คาดไม่ถึงว่าเถ้าแก่เกาที่ยืนอยู่ข้างๆจะไม่ได้แสดงความผิดหวังใดๆ แต่กลับหัวเราะออกมาเสียงดัง“ที่แท้แล้วเถ้าแก่โจวได้เสนอราคา 2 ล้านหยวนไว้แล้วนี่เองแต่ในเมื่อเป็การซื้อขายด้วยราคาชัดเจนอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นผมเสนอราคา 2.1ล้านเป็อย่างไรบ้างล่ะ?เถ้าแก่โจวคงไม่โกรธนะ ไม่รู้ว่าสหายหนุ่มหลินเยว่จะยินดีขายหยกก้อนนี้ให้กับผมหรือเปล่า”
ถึงแม้ว่าเมื่อมองจากภายนอกจะดูมีมิตรไมตรีต่อกันแต่ในใจของเถ้าแก่เกากลับกำลังเยาะเย้ยอยู่ในใจ “ผมไม่เชื่อหรอกว่าผมจะทำลายมิตรภาพจอมปลอมระหว่างพวกคุณลงไปไม่ได้เพราะหากมีเงินมากองอยู่ตรงหน้า มิตรภาพก็จะกลายเป็เพียงเื่ตลกเท่านั้น!ส่วนผมเองอย่างมากก็แค่มีกำไรลดลงหน่อยแต่ยังไงวันนี้ผมก็จะทำลายความสัมพันธ์ของพวกคุณให้แตกหักไปเลย หรือทำให้ต่อไปพวกเขาเหลือแต่ความแค้นไปเลยก็ยิ่งดี!ฮ่าๆ.......”
2.1 ล้านหยวน!
ผู้คนที่กำลังมุงอยู่รอบๆก็รู้สึกใกับราคาที่สูงเช่นนี้เพราะพวกเขาก็มองออกว่ามูลค่าของหินหยกในมือหลินเยว่อย่างมากก็มีราคาประมาณ 2.5ล้านหยวน การเสนอราคา 2.1 ล้านหยวนจึงถือว่าเป็ราคาที่ดีมากแล้วหากสูงกว่านี้ก็แทบจะไม่เหลือกำไรแล้วล่ะ
โจวเต๋อเซิงได้ยินเช่นนี้จึงได้แต่หัวเราะ “เหอๆ”พร้อมโบกไม้โบกมือ “ผมไม่ได้กระเป๋าหนักเหมือนเถ้าแก่เกา ถ้าเช่นนี้ผมจึงไม่ขอแข่งกับท่านแล้วล่ะ”
ดังนั้น สายตาของทุกๆคนจึงมองมาที่หลินเยว่กันเป็จุดเดียว ไม่รู้ว่าต้นเื่ของเหตุการณ์นี้จะตอบว่าอย่างไร
หลินเยว่ไม่ได้มีความลังเลใดๆ ทั้งสิ้นเขาส่งยิ้มให้กับเถ้าแก่เกาพร้อมพูดขึ้น “ขอโทษด้วยครับ หินหยกก้อนนี้......”
ยังไม่ทันรอให้หลินเยว่พูดจบเถ้าแก่เกาจึงรีบพูดต่อ “สหายหนุ่มหลินเยว่ อย่าทำอย่างนี้สิ หินหยกก้อนนี้ผมอยากได้จริงๆจะขายให้กับใครมันก็เป็การขายเหมือนๆ กันไม่ใช่หรือ? ถ้าเช่นนั้นก็นำมาขายให้กับผมสิเอาอย่างนี้ดีไหม ผมขอเสนอราคา 2.5 ล้านหยวนเป็อย่างไรบ้าง?”
แต่ขณะที่พูดนี้ ในใจของเถ้าแก่เกาก็มีเืหยดติ๋งๆเพราะเขารู้ดีว่าหากไม่ได้เสนอราคาที่สูงมากจริงๆมิตรภาพระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้แตกหักกันได้ง่ายๆ หรอก ดังนั้น เขาจึงจำเป็ต้องเสนอราคาที่สูงมาก!
2.5 ล้านหยวน?!
ราคาเช่นนี้ก็ทำให้คนที่มุงอยู่รอบๆส่งเสียงฮือฮาขึ้น เพราะนี่เป็ราคาที่ไม่เหลือกำไรแล้วดูจากสถานการณ์แสดงว่าเถ้าแก่เกาผู้นี้ชอบหยกก้อนนี้มากจริงๆไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงไม่เสนอราคาที่สูงมากขนาดนี้
โจวเต๋อเซิงที่ยืนอยู่ข้างๆกลับทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใบหน้าของเขายังคงมีรอยยิ้มอ่อนๆ อยู่เสมอ ดูเหมือนว่าเขากำลังมองเหตุการณ์นี้อย่างสนใจ
หลินเยว่ฝืนยิ้มพร้อมกับส่ายศีรษะและพูดขึ้น“ขอโทษครับ ไม่ว่าคุณจะเสนอราคาสูงขนาดไหน ผมก็ไม่มีทางขายให้ครับ ผมตกลงกับคุณโจวไว้แล้วนี่เป็หลักการของผม ถึงแม้ว่าผมอยากจะขายให้คุณมากขนาดไหน แต่ผมทำไม่ได้!”
ผมทำไม่ได้! ประโยคนี้ช่างดีจริงๆ!
ผู้คนรอบๆ ต่างรู้สึกนับถือกับการกระทำของหลินเยว่ที่ไม่ยอมผิดคำพูดเช่นนี้หากก่อนหน้านี้ยังมีบางคนที่ใส่ร้ายหลินเยว่ บอกว่าเขาเสแสร้งแกล้งทำเป็ช่วยคนสติไม่สมประกอบคนนั้นเมื่อวานนี้แล้วถ้าเช่นนี้ตอนนี้พวกเขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก พวกเขารู้สึกยอมรับนับถือในตัวหลินเยว่เมื่อเผชิญกับผลประโยชน์ก้อนใหญ่ เด็กหนุ่มก็ยังไม่มีความลังเลใดๆความหนักแน่นเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็ใครก็สามารถทำได้หรอกนะ
เมื่อได้ยินประโยคนี้มุมปากที่ยกยิ้มของโจวเต๋อเซิงก็ดูเหมือนจะยิ้มมากขึ้นสายตาที่เขามองหลินเยว่เต็มไปด้วยความชื่นชมและนี่ก็เป็ครั้งแรกที่เขาใช้สายตาเช่นนี้มองเด็กหนุ่มคนหนึ่งแต่ทว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้านี้ก็มีคุณค่าคู่ควรที่ทำให้เขาต้องมองด้วยสายตาเช่นนี้จริงๆ
เถ้าแก่เกานิ่งอึ้งอยู่กับที่ทันทีในความคิดของเขาแล้ว เขาไม่เคยคิดว่าจะมีคนที่ยอมทิ้งผลประโยชน์ก้อนใหญ่เพื่อคำว่ามิตรภาพที่มีแต่ความว่างเปล่าจริงๆว่ากันว่าสนามธุรกิจก็เหมือนกับสนามรบ ไม่มีมิตรแท้และยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีศัตรูที่ถาวรหากมีผลประโยชน์อยู่เบื้องหน้า ศัตรูก็สามารถกลายเป็มิตรและมิตรก็สามารถกลายเป็ศัตรูได้เช่นกัน แต่ทว่าวันนี้เขากลับเห็นสถานการณ์ที่แตกต่างไปจากเดิมมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งไม่สนใจผลประโยชน์แต่กลับให้ความสำคัญกับคำว่ามิตรภาพมากกว่า
มิตรภาพอันว่างเปล่าจับต้องไม่ได้นั้นมันสำคัญขนาดนั้นจริงๆหรือ?
เถ้าแก่เการู้สึกไม่เข้าใจแต่ทว่าเขาก็มีสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว มารยาทที่ต้องแสดงออกเขาก็ยังต้องทำให้สมบูรณ์ใบหน้าจึงปรากฏรอยยิ้มอย่างฝืนๆ พร้อมพูดขึ้น “เป็หนุ่มน้อยยอดวีรบุรุษจริงๆนับถือๆ!”
“คุณเกาชมเกินไปแล้ว” หลินเยว่พูดตอบอย่างถ่อมตัว
เมื่อเห็นสีหน้าของหลินเยว่เต็มไปด้วยความถ่อมตัวอย่างจริงใจเถ้าแก่เกาจึงยิ้มด้วยความรู้สึกซับซ้อนและเอ่ยขึ้น “ผมยังมีธุระต่อ ขอตัวก่อนนะหากมีโอกาสค่อยพบกันใหม่”
เมื่อพูดจบ เขาไม่ได้รอให้หลินเยว่ตอบกลับอะไรแล้วจึงแทรกตัวหายไปท่ามกลางฝูงชนเื้ัที่ปรากฏดูโดดเดี่ยวและไม่เหลือสภาพเดิม
หลังจากเถ้าแก่เกาจากไปโจวเต๋อเซิงจึงได้แต่หัวเราะ “เหอๆ”เขาเดินเข้าไปหาหลินเยว่แล้วตบบ่าพร้อมพูดเสียงต่ำ “มิน่า ท่านเฮ่ออีเหยี่ยนปรมาจารย์แห่งหยกถึงได้รับคุณไว้เป็ลูกศิษย์เพราะคุณมีความสามารถและคุณธรรมเหนือกว่าใครๆ อย่างแท้จริง”
“คุณโจวชมเกินไปแล้ว อาจารย์ของผมไม่ได้สอนผมด้านการพนันหินหยกแต่สอนทางด้านการพิสูจน์เครื่องเคลือบ การพนันหินหยกเป็สิ่งที่ผมเรียนรู้มั่วๆด้วยตนเอง คุณอย่าหัวเราะผมเลยนะ”
“อ้อ? อย่างนั้นหรือ?”สายตาของโจวเต๋อเซิงสะท้อนความตกตะลึงออกมาเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้ศึกษาการพนันหินหยกจากปรมาจารย์แห่งหยกแต่กลับมีสายตาเฉียบคมขนาดนี้อนาคตของเขาต้องมีแต่ความสดใสรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน
ดังนั้น โจวเต๋อเซิงจึงเซ็นเช็คสองใบใบหนึ่งเป็จำนวน 8 แสนหยวนและอีกใบเป็จำนวน 1.2 ล้านหยวน เดิมทีหลินเยว่ไม่ได้คิดจะรับเงินเยอะขนาดนี้เพราะอีกฝ่ายเป็คนที่ช่วยเหลือเขาไว้ แต่ทว่าโจวเต๋อเซิงกลับยืนกรานหนักแน่นเพราะนี่เป็ตัวเลขที่เขาเอ่ยออกมาเอง คนอ่อนกว่าอย่างหลินเยว่ยังทำได้ตามคำพูด แล้วเขาที่เป็ผู้าุโจะผิดคำพูดต่อหน้าเด็กหนุ่มได้อย่างไรสุดท้ายหลินเยว่จึงต้องรับเช็คไว้อย่างไม่มีทางเลือก หลังจากนั้นเขาจึงนำเช็ค 1.2ล้านหยวนยื่นให้กับเถียนเซิ่ง
“ใบนี้ให้คุณนะ ผมก็เป็คนที่ทำตามคำพูดใช่ไหมล่ะหินหยกก้อนนั้นก็กลายเป็ของผมแล้วใช่ไหมล่ะ”หลินเยว่พูดกับเถียนเซิ่งพร้อมรอยยิ้ม
เถียนเซิ่งได้ยินประโยคนี้จึงพยักหน้ารับหลังจากนั้นจึงมองสบตาตรงๆ กับหลินเยว่พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นผิดปกติ“หลินเยว่ สักวันผมจะต้องแซงหน้าคุณให้ได้!”
เมื่อได้ยินเถียนเซิ่งพูดประโยคนี้ ทุกๆคนจึงต่างหลุดยิ้มออกมา ช่างเป็เด็กที่ไม่ยอมแพ้จริงๆ!
“แซงหน้าผม?” หลินเยว่อึ้งไปชั่วขณะแล้วถามขึ้นอย่างสงสัย “แซงหน้าผมทำไมล่ะ?”
“แซงหน้าคุณในการพนันหินหยก!” เถียนเซิ่งพูดขึ้น
หลินเยว่หลุดหัวเราะออกมาพร้อมส่ายศีรษะและพูดขึ้น“ถึงคุณคิดอยากจะแซงหน้าใครสักคนก็ไม่ควรเป็ผมสิ คนที่เก่งกว่าผมมีตั้งเยอะแยะมากมายคุณต้องกำหนดเป้าหมายให้ไกลหน่อย กำหนดไว้ที่ปรมาจารย์แห่งหยกประมาณนี้”
เมื่อเขาเพิ่งพูดจบ คำพูดของเถียนเซิ่งก็ทำให้เขาต้องจนในคำพูดของตัวเอง
“ถ้าผมยังแซงหน้าคุณไม่ได้ แล้วผมจะแซงหน้าพวกเขาได้อย่างไรผมต้องแซงหน้าคุณให้ได้ก่อน!”
หลินเยว่จึงได้แต่ฝืนยิ้ม เขาไม่รู้ว่าตัวเขาเป็คนทำให้เถียนเซิ่งกลายเป็เช่นนี้หากเป็เมื่อก่อน เถียนเซิ่งจะต้องตั้งเป้าหมายที่ดูไกลจนเกินเอื้อมแต่เมื่อเขาได้เห็นหลินเยว่ในวันนี้แล้ว เขาถึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการกินข้าวก็ต้องค่อยๆกินทีละคำๆ การทำทุกๆ เื่ก็ต้องค่อยๆ ทำตามทีละขั้นตอนไป
สุดท้าย เถียนเซิ่งจึงนำเช็ค 1.2 ล้านหยวนพร้อมความฝันและเป้าหมายของตนเองกลับบ้านไป
ส่วนหลินเยว่จึงพูดกับโจวเต๋อเซิง “คุณโจวครับ ผมต้องนำหินหยกก้อนนี้กลับไปก่อน”
“เดี๋ยวก่อนสิ คุณจะไขข้อข้องใจเื่หนึ่งให้กับผมก่อนได้ไหม?”โจวเต๋อเซิงครุ่นคิดอยู่เป็นาน แต่สุดท้ายเขาก็ถามขึ้นมา
“ข้อข้องใจเื่อะไรหรือ?”หลินเยว่แอบมีลางสังหรณ์บางอย่างอยู่ในใจ
“คุณรู้ได้อย่างไรว่าในหินหยกก้อนนั้นจะต้องมีหยกอย่างแน่นอนแล้วยังมั่นใจว่าจะต้องมีมูลค่ามากกว่า 1.2 ล้านหยวนด้วยล่ะ”
เมื่อโจวเต๋อเซิงตั้งคำถามเสร็จ ในใจของหลินเยว่ก็คิดว่า... เป็ไปตามที่คาดการณ์ไว้จริงๆ!
“หากผมบอกว่ามันเป็เพียงความรู้สึกของผมเท่านั้นท่านจะเชื่อไหม?” หลินเยว่พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังนัก
“ไม่เชื่อ!” โจวเต๋อเซิงปฏิเสธอย่างเด็ดขาดความรู้สึกแบบไหนถึงจะทำให้คนมีความบ้าคลั่งได้มากเช่นนี้...ในสถานการณ์ที่ไม่มีเงินกลับยอมจ่าย 1.2 ล้านหยวนเพื่อซื้อหินหยกที่มีรอยแตกร้าวก้อนหนึ่งมันคงเหมือนความรู้สึกของเทพเซียนหรือเปล่า
หลินเยว่ไม่ได้คิดว่าจะพูดให้อีกฝ่ายเชื่อในคำพูดของเขาเขาจึงพูดต่อ “แต่ละคนก็ย่อมมีวิธีการเป็ของตนเองวิธีการของตระกูลใหญ่ทั้งสามตระกูลก็มีวิธีที่ไม่เหมือนกัน ส่วนผมก็มีวิธีการของตนเองความจริง แหะๆ......”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้