ความดีใจของแม่ชีไท่ซั่นค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็หวาดกลัว กระทั่งได้ยินประโยคสุดท้ายของลู่เจียงเป่ย แม่ชีไท่ซั่นใจนฉี่แทบราด พลางโขกหัวกับพื้นอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดนางก็หยัดกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วหันกลับไปยังเหล่าแม่ชีน้อย กวาดสายตามองพวกนางไปมาราวกับจะกินคน ก่อนแผดเสียงถามอย่างเหลืออด “บอกมาเดี๋ยวนี้ ใคร! ใครใช้แท่นเตา! ใครจุดไฟ?”
ไม่มีเสียงตอบจากผู้ใด แม่ชีทั้งเจ็ดสิบเจ็ดคนเงียบสนิทไร้เสียงตอบรับ
แม่ชีไท่ซั่นสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ก่อนจะตะเบ็งเสียงเอ่ยอีกครั้ง “ไม่ว่าจะเป็ใคร หากเ้าเดินออกมาตอนนี้ ข้าจะยังไว้ชีวิตเ้า แต่หากเ้าถูกจับได้ในภายหลัง ข้าจะฆ่ามันผู้นั้นแน่นอน”
แม่ชีทั้งหมดสบสายตากันไปมาอยู่พักใหญ่ แต่ก็ไม่มีใครยอมรับ
แม่ชีไท่ซั่นแผดเสียงก้องกังวาน “ใครก็ตามที่หาตัวผู้กระทำผิดได้ ข้าจะให้รางวัลยี่สิบ... สามสิบตำลึงเดี๋ยวนี้เลย!”
ทันใดนั้นในกลุ่มคนพลันเกิดเสียงซุบซิบดังเซ็งแซ่ ไม่นานแม่ชีวัยกลางคนรูปร่างสูงอวบผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาจากฝูงชนพลางยกมือชี้ไปยังแม่ชีข้าง ๆ ที่กำลังก้มหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “วันนี้ยามไกสือสามเค่อ[1] ข้าเห็นไหวซินถือกล่องอาหารกลับห้องไปเ้าค่ะ”
ทุกคนต่างมองแม่ชีที่กำลังก้มหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน แล้วเริ่มวิพากษ์วิจารณ์เสียงดังอื้ออึง
“ยามไกกระนั้นหรือ? ทุก ๆ วันเมื่อถึงยามซวี ประตูห้องครัวจะถูกปิดคล้องกุญแจ แล้วอาหารนั่นมาจากที่ไหน? หรือว่านางแอบทำ?”
“ไม่ผิด ไหวซินผู้นี้ขึ้นชื่อว่าเป็คนตะกละตะกลามยิ่ง นางมักจะนำของกินในห้องของตนมากินยามดึก ข้าเองก็เคยเห็นอยู่หลายครั้ง”
“ข้าเองก็เห็นอยู่สามสี่ครา ต้องเป็นางที่ทำอาหารอยู่ในนี้แล้วลืมดับไฟจนเกิดเพลิงไหม้แน่นอน”
“นี่ เ้ายังจำได้หรือไม่? มีครั้งหนึ่งที่นางคัดลอกพระคัมภีร์เสร็จแล้วออกไปทั้งที่ไฟยังไม่ดับ วันต่อมา ตะเกียงที่สว่างมาทั้งคืนก็เผาผลาญน้ำมันตะเกียงจนแห้งเหือด อีกทั้งบนโต๊ะก็ยังเป็รอยสีดำอีกด้วย”
“ข้าจะไปลืมได้อย่างไร ครั้งนั้นทำให้ข้าหวาดกลัวยิ่งนัก นั่นเกือบจะทำให้ไฟไหม้ได้เลยนะ”
“ไหวซินขึ้นชื่อว่าเป็คนขี้ลืมที่สุด”
“...”
ความจริงแล้ว มีเก้าถึงสิบคนในกลุ่มแม่ชีเหล่านี้ที่เคยใช้หม้อใช้ช้อนต้มอาหารมื้อดึกบนแท่นเตา ไม่เพียงเท่านั้น ในคืนวันนี้ยังมีแม่ชีอีกสิบกว่าคนที่ปิ้งมันเทศและข้าวโพดอยู่ ต่างก็พากันพูดคุยถึงชายหนุ่มแซ่เซียว องครักษ์จิ่นอีเว่ยรูปงามทางห้องปีกตะวันตก ขณะเดียวกันก็ทำอาหารยามดึกไปด้วย พวกนางพากันเดินยกอาหารออกจากครัวพลางพูดคุยหัวเราะคิกคัก จนลืมสังเกตว่าไฟนั้นดับไปแล้วหรือไม่...
ว่ากันว่ากฎหมายไม่สามารถลงโทษคนกลุ่มใหญ่ได้ อีกทั้งคนเหล่านี้ก็ยังเป็พวกเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเปิดโปงพวกนาง ขณะนี้มีคนเดินออกมาเรียกชื่อไหวซิน จึงทำให้คนที่เหลือพลอยมีสบายใจไปด้วย ต่างพูดสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับไหวซิน เพราะอยากให้นางเป็แพะรับบาปแทนคนทั้งหมดเสียให้ได้
ไหวซินผู้นี้ เดิมทีเป็ลูกศิษย์ของแม่ชีไท่ซี เหตุเพราะนางไม่อยากทำงานตัดผ้าที่ไม่ได้กำไร จึงต้องไปพึ่งพิงแม่ชีไท่เฉิน นางมักจะช่วยเหลือไท่เฉินทำเื่น่ารังเกียจเสมอ เช่น รับ “เงินถวายทวยเทพ” จากแม่ชีที่ไม่สบายเมื่อมารับยา ทั้งยังนำเื่ที่มีคนไม่พอใจแม่ชีไท่เฉินและแอบนินทาลับหลังไปรายงานต่อนาง ไม่กี่วันหลังจากนั้น นางก็หลอกเจินจิ้งไปให้แม่ชีไท่เฉินลงโทษ ดังนั้นในอารามแห่งนี้ ไหวซินจึงถูกทุกคนทอดทิ้งและมีคนจำนวนไม่น้อยที่เกลียดชังนาง
เมื่อวานนี้ไท่เฉินสิ้นอำนาจไปแล้ว ไหวซินที่ตาไวมือไวจึงกลับไปเป็ลูกศิษย์ของแม่ชีไท่ซีอีกครั้ง นางทำหน้าที่ทำความสะอาดลานวัด ด้วยเหตุนี้จึงไม่ถูกแม่ชีไท่ซั่นขายออกไป
คืนวันนี้ไหวซินทำอาหารบนแท่นเตาจริง ๆ นางจำได้ชัดเจนว่าตอนที่ตนกำลังจะออกไป แม้แต่เปลวไฟก็ไม่เหลือไว้สักประกายเดียว ทว่าทุกคนกลับกล่าวโทษนางเช่นนี้ ทั้งยังขุดเื่เก่าเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาอีก เห็นได้ชัดว่า้าผลักให้นางตกลงไปตาย
ไหวซินคุกเข่าต่อหน้าแม่ชีไท่ซั่นแล้วร้องไห้เสียงดังพลางเอ่ยว่า “ข้าน้อยไม่ได้รับความเป็ธรรมเ้าค่ะ ท่านอาจารย์ป้าอย่าเชื่อคำพูดพล่อย ๆ ของพวกนางนะเ้าคะ เพียงเพราะข้าน้อยเคยมีปัญหากับพวกนาง ทุกคนจึงกล่าวโทษข้าว่าเป็คนทำให้เกิดเพลิงไหม้”
แม่ชีไท่ซั่นยิ้มเยือกเย็น “หากมีแค่สองสามคนกล่าวโทษเ้า ข้าก็ยังพอคิดได้อยู่ว่าเ้าอาจไม่ได้รับความเป็ธรรม หรือเ้าจะบอกว่าคนทั้งวัดสุ่ยซังแปดสิบกว่าคนนี้ ไม่มีใครให้ความยุติธรรมแก่เ้าเลยอย่างนั้นหรือ? เ้าอยู่ที่นี่มาสิบเอ็ดปี แม้แต่เพื่อนที่ดีต่อเ้าก็ไม่มีสักคนหรือ?” ครั้นสิ้นเสียง แม่ชีไท่ซั่นจึงะโอีกครั้ง “พวกเ้า มีใครอยากออกมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนางบ้าง ข้าจะให้รางวัลคนผู้นั้นห้าพันเหรียญ”
