“ดังนั้นพูดไปแล้ว ครั้งนี้พระโพธิสัตว์หลิงของพวกเราโมโหแล้วหรือ?”
ซูเช่อพลิกตัว มือข้างหนึ่งช้อนศีