"เป็ฝีมือของผู้ใดกันที่ลักลอบกระทำต่ำช้าเช่นนี้ จงเปิดเผยตัวมาเสีย!!!" เฟยหลงคำรามสุดเสียงด้วยความโกรธก่อนจะตบเท้าขึ้นกลางอากาศ สองมือพลันลุกโหมด้วยเปลงเพลิงสีดำทมิฬก่อนจะฟาดไปยังจุดบริเวณที่หนิงอ้ายหายตัวไปเมื่อครู่ พลานุภาพแห่งเปลวเพลิงสีนิลนี้กร้าวแกร่งถึงขีดสุดด้วยพลังที่ลึกล้ำเหนือระดับราชันิญญาขั้นต้นกำลังสั่นะเืพื้นที่โดยรอบอย่างไม่ยั้งมือ
เวลาเพียงไม่กี่สิบรอบลมหายใจต่อมา ห้วงมิติผันผวนตรงหน้าได้แตกกระจายเป็เสี่ยง ๆ ก่อนที่ทุกสิ่งอย่างจะกลับมาสงบเงียบราวกับว่าเมื่อครู่นั้นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น สีหน้าตื่นตะลึงของเฟยหลงปรากฎขึ้นอย่างไม่ปิดบังเลยสักนิด แม้ว่าร่างกายหนังมนุษย์นี้จะถูกจำกัดพลังิญญาเพียงเขตขั้นราชันิญญาขั้นต้น ทว่าความแข็งแกร่งมีมากเพียงใดเขาย่อมเป็ผู้ที่รับรู้ดีที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นกล่าวได้ว่าเป็การแหวกมิติชั้นสูงที่ไม่ธรรมดาสามัญทั่วไปอย่างแท้จริง
ก่อนหน้านี้ทุกการกระทำของหนิงอ้ายล้วนอยู่ในสายตาและการรับรู้ของเขาทั้งสิ้น แต่เพียงอึดใจเดียวที่ทันไม่ระวังเท่านั้น ร่างบางกลับหายลับไปโดยไร้ซึ่งร่อยรอยใดให้ติดตาม เฟยหลงรีบหันซ้ายขวามองหาอีกฝ่ายในทันทีอย่างไม่รอช้า
ญาณััอันลึกล้ำได้แผ่ซ่านกำจายออกทั่วทุกสารทิศโดยรอบ พลานุภาพแห่งการทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง กลิ่นอายความแข็งแกร่งกดดันอันอหังการนี้ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตระดับต่ำล้วนตกตายไปสิ้น เสียงหวีดร้องทรมานดังขึ้นโหยหวนไปทั่วราวกับว่า้าวิงวอนความเห็นใจจากมัจจุราชที่กำลังบ้าคลั่ง หมอกควันสีดำประกายก่อร่างเป็สิ่งประหลาดที่ไม่อาจเห็นเป็รูปร่างนับร้อยนับพันได้พุ่งกระจายในรัศมีเกือบหนึ่งร้อยลี้ การที่หนิงอ้ายหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้ไม่ใช่เื่ดีอย่างแน่นอน...
แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนว่าเฟยหลงจะมีท่าทีเงียบสงบเพียงใด ทว่าภายในใจนั้นร้อนรุ่มแทบคลั่งคงไม่เกินจริงไปนัก เคล็ดวิชาตัวเบาอันสุดยอดยิ่งยวดถูกเรียกใช้เหินทะยานไปทั่วทั้งบริเวณที่คาดคิดว่ามีความเป็ไปได้ อย่างไรการกระทำชั่วช้าอุกอาจนั่นอาจเป็ฝีมือของตัวตนลี้ลับที่ซ่อนเร้นในมหาพิภพก็อาจเป็ไปได้ แล้วเหตุใดจึงต้องเฉพาะเจาะจงเป็เด็กหนุ่มที่อายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้ด้วยเล่า นับว่าเป็เื่แปลกใจที่ยังไม่อาจหาคำตอบได้ในตอนนี้
"เ้าอยู่ที่ใดกันหนิงเอ๋อร์??" น้ำเสียงของเฟยหลงที่เล็ดลอดออกมาแฝงไปด้วยความวิตกกังวลใจยิ่ง ท่ามกลางญาณััและสายตาของเขาในรัศมีบริเวณนี้ไร้ซึ่งร่องรอยเกี่ยวกับร่างบางทั้งสิ้น…
แสงสว่างจากดวงจันทรสาดส่องสว่างอาบย้อมทุกสรรพสิ่งใต้หล้าเป็สีนวลกระจ่าง มวลหมู่เมฆาลอยนิ่งแต่งแต้มให้ความรู้สึกสวยงามยิ่ง แว่วเสียงสกุณาขับขานโบยบินเคียงคู่ ทัศนียภาพยามค่ำคืนภายในเขตพื้นที่ตำหนักศาสตร์แห่งการรักษากล่าวได้ว่าเป็อีกหนึ่งตำหนักที่งดงามจนหาเปรียบได้ ไม่นับรวมสมบัติวิเศษรวมไปถึงสมุนไพรระดับสูงที่ส่งผลให้ลมปราณฟ้าดินนั้นมีความบริสุทธิ์ยิ่งยวดยิ่งกว่าพื้นที่อื่นในสำนักเสียด้วยซ้ำ
เหวินหวู่เรียกป้ายหยกออกมาจากแหวนมิติ ก่อนหน้านั้นเขารู้สึกวูบโหวงอยู่ในใจอย่างแปลกประหลาด ััเมื่อครู่ให้ความรู้สึกที่ไม่สบายใจยิ่ง เพียงแค่การสะบัดครั้งเดียวป้ายหยกสีเขียวอ่อนสลักลวดลายเมฆาวิจิตรงดงามได้ปรากฎขึ้นในฝ่ามือ ยามปกติป้ายหยกเนื้องามนี้จะส่องแสงเป็สีเขียวเงินอ่อนจางให้ความรู้สึกปลอบประโลม ทว่าในตอนนี้ป้ายหยกดังกล่าวยามที่ัันั้นให้ความรู้สึกกระวนกระวายใจ คล้ายกับเป็สัญญาณว่าเกิดสิ่งผิดปกติขึ้น
บรรดาศิษย์ในตำหนักยามนี้ล้วนต่างทยอยออกเดินทางจากสำนักเพื่อปฏิบัติตามธรรมเนียมยึดถือกันทั้งสิ้น มีเพียงศิษย์ลำดับที่หนึ่งที่ยังคงเก็บตัวฝึกฝนเลื่อนระดับพลังิญญาและศิษย์ลำดับที่เจ็ดที่ในวันนี้ตนได้ไหว้วานให้อีกฝ่ายไปยังเมืองหน้าด่านเพื่อซื้อสิ่งของจำเป็ในการถ่ายทอดความรู้ก่อนที่อีกฝ่ายจะต้องออกเดินทางจากสำนักในอีกไม่กี่วันนี้
อาจดูเหมือนว่าทุกสิ่งยังคงเป็ไปตามปกติ ทว่าเป็เวลานับเกือบสองชั่วยามแล้ว ความรู้สึกดังกล่าวยังไม่เลือนหายไปคล้ายกับทวีคูณเพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเด็กหนุ่มนามว่าหนิงอ้ายผู้เป็ศิษย์ของเขายังไม่กลับมาเสียทีนับว่าผิดปกติวิสัยของอีกฝ่าย แม้จะเบาใจไปไม่น้อยเพราะเ้าสำนักเจียงเฉิงได้ไหว้วานให้ตงหยางติดตามไปด้วยครั้งนี้ก็ตาม ศิษย์นามว่าตงหยางผู้นี้กล่าวได้ว่ามากไปด้วยฝีมือเหมาะสมกับฐานะตำแหน่งว่าที่เ้าสำนักคนถัดไปเป็อย่างยิ่ง ภารกิจต่าง ๆ ที่อีกฝ่ายได้รับผิดชอบล้วนไร้ซึ่งข้อผิดพลาดใดใดทั้งสิ้น
ทว่าตอนนี้เหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในมหาพิภพยังคงเต็มไปด้วยปริศนาที่ไม่อาจค้นพบสาเหตุหรือตัวการเื้ัได้ แม้จะมั่นใจว่าตัวตนศิษย์ของเขานั้นจะถูกปกปิดภูมิหลัง ทั้งแซ่ตระกูลรวมไปถึงอีกหนึ่งฐานะนั่นคือเ้าของยุทธภพรุ่นเยาว์คนล่าสุด อย่างไรแล้วการหายตัวไปของสุดยอดรุ่นเยาว์ประจำตระกูลในระยะหลังมานี้ยังไม่อาจนิ่งนอดใจได้ ไม่นับรวมไปถึงศิษย์ในสำนักสองคนก่อนหน้าที่พึ่งฟื้นคืนสติ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายประสบพบเจอกับสิ่งใดกันจึงได้เป็ไปเช่นนี้ นับว่ายังคงเป็ปริศนาไร้ซึ่งคำตอบ ดังนั้นแล้วทางสำนักศึกษาจึงได้รัดกุมดูแลความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ท่ามกลาง่เวลาที่ผันผ่านความรู้สึกที่กัดกินอยู่ในใจยามนี้ทำให้เหวินหวู่ไม่อาจอยู่นิ่งเช่นนี้ได้เสียแล้ว…
เหวินหวู่เห็นว่าถึงยามซวีแล้วยังไม่เห็นหนิงอ้ายกลับถึงสำนัก จึงไม่รอช้าออกตามหาเด็กหนุ่มในทันที สุดยอดเคล็ดวิชาตัวเบาของชายชรานั้นเต็มไปด้วยความเหนือชั้นไม่ธรรมดาสามัญอย่างแท้จริง หลังจากทะยานอยู่กลางอากาศพ้นจากเขตของสำนักมาเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น ด้วยญาณััอันลึกล้ำของนักปรุงโอสถระดับเจ็ดจึงพอรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของปราณธาตุพิษเบาบางจากพื้นที่ไม่ไกลจากตรงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นของโลหิตฟุ้งกระจายเข้มข้นเป็อย่างมาก ในใจชายชราภาวนาขอให้สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ศิษย์ของตนที่ต้องเผชิญ
คล้ายกับว่าคำขอนั้นคงมากเกินไป เพราะภาพตรงหน้าที่ปรากฏขึ้นแก่สายตานั้น กล่าวได้ว่าพื้นที่โดยรอบนี้เต็มไปด้วยความเสียหายที่สามารถคาดเดาได้ว่าเมื่อครู่คงเกิดการเข่นฆ่าสังหารครั้งใหญ่เป็แน่ กลิ่นอายของพลังิญญาอันเป็เอกลักษณ์เฉพาะประจำตัวของหนิงอ้ายยังหลงเหลือให้ััได้อยู่บ้าง จิตสังหารที่ห่างหายไปนานได้สำแดงเดชอีกครั้งหนึ่ง โทสะของผู้ฝึกตนราชทินนามราชันิญญาระดับสูงไม่อาจดูเบาได้ ไม่รู้ว่าการกระทำชั่วช้าสามานย์นี้เป็ฝีมือของฝ่ายใดจึงหาญกล้าลงมือในเขตพื้นที่ดูแลของทางสำนักศึกษาเช่นนี้ราวกับตั้งใจกระตุกหนวดเสือเสียอย่างนั้น
ทว่าร่างไร้ิญญาของชายชุดดำมากมายนับไม่ถ้วนที่กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่นี้ย่อมหมายความว่าหนิงอ้ายกับศิษย์ตงหยางนั้นคงได้ลงมือปกป้องตัวเองกันอย่างเต็มที่สุดความสามารถ แต่ถึงอย่างไรแล้วประสบการณ์ของเด็กหนุ่มยังคงไม่มากพอที่จะรับมือได้โดยง่าย เพราะจากญาณััหลงเหลือที่ปรากฏ อย่างน้อย ๆ ระดับฝีมือของกลุ่มคนเหล่านี้ย่อมไม่น้อยกว่าราชทินนามเทวะิญญาขั้นสูง หรืออาจเป็ถึงราชทินนามราชันิญญาขั้นต้นเลยเสียด้วยซ้ำ นับว่าเป็ความห่างชั้นที่สร้างความได้เปรียบเสียเปรียบหากต้องปะทะรับมืออย่างแท้จริง
"ผู้ใดกัน??" เหวินหวู่เอ่ยขึ้นพร้อมกับหันมองไปยังบริเวณที่ััได้ถึงพลังปราณสายหนึ่งที่กำลังมุ่งตรงเข้ามา
เงาร่างที่ปรากฏขึ้นย่อมเป็ศิษย์ของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ หากคาดเดาไม่ผิดอีกฝ่ายคงเป็ศิษย์นามว่าตงหยางผู้นั้น ทว่าสภาพของชายหนุ่มยามนี้ไม่อาจดูได้เลยเพียงนิด ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปความกังวลหวั่นไหว ร่างกายไหวเอนคล้ายกับหมดเรี่ยวแรงไปสิ้นก่อนจะทรุดตัวลงเบื้องหน้าอย่างหมดอาลัย
"ได้โปรดช่วยหนิงอ้ายด้วย!!" เสียงทุ้มของเฟยหลงเอ่ยขึ้นกับชายชรา ภาพตรงหน้าเลือนรางยิ่ง นั่นคงเป็เพราะเขาได้รีดเค้นพลังลมปราณเกินขีดจำกัดของร่างกายเนื้อหนังมนุษย์นี้ สิ้นคำกล่าวนั้นทุกสิ่งอย่างได้ดับมืดลงไปในที่สุด...
ยามเช้าของฤดูเหมันต์นี้ยังคงมีหมอกจาง ๆ ลอยอยู่แม้จะเป็ยามสายของวัน เสียงนกกากู่ร้องเป็ท่วงทำนองเสนาะหูได้ปลุกทุกสรรพสิ่งให้ตื่นขึ้นจากห้วงนิทราหลับใหล กลิ่นหอมอบอวลกระจายตามสายลมเฉื่อยชวนให้ผ่อนคลายยิ่งนัก
แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องลอดผ่านหน้าต่างของเรือนที่ถูกเปิดทิ้งไว้ ลมปราณบริสุทธิ์ไหลเวียนเข้มข้นได้ถูกดูดซับเข้าสู่ร่างกายแข็งแกร่งของชายหนุ่มอย่างสม่ำเสมอ ก่อนที่เปลือกตาหนาจะขยับไปมาก่อนเผยให้เห็นถึงดวงตาสีดำที่เปิดขึ้นอย่างช้า ๆ ภาพที่ปรากฎในสายตานั้นไม่ให้ความรู้สึกคุ้นชินแต่เพียงนิด ครั้นตั้งสติได้ว่าคืนที่ผ่านมาเกิดสิ่งใดขึ้น จึงรีบขยับลุกขึ้นจากเตียงอย่างไม่สงวนท่าที ความรู้สึกเจ็บเสียดบังเกิดขึ้นตรงบริเวณกลางอก สีหน้าของชายหนุ่มบิดเบี้ยวเล็กน้อยจากความเ็ป ทว่าความรู้สึกที่ว่าได้สูญเสียสิ่งสำคัญไปอีกครั้งนั้นช่างหนักหนากว่านับร้อยนับพันเท่า
"เป็อย่างไรบ้าง รู้สึกดีขึ้นแล้วหรือไม่??" เสียงของเหวินหวู่ดังขึ้นจากข้างนอก ก่อนที่ชายชราจะเดินเข้ามาใน ก่อนจะเข้ามาด้านในพร้อมกับนั่งลงตรงข้างเตียง
"ดีขึ้นมากแล้วขอรับผู้าุโ ข้าไม่ได้เป็อันใดมาก แต่ว่า..."
"ไม่ได้เป็อันใดมากอย่างนั้นรึ?? รีดเค้นพลังปราณในร่างกายอย่างไม่ยั้งคิด หากข้าช่วยเหลือเ้าไม่ทันแล้ว จุดตันเถียรของเ้าอาจได้รับผลกระทบเพียงใดสุดจะรู้ได้เสียด้วยซ้ำ!!" แววตาของชายชราเผยความตำหนิไม่น้อย สภาพของชายหนุ่มตอนที่เขาไปพบเจอนับว่าค่อนข้างแย่เลยทีเดียว
"ได้โปรดช่วยหนิงอ้ายด้วยขอรับ ผู้าุโเหวินหวู่!!" เฟยหลงเอ่ยขึ้นพร้อมกับคุกเข่าลงตรงหน้าชายชราด้วยความขมขื่น หากนับเวลาแล้วคงเป็หลายชั่วยามแล้วที่เด็กหนุ่มหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้
"เกิดสิ่งใดขึ้นเ้าจงเล่ามาให้ข้าทั้งหมดเสีย..." เหวินหวู่กล่าวเสียงดุออกมาอย่างคาดคั้นพยายามข่มอารมณ์โกรธไว้ภายใน
คืนที่ผ่านมาชายชราได้ส่งสัญญาณลับประจำตัวออกมาอย่างไม่ลังเลทั้งสิ้น นอกจากการปรากฏตัวของศิษย์นามว่าตงหยางนั้น ศิษย์ของเขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เป็เวลาหลายชั่วยามเลยทีเดียวกับความพยายามในครั้งนี้ แม้กระทั่งสมบัติวิเศษระดับสูงที่มีความพิศดารในการค้นหาโดยเฉพาะยังไม่อาจสืบค้นได้ถึงเบาะแสของเด็กหนุ่มได้เลยเพียงนิด สิ่งนี้ทำให้เหวินหวู่รู้สึกเป็กังวลใจเป็อย่างมาก ยิ่งระยะหลังมานี้สุดยอดรุ่นเยาว์ชายหญิงของตระกูล ศิษย์ประจำสำนักศึกษารวมไปถึงผู้ฝึกตนในยุทธภพที่มากฝีมือต่างหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็การกระทำของกลุ่มอิทธิพลใดกันทว่าย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดีอย่างแน่นอน...
เรือนรับรองฝั่งซ้ายหลังนี้ให้ความรู้สึกส่วนตัวเป็อย่างมาก โดยรอบเรือนยังมีหน้าต่างระบายให้ความรู้สึกโปร่งสบายไม่น้อย บรรดาสิ่งของเครื่องใช้ในเรือนล้วนทำขึ้นจากไม้เนื้อดีทั้งสิ้น ตรงบริเวณโดยรอบต่างเต็มไปด้วยไม้ยืนต้นที่ให้ความร่มรื่น อีกทั้งยังอบอวลไปด้วยกลิ่นของสมุนไพรอันล้ำค่าที่ผสานไปกับลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์ แน่นอนว่าสิ่งปลูกสร้างภายในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาล้วนถูกออกแบบประสานเป็ส่วนหนึ่งของธรรมชาติอย่างลงตัว
เหวินหวู่ผู้เป็ถึงนักปรุงโอสถระดับเจ็ดย่อมมีประสาทััการรับรู้อันเฉียบคมที่เหนือล้ำกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปมากจึงรับรู้ได้ถึงผู้มาเยือนที่กำลังมุ่งตรงเข้ามา ไม่นานนักเสียงก้าวเท้าเป็จังหวะดังสะท้อนกับพื้นเรือนก่อนจะปรากฎเป็ชายวัยกลางคนที่มีท่วงท่าอันสง่างามสูงศักดิ์
"รบกวนผู้าุโเหวินหวู่แล้ว..." เจียงเฉิงผู้เป็เ้าสำนักศึกษาเอ่ยขึ้น
"คำนับเ้าสำนักเจียงเฉิง / ศิษย์คำนับท่านอาจารย์ขอรับ" หนึ่งชายชรา หนึ่งชายหนุ่มประสานมือคำนับผู้มาเยือนใหม่ด้วยมารยาทวิถีที่พึงกระทำ เหวินหวู่เห็นว่าต่างทักทายกันเป็พิธีแล้ว จึงเชื้อเชิญชายวัยกลางคนผู้เป็เ้าสำนักคนปัจจุบันไปยังห้องโถงรับรองตรงด้านนอกเพื่อพูดคุยกันเสียที
"แล้วอาการเ้าเป็อย่างไรบ้างตงหยาง ยังรู้สึกผิดปกติตรงที่ใดอยู่หรือไม่??" เจียงเฉิงถามขึ้นด้วยความเป็ห่วง
"เป็เพราะความเมตตาจากผู้าุโเหวินหวู่ ตอนนี้อาการของข้าหายดีเป็ปกติแล้วขอรับ เพียงแต่ว่าตอนนี้เื่ของหนิงอ้าย..." เฟยหลงตอบกลับไปด้วยท่าทีร้อนรน
"สาเหตุที่อาจารย์เร่งรีบมาก็เป็เพราะด้วยเื่นี้ เอาละ!! เื่ราวเป็มาเช่นไรเ้าเล่ามาให้ละเอียดอย่าได้ปิดบังอาจารย์ เข้าใจหรือไม่??" เจียงเฉิงมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาตำหนิเล็กน้อยแต่ไม่ได้ดุด่ากล่าวโทษสิ่งใดออกมา
"ขอรับ..."
"หลังจากผู้าุโเหวินหวู่มีคำสั่งให้ศิษย์น้องหนิงอ้ายไปยังเมืองหมอกทมิฬ และท่านอาจารย์เห็นควรให้ข้าร่วมเดินทางไปเป็เพื่อนกับศิษย์น้องหนิงอ้ายเนื่องจากอีกฝ่ายอาจจะยังไม่คุ้นชินที่ทางสักเท่าใดนัก ใช้เวลาเกือบสามชั่วยาม ศิษย์น้องหนิงอ้ายก็ได้จัดการธุระทุกอย่างแล้วเสร็จสิ้น ตอนนั้นเป็เวลายามโหย่วแล้วพวกข้าทั้งสองคนจึงเห็นว่าสมควรแก่เวลากลับสำนักศึกษาเสียที เนื่องจากใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วยามโดยประมาณ..."
"ทว่าขณะเดินทางกลับสำนักได้มีกลุ่มชายชุดดำนับสามสิบกว่าคนซุ่มดักรออยู่ ก่อนจะเข้าล้อมจับกุมอย่างไม่กลัวเกรง จากการสนทนาพอให้ทราบว่ากลุ่มคนเหล่านี้้าจับผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์โดยมีค่าหัวค่อนข้างสูง พวกข้าทั้งสองคนได้ร่วมมือต่อต้านสังหารอย่างไม่พลาดพลั้งจนท้ายที่สุดพวกมันก็เป็ฝ่ายพ่ายแพ้และต่างตกตายไปสิ้น..."
"แต่ด้วยความประมาทของข้า อยู่ ๆ นั้นได้ปรากฏสิ่งบางอย่างที่แหวกม่านมิติระดับสูง ผู้บัญชาการคาดว่าความเหนือชั้นไปไม่น้อยกว่าผู้ฝึกตนราชทินนามเทพยุทธ์เสียด้วยซ้ำ ก่อนที่ข้าจะทำสิ่งใดได้ศิษย์น้องหนิงอ้ายก็ได้หายตัวไปโดยที่ข้าไม่อาจต้านทานได้เลยเพียงนิด"
"ข้าตงหยางผิดยิ่งนัก ท่านอาจารย์กับผู้าุโได้โปรดลงโทษด้วยขอรับ!!" ตงหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดอย่างสุดซึ้งก่อนจะคุกเข่าลงคำนับทั้งสอง ใบหน้าหล่อเหลายามนี้เผยแววตาโศกเศร้าหมดท่าทีอันสง่างามสมกับว่าที่เ้าสำนักคนต่อไปเสียสิ้น
"สิ่งที่เกิดขึ้นนี้หาได้เป็ความผิดของเ้าจงอย่าได้กล่าวโทษตนเองเช่นนี้ อย่างไรแล้วย่อมมีสมบัติวิเศษที่มีความพิเศษพิสดารกันทั้งสิ้น การแหวกม่านมิติ่ชิงตัวหาใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นเสียเมื่อไหร่ ไม่แน่การหายตัวไปของศิษย์สืบทอดหนิงอ้ายคงเป็ฝีมือของพวกมันเหล่านี้ก็เป็ไปได้เช่นกัน" เจียงเฉิงเอ่ยขึ้นด้วยท่าท่างเคร่งเครียด
"อีกทั้งตลอดเกือบสองเดือนมานี้ บรรดาศิษย์ประจำสำนักศึกษารวมไปถึงรุ่นเยาว์ในตระกูลน้อยใหญ่และชาวบ้านธรรมดาล้วนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยทั้งสิ้น บ้างก็ตกตายไปอย่างปริศนา บ้างถึงกับถูกสังหารด้วยการตายที่ผิดธรรมชาติ หรือหากยังมีชีวิตอยู่แต่กลับอาการคล้ายกับว่านอนหลับไปแต่เพียงเท่านั้น ทว่ากลิ่นอายของชีวิตกลับลดทอนลงเรื่อย ๆ ได้ว่าอาจเป็ฝีมือของมาริญญา ทว่าร่างไร้ิญญาที่ตกตายไปอย่างผิดธรรมชาติที่คล้ายกับซากแห้งอันนี้ดูไม่คล้ายกับวิธีการของมาริญญาเท่าไหร่นัก" เจียงเฉิงเอ่ยขึ้นตามข้อมูลที่พอรวบรวมได้ในยามนี้
"เท่ากับว่ายามนี้เราต้องเผชิญกับมารระดับสูงมากกว่าหนึ่งตน ท่านเ้าสำนักคิดอ่านเป็อย่างไร??" เหวินหวู่ถามกลับไป
"ก่อนหน้านี้การประชุมพูดคุยกันของทั้งห้าสำนักนั้นเป็เพียงการเฝ้าระวัง ทว่าเหตุการณ์ในยามนี้ไม่อาจมองว่าปกติได้ต่อไปเสียแล้ว ลำพังเพียงแค่เหล่าสำนักศึกษาย่อมไม่อาจรับมือได้เสียแล้ว สมควรแก่การเรียกประชุมครั้งใหญ่พร้อมกับอัญเชิญตัวตนราชทินนามเทพ์ิญญาออกมาจากด่าน์ ไม่รู้ว่าป้ายหยกสื่อสารที่ท่านบรรพชนมอบให้ยังใช้งานได้อยู่หรือไม่"
"หากเป็เช่นนี้แล้วข้าคงต้องเรียกศิษย์ที่พึ่งออกจากสำนักให้กลับคืนแต่โดยเร็ว คาดว่าคงต้องโอสถวิเศษจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว" เหวินหวู่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง แม้ว่าการออกเดินทางจากสำนักจะเป็ธรรมเนียมปฏิบัติมาอย่างยาวนาน อย่างไรแล้วเหตุการณ์ในยามนี้หาใช่ธรรมดาสามัญการเตรียมความพร้อมในทุกด้านย่อมสำคัญเป็ที่สุด
"เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวลาผู้าุโพร้อมกับพาศิษย์ของข้ากลับไปเสียก่อน อย่างไรการพูดคุยจะเกิดขึ้นในอีกสามวันให้หลังนี้ สำหรับการหายตัวไปของหนิงอ้ายศิษย์ของท่าน ข้าจะออกคำสั่งให้กองกำลังพิเศษและหน่วยข่าวกรองที่มีอยู่ทั่วในมหาทวีปนี้สืบเสาะข่าวให้อีกครั้ง" เจียงเฉิงเอ่ยสรุปก่อนจะขอตัวกลับไปจัดการเื่ราวต่าง ๆ หลังจากนี้ ทางฝั่งของเฟยหลงแม้จะไม่ยินยอมเท่าไหร่ แต่อย่างไรแล้วเขาก็มีวิธีการตามหาเด็กหนุ่มในรูปแบบของเขาเช่นกัน...
ภายในโถงถ้ำอันลี้ลับที่ก่อนหน้านี้ถูกฝังตัวอยู่ภายใต้ชั้นน้ำแข็งหนาได้เกิดมีรอยปริร้าวแตกขยายอาณาเขตออกไปเป็วงกว้าง ช่องว่างมิติปรากฏขึ้นเป็เส้นยาวบิดเบี้ยวกระเพื่อมไหวราวกับว่ามีบางสิ่งอย่างกำลังมุดผ่าน ร่างหนาที่ถูกกักขังมาเนิ่นนานพลันเหลือกลืมตาขึ้นเชิดหน้ากู่ร้องก่อนเงาร่างดังกล่าวจะแปรเปลี่ยนเป็รูปลักษณ์คล้ายคลึงมนุษย์มากยิ่งขึ้น ทว่ายังคงไว้ซึ่งร่างุ์ครึ่งมารอสูรดูน่ารังเกียจ มวลพลังสังหารอันกล้าแกร่งแผ่กระจายไปโดยรอบ เสียงหัวเราะอย่างสาแก่ใจดังสะท้อนไปมาชวนน่าสยดสยองยิ่ง
"พลังชีวิตของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ช่างหอมหวานยิ่งนัก…" เสียงแหบพร่าน่าสะอิดสะเอียนเอ่ยขึ้นอย่างพึงพอใจ
เป็เวลาหลายปีที่มันแฝงตัวอยู่ในมหาทวีปบูรพาแห่งนี้ แต่ด้วยเพราะการพลาดท่าในครั้งนั้นส่งผลให้มันต้องถูกจองจำพันธะนาการ ทว่าอย่างไรก็ตามนับวันพลังปราณยิ่งฟื้นคืนขึ้นตามจำนวนของผู้ฝึกตนที่ได้คร่าชีวิตไป กาฝากิญญาที่แฝงตัวด้วยจำนวนเพิ่มขึ้นส่งผลให้พลังลมปราณที่ถูกสูบกลืนล้วนส่งตรงมายังมันโดยตรง
"พันธนาการนี้นับวันยิ่งเสื่อมถอยลงเท่านั้น อีกไม่นาน อีกไม่นานเท่านั้น ข้าจะกลับมาทวงคืน ทุกสิ่งอย่างต้องถูกทำลายลงด้วยมือของข้าผู้นี้ ฮ่าฮ่าฮ่า"