แม่ชีทั้งหลายพร้อมใจกันส่ายหัว ต่างพูดเป็เสียงเดียวกันว่า “นางพูดจาเหลวไหล” “พวกเราจะไม่ให้ความยุติธรรมแก่นางเด็ดขาด” “ต้องเป็นางที่วางเพลิงแน่นอน” “นางฉวยโอกาสช่วยแม่ชีไท่เฉินตอนที่เกิดความวุ่นวาย” “นางเป็ลูกศิษย์คนสนิทของแม่ชีไท่เฉิน แต่ก่อนนางก็มักจะบอกว่าแม่ชีไท่เฉินเป็เ้าของวัด”
ไหวซินขาอ่อนยวบลงไปกองกับพื้นด้วยความโศกเศร้า ในวันนี้นางเข้าใจแล้วว่าอะไรคือ “เมื่อตกต่ำทุกคนต่างเหยียบย่ำ” ทันใดนั้นในใจของนางพลันสลดและหมดหวัง เมื่อก่อนนางเคยรีดไถเงินของพวกนาง ตอนนี้พวกนาง้าจะรีดไถชีวิตของตน ทุกคนต่างดิ้นรนใช้ชีวิตอยู่ในอารามแห่งนี้อย่างยากลำบาก จึงไม่มีใครเห็นแก่มิตรภาพของพวกเดียวกันเลย
แม่ชีไท่ซั่นพยักหน้าพอใจ ก่อนหันกลับไปเอ่ยกับลู่เจียงเป่ย “ใต้เท้า ข้าสืบสวนจนแน่ชัดแล้ว ผู้ร้ายที่วางเพลิงคือศิษย์เลวไหวซิน เป้าหมายของนางก็เพื่อช่วยเหลือแม่ชีไท่เฉินคนชั่วช้าเ้าค่ะ”
ลู่เจียงเป่ยไม่แม้แต่จะทอดตามองผู้วางเพลิงที่อยู่บนพื้น ทว่ากลับทอดตามองท้องฟ้าด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มก็ไม่เชิง พลางเอ่ยเสียงเนิบนาบ “มัดนางไว้ พรุ่งนี้ตอนเที่ยงลงโทษนางด้วยการเผาไฟ”
เมื่อสิ้นประโยคนั้น ทุกคนต่างใกันยกใหญ่ เหล่าแม่ชีที่ใช้แท่นเตาในคืนนี้ล้วนตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว น่ากลัวจริง ๆ คนที่นั่งฟุบอยู่ตรงนั้นเกือบจะเป็พวกนางไปเสียแล้ว ภายใต้รางวัลใหญ่ย่อมมีผู้กล้าเสมอ เมื่อครู่นี้หนึ่งในพวกนางก็ถูกเงินสามสิบตำลึงของแม่ชีไท่ซั่นล่อหลอก เพียงไม่นานก็จับตัวคนร้ายได้ และทำให้คนอื่นเป็แพะรับบาปไป หากไม่เป็เช่นนี้ มีหรือพวกนางจะยังมีชีวิตรอด?
ยังมีแม่ชีน้อยอีกหลายคนที่ยังตกตะลึงกับ “เทพที่ลอยเหนือนภากับฝ่ามือเรียกลม” ของชายสี่คนเมื่อครู่ ความคิดเพ้อฝันพรั่งพรูออกมาจากหัวใจของพวกนางไม่น้อย ทว่าเมื่อได้เห็นลู่เจียงเป่ยเอ่ยคำว่า “ปะาด้วยการจุดไฟเผา” ออกมาอย่างง่ายดายจนทำให้ผู้คนใกลัว ราวกับว่าการสังหารคนคนหนึ่งสำหรับเขาถือเป็เื่ธรรมดาเสมือนดื่มน้ำ กินข้าว และเดินเท่านั้น ทำให้หัวใจของเหล่าแม่ชีแตกสลายไปชั่วพริบตา พวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ท่องยุทธภพที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีชอบช่วยเหลือผู้อื่น แต่กลับเป็องครักษ์จิ่นอีเว่ยที่ขึ้นชื่อว่า “เืเย็นไร้ความรู้สึก” ได้ยินมาว่าตอนที่พวกเขากินข้าวอยู่ จู่ ๆ ก็คว้ามีดขึ้นมาฟันโต๊ะ อีกเดี๋ยวก็คงคิดจะฟันคอของคนที่อยู่รอบๆ...
“ไม่ใช่ข้า ไม่ใช่ข้าจริง ๆ คนที่วางเพลิงผู้นั้นคือคนที่อยู่ห้องปีกซ้ายฝั่งตะวันออก นางแซ่เหอเ้าค่ะ” จู่ ๆ ไหวซินก็ะโลั่น
เมื่อแม่ชีเ่าั้ได้ยินก็ตะลึงงันไปทันที ไหวซินกำลังพูดถึงใคร? เด็กสาวแซ่เหอ? มีคนไม่น้อยอดที่จะเหลือบมองต้วนเสี่ยวโหลวมิได้ เพราะเช้าตรู่ของวันนี้ มีคนเห็นเขายืนนิ่งอยู่ในสวนของห้องปีกซ้ายฝั่งตะวันออก ความอ่อนโยนในแววตาของเขาแทบจะหลั่งออกมาเป็หยดน้ำ เหตุนี้ข่าวลือจึงแพร่ไปทั่วอารามว่าแม่ทัพต้วนในกลุ่มจิ่นอีเว่ยถูกใจแม่นางเหออายุสิบปีผู้นั้น และยังคิดจะพานางกลับบ้านไปเลี้ยงดูเพื่อเป็ชายาในอนาคต
เป็จริงดังคาด ความเ็าที่ฉายชัดอบนใบหน้าหล่อเหลาของต้วนเสี่ยวโหลว ทำให้ผู้คนที่ได้มองใกลัวยิ่งนัก เขาจ้องไหวซินเขม็งพลางเอ่ย “คนที่วางเพลิง โทษฐานในราชสำนักคือปะา แต่เ้ากลับกล้าใส่ร้ายคุณหนูเหอที่ไม่เคยมีความขัดแย้งกับใคร อีกทั้งในคำพูดนี้ยังเป็การไม่เคารพต่อฮ่องเต้ สมควรตัดสินให้เ้า...”
“ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล ข้ามีหลักฐาน” หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ไหวซินมิได้คิดถึงชีวิตของตัวเองและไม่ได้สนใจฐานะสูงศักดิ์หรือต่ำต้อยเลยสักนิด นางเอ่ยแทรกคำพูดของต้วนเสี่ยวโหลวอย่างไม่เกรงใจ “พวกเ้าดูสิ่งนี้” นางชี้ไปที่รอยดำครึ่งวงกลมบนกำแพงแล้วะโอย่างบ้าคลั่ง “ข้าไม่ได้รับความเป็ธรรม นางนั่นแหละที่เป็คนวางเพลิงตัวจริง นี่เป็หลักฐานที่นางทิ้งไว้”
ทุกคนต่างมุงดูรอยดำนั้นอย่างละเอียด ดูเหมือนรอยจะถูกวาดขึ้นจากผงถ่าน เห็นเป็ภาพเมฆมงคลกับหมูนำโชค
ต้วนเสี่ยวโหลวขมวดคิ้วฉับ พลางกล่าวอย่างไม่พอใจ “นี่นับว่าเป็หลักฐานได้เช่นนั้นหรือ? ประการแรก นี่อาจไม่ใช่คุณหนูเหอที่วาดทิ้งไว้ ประการที่สอง เวลาวาดไม่แน่ชัด อาจจะเป็ภาพวาดที่ถูกวาดขึ้นมานานแล้ว อาศัยเพียงภาพวาดเดียวก็สามารถใส่ร้ายคนได้อย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าของเลี่ยวจือหย่วนกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างได้ใจ “ข้อกำหนด “ตำราบทลงโทษในคุกของปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ิ” กล่าวไว้ว่า “พยานบุคคลเป็หลัก พยานวัตถุนั้นเป็รอง” เ้ามีเพียงพยานวัตถุที่เลือนรางเพียงชิ้นเดียว แต่พยานบุคคลนั้นกลับมีถึงแปดสิบคน พวกนางต่างพูดเป็เสียงเดียวกันว่าเ้าเป็ผู้ร้ายวางเพลิง เมื่อเทียบสองสิ่งนี้ เ้าไม่มีทางหลุดจากข้อกล่าวหานี้ได้”
เกาเจวี๋ยทอดมองท้องฟ้าแล้วกล่าวอย่างน่าเกรงขาม “พรุ่งนี้ตอนเที่ยงหน้าประตูใหญ่ของวัด ลงโทษด้วยการแทงทะลุหนังก่อนจะเผาไฟ เพื่อเตือนใจอย่าเอาเป็เยี่ยงอย่าง”
ไหวซินน้ำตาไหลพราก พลางะโเสียงดัง “รอยดำนั่นคือสิ่งที่คุณหนูเหอทิ้งไว้... ตอนนั้นที่นางยังไร้ลมหายใจอยู่ เจินจิ้งเปลี่ยนชุดไว้ทุกข์ให้นาง ข้าเห็นจี้ทองที่เจินจิ้งหยิบออกจากกล่องแล้วสวมลงบนคอของนางด้วยตาตัวเอง ลวดลายบนจี้ทองอันนั้นเป็รูปหมูตัวอ้วน สี่เท้าของมันมีเมฆล่องลอยอยู่ คนธรรมดาย่อมไม่มีจี้ทองเช่นนี้แน่” หลังจากนางถอนหายใจ ก็สูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง “อีกอย่าง ไม่ใช่แค่ข้าเพียงคนเดียว ตอนนั้นไหวตงก็เห็นด้วย เวลานั้นพวกข้าสองคนปีนขึ้นไปดูนอกหน้าต่าง ข้ายังแอบพนันเอาไว้เลยว่าจี้ทองอันนั้นดูแล้วคงจะสักห้าถึงหกสิบตำลึงได้ ไหวตงยังบอกอีกว่าเป็งานฝีมือ อย่างน้อยก็ต้องแปดสิบตำลึง”
หลังจากทุกคนได้ฟังเื่ราวที่ไหวซินกล่าวมาราวกับตาเห็นแล้ว ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ หรือว่าคุณหนูเหอผู้นั้นจะเป็คนวางเพลิงจริง ๆ ? ไม่อย่างนั้นลวดลายบนจี้ทองของนางจะบังเอิญมาอยู่บนกำแพงได้อย่างไร? ห้องปีกซ้ายฝั่งตะวันออกอยู่ห่างจากห้องครัวนี้มากนัก ทั้งยังต้องเดินเข้าไปในสวนอีกสิบกว่าก้าว นางเป็คุณหนูขี้โรคคนหนึ่ง หากไม่มีธุระอันใดจะถ่อมาถึงที่นี่ได้อย่างไร?
แม่ชีไท่ซั่นหรี่ตาลงพลางครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหัวก่อนถามแม่ชีที่ยืนอยู่ตรงมุมกำแพง “ไหวตง มีเื่เช่นนี้เกิดขึ้นจริงหรือ? ลวดลายบนจี้ทองของคุณหนูเหอเหมือนลวดลายที่วาดอยู่บนกำแพงนั่นหรือไม่?”
สายตาของทุกคนจับจ้องใบหน้าของแม่ชีน้อยผู้นั้นอย่างพร้อมเพรียง ราวกับจะมองทะลุศีรษะให้เห็นคำตอบของนางก็ไม่ปาน
แม่ชีน้อยผู้นั้นกำชายเสื้อของตนแน่นราวกับกำลังกักเก็บอารมณ์ไว้ นางไม่คุ้นชินกับการเป็จุดสนใจเช่นนี้ “เื่นี้มันเกิดขึ้นหลายวันแล้ว ข้าเองก็จำไม่ได้ว่า... ตอนนั้น ข้าเพียงมองผ่านหน้าต่างมุ้งลวดแวบเดียว จะไปมองเห็นคุณหนูเหอที่นอนอยู่ในโลงศพชัดเจนได้อย่างไร...ว่าบนตัวนางสวมสร้อยคอสลักลวดลายอะไรบ้าง...”
แม่ชีไท่ซั่นนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองแม่ชีน้อยคนอื่น ๆ พลางถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “พวกเ้าในนี้ มีใครเคยเห็นจี้ทองของคุณหนูเหอบ้าง? แล้วพวกเ้าที่บอกว่าไหวซินเป็คนวางเพลิง มีใครที่เห็นไหวซินจุดไฟกับตาบ้าง?”
แม่ชีบางกลุ่มอ้าปากค้างตะลึงงันจนพูดไม่ออก แต่คนส่วนใหญ่ก็ดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว เหตุที่แม่ชีไท่ซั่นถามเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่านางอยากโยนความผิดให้คุณหนูเหอ
ต้วนเสี่ยวโหลวขมวดคิ้วแน่น “ท่านแม่ชีไท่ซั่น ท่านเอ่ยถามเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? เื่นี้เห็นได้ชัดว่าอารามของพวกท่านไม่เข้มงวดเื่ฟืนไฟ จะไปเกี่ยวข้องกับคุณหนูเหอได้เยี่ยงไร ท่านอย่าดึงนางเข้ามาเกี่ยวข้องมั่วซั่วเช่นนี้”
บนศีรษะของแม่ชีไท่ซั่นมีเหงื่อผุดพราย นางยิ้มสู้พลางกล่าว “ท่านแม่ทัพต้วนอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลยเ้าค่ะ แม่ชีอย่างพวกเราต่างก็เข้าใจและมีเหตุผล ไม่มีทางปัดความผิดให้คนอื่นมั่วซั่วแน่นอน ตามหลักแล้ว คุณหนูเหออยู่ในอารามแห่งนี้ และตอนนี้ยังมีไหวซินชี้ตัวนางอีก ดังนั้นผู้ต้องสงสัยที่สุดในตอนนี้ก็คือนาง แม้ท่านแม่ทัพต้วนจะเอ็นดูนาง แต่อย่างน้อยก็ให้นางมาเผชิญหน้าไม่ดีกว่าหรือเ้าคะ? ไม่อย่างนั้นอาจจะมีคนรู้สึกว่านางขี้ขลาดไม่กล้าออกมา... แม้ว่าฐานะของนางจะน่าสงสาร ข้าเองก็เห็นใจ แต่ “วางเพลิงลอบทำร้ายขุนนาง” โทษสถานหนักเช่นนี้ คงไม่สามารถให้พวกเราเป็แพะรับบาปแทนนางได้” พูดไปพูดมา ความหมายก็คือกล่าวโทษว่าเหอตังกุยเป็ผู้ร้ายวางเพลิงอยู่ดี
แม่ชีไท่ซั่นครุ่นคิดในใจ หากเป็แม่ชีในอารามวางเพลิง แม่ชีผู้นั้นถึงตายก็ไม่ได้รับความสงสาร แต่เมื่ออารามถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว อาจต้องถูกสั่งลงโทษให้ปิดวัดและหยุดทำธุรกิจ เช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจปล่อยเงินกู้ของตนโดยตรง แต่หากคนวางเพลิงเป็เด็กสาวที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับวัด หากถูกสังหารด้วยการทิ่มแทง นั่นก็เป็เพราะเหอตังกุยโชคไม่ดีเอง ตราบใดที่จิ่นอีเว่ยไม่กลัวคำครหาว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพราะเห็นแก่คนสนิทของตน พวกเขาอยากจะปล่อยนางเมื่อไรก็ปล่อยได้
ต้วนเสี่ยวโหลวแค้นเคืองเป็อย่างมาก เขาจะอ้าปากเอ่ยบางสิ่ง ลู่เจียงเป่ยกลับตบไหล่เขาเบา ๆ พลางเอ่ยปลอบใจ “เสี่ยวต้วน มิสู้ให้คุณหนูเหอออกมาพูดด้วยตนเองเล่า เ้าพูดอะไรไปมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์ ล้วนช่วยอะไรนางไม่ได้”
แม่ชีไท่ซั่นพยักหน้าพลางหัวเราะ “ใช่ ๆ นี่สิถึงจะเป็เหตุผลที่ถูกต้อง พวกเราต่างก็พูดกันด้วยเหตุผลทั้งนั้น ถามนางสักสองสามประโยค ไม่มีทางที่นางจะไม่ได้รับความเป็ธรรมแน่นอน” จากนั้นนางก็หันไปกล่าวกับเจินิ “เ้าไปเชิญคุณหนูเหอที่ห้องปีกซ้ายฝั่งตะวันออกให้ข้าที รีบไปรีบมา อย่าชักช้าเชียว อีกอย่างให้นางสวมจี้ทองคำของนางมาด้วย”
………………………………………………………………..
[1] ยามไกสือสามเค่อ หมายถึง เวลา 21:45 น.