม?”
พวกนักเลงชะงักทันที เมื่อเห็นตราประทับเล็กๆ บนเหรียญทองแดงที่เป็สัญลักษณ์เฉพาะของ“กองกำลังรักษาความสงบ” ซึ่งปกติจะไม่อยู่ในมือคนทั่วไป หัวหน้านักเลงหน้าเปลี่ยนสีทันที
“นี่…นี่แกเป็ใครวะ?”
อาเฟยก้าวเข้าหาพวกมันทีละก้าว แววตาคมปลาบ
“ฉันเป็ใครไม่สำคัญหรอก... แต่คนหนุนหลังฉันต่างหากที่ทำให้พวกแกซวยได้ แค่ฉันยกหูโทรศัพท์ถึงเขา แค่กริ๊งเดียวเท่านั้น ...”
เพียงแค่ได้ยินคำขู่ ทุกคนก็เบิกตากว้าง
“จะให้ฉันโทรรายงานเื่พวกแกดีไหม?” อาเฟยถามเสียงเย็นพลางยกสมุดเล็กที่มีเบอร์โทรทางราชการ
“ม่ะ...ไม่ต้อง!” หัวหน้านักเลงถอยหลังแทบสะดุด เขารู้จักเหรียญทองแดงสัญลักษณ์เฉพาะของ“กองกำลังรักษาความสงบ”พวกนี้กับเขาเหมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง เขาจะไปยุ่งเกี่ยวกับพวกทางการพวกนี้ไม่ได้เด็ดขาด หัวหน้านักเลงทำปากขมุบขมิบบอกพรรคพวก “ไปโว้ย! เราไป!”
ในพริบตา พวกนักเลงวิ่งหายเข้าตรอกมืด ทิ้งความเงียบไว้ตรงหน้า
หลินเซี่ยนยืนนิ่ง ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความตกตะลึง ก่อนจะมองอาเฟย
“พี่อาเฟย…เมื่อกี้…”
อาเฟยถอนหายใจ วางมือลงบนหัวเธอเบาๆ “ไม่ต้องห่วงแล้ว เซี่ยนเอ๋อร์ ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับร้านเราอีก”
หานซิ่วเหมยมองเขาด้วยความรู้สึกผิด
“อาเฟย… พวกเราทำให้เธอต้องลำบากแสดงฐานะแล้ว”
อาเฟยส่ายหน้า “เพื่อความปลอดภัยของทุกคน ต่อให้ผมต้องโทรหาคุณลุงจริงๆเพื่อขอความช่วยเหลือผมก็จะทำครับน้าซิ่วเหมย”
หลินเซี่ยนกำมือแน่น หัวใจเต้นแรง เธอมองอาเฟยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อใจและตื้นตัน
“ขอบคุณนะพี่อาเฟย…”
เขายิ้มบางๆ พลางหันกลับไปที่ร้านจัดโต๊ะและเก้าอี้ที่ล้มระเนระนาดให้เข้าที่ตามเดิม
“ต่อไปนี้ เราต้องระวังให้มากกว่าเดิม เพราะมีคนจงใจจะเล่นงานเราแล้ว”
ภายในโรงน้ำชาหย่งซินที่บรรยากาศยังอบอวลด้วยควันบุหรี่ราคาถูกและกลิ่นชาหมักเก่า หลินตงไห่ฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะไม้เสียงดังลั่น ความโกรธที่คุกรุ่นในใจแทบจะพุ่งทะลุออกมาทางดวงตา
“ไม่ได้เื่! พวกแกทำงานกันเหมือนพวกขี้ขลาด!” เขาตวาดใส่พวกนักเลง เสียงดังจนโต๊ะข้างๆหยุดหัวเราะแล้วแอบเหลือบมอง
เสี่ยวหูขบฟันแน่น ดวงตาขุ่นเคือง
“อย่ามาหาว่าพวกข้าขี้ขลาดนะโว้ย ไอ้เด็กเวร! ไอ้หนุ่มที่ร้านนั้นมันโชว์เหรียญของกองกำลังรักษาความสงบ! แกคิดว่าใครอยากมีปัญหากับทางการในยุคนี้กันวะ!”
ลูกน้องอีกคนเสริมด้วยเสียงสั่นเครือ
“ใช่ พวกนั้นมีเส้นสายของจริง ขืนยุ่งต่อเราได้หัวหลุดแน่ๆ”
หลินตงไห่กัดฟันกรอด นิ้วมือจิกแน่นกับขอบโต๊ะจนเล็บแทบหัก เขาสูดหายใจแรงแล้วลดเสียงลงต่ำ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“งั้นเราก็เปลี่ยนวิธี... ไม่ต้องเผชิญหน้าเอง แต่ลอบกัดพวกมัน!”
เสี่ยวหูเลิกคิ้วมองเขาอย่างสนใจ “หมายความว่าไง?”
หลินตงไห่โน้มตัวเข้ามาใกล้ วางข้อศอกลงกับโต๊ะ ดวงตาเป็ประกายเ้าเล่ห์
“แทนที่จะใช้กำลัง เราก็ใช้ปากคน… ถ้าลูกค้าไม่กล้ามาซื้อ ร้านพวกมันก็จะอยู่ไม่ได้ เหอะ! ถ้าคนทั้งตลาดเชื่อว่าพวกมันเกี่ยวข้องกับเื่ผิดกฎหมาย ใครจะยังกล้าไปกินซาลาเปาพวกมันล่ะ?”
เสี่ยวหูหัวเราะพรืด
“อืม... ข่าวลือ... แผนสกปรก ดี! ในเมืองเล็กๆแบบนี้ ข่าวแพร่เร็วมาก”
หลินตงไห่ยกยิ้มเย็น
“พวกแกก็แค่ปล่อยข่าวว่า ‘ร้านซาลาเปาเยวี่ยหยินถังเอาของเสียๆมาทำ’ หรือ ‘ชายแปลกหน้าในร้านเยวี่ยหยินถังเป็พวกหนีคดี’ ข่าวพวกนี้กระจายเร็วกว่าไฟลามทุ่งอยู่แล้ว”
นักเลงหน้าแหลมพูดพลางยิ้มเหี้ยม
“แล้วเราก็ไปก่อกวนร้านเป็ระยะๆ ลูกค้ายิ่งหนีหายเร็วขึ้น”
หลินตงไห่พยักหน้า
“ถูกต้อง... อีกอย่าง พวกแกอาจจะใส่ร้ายเพิ่มด้วยว่า ‘ร้านเยวี่ยหยินถังทำซาลาเปาไม่สะอาดมีคนกินแล้วท้องเสีย’ แค่ข่าวเดียว พวกมันก็เสียลูกค้าไปครึ่งหนึ่งแล้ว!”
เสี่ยวหูลูบคางหัวเราะต่ำ
“แกนี่มันเลวได้ใจเลยวะ ไอ้หนู”
หลินตงไห่กำหมัดแน่นแล้วพูดเสียงกร้าว
“เลวยังไงก็ช่าง... ขอแค่ให้พวกมันเ็ปที่สุด!”
เสี่ยวหูเคาะโต๊ะ ปึง!
“ดี! พรุ่งนี้ข้าจะให้ลูกน้องปล่อยข่าวลือทั่วตลาด... แกเตรียมเงินมาอีกส่วนเถอะ เื่นี้ต้องใช้คนแพร่ข่าวเยอะหน่อย”
หลินตงไห่ล้วงถุงเงินใบเล็กออกมาโยนลงโต๊ะ
“นี่เป็เงินล่วงหน้า คราวนี้... อย่าให้พลาดล่ะ”
เสี่ยวหูยิ้มมุมปาก พยักหน้าให้ลูกน้อง ก่อนจะหันมามองหลินตงไห่
“แล้วเื่ไอ้หนุ่มคนนั้นล่ะ? เหรียญนั่นมันของจริงนะโว้ย ถ้าแกไปแตะตรงๆแกซวยแน่”
หลินตงไห่แค่นหัวเราะเย็นะเื
“ไม่ต้องแตะมันตรงๆ... แค่ปล่อยข่าวว่ามันเป็โจร หรือคนหลบหนีความผิด มันก็พอจะสร้างปัญหาให้ร้านได้เอง”
แววตาของทุกคนบนโต๊ะเปล่งประกายความชั่วร้าย เหมือนฝูงอีกาที่กำลังจะโฉบลงใส่ซากสัตว์ที่อ่อนแรง
เสียงหัวเราะต่ำๆดังระงมภายในโรงน้ำชา “ฮ่าๆๆ!”
ในเงามืดมุมห้องบริเวณเสาไม้เก่า มีชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่เงียบๆ เขาสูบไปป์ที่พ่นควันเบาๆ พลางจ้องไปยังกลุ่มหลินตงไห่ด้วยสายตานิ่ง เขารู้ดีว่า แผนสกปรกแบบนี้... ถ้าร้านซาลาเปานั้นไม่เตรียมตัวรับมือให้ดี อาจถึงขั้นพังทั้งกิจการในพริบตา
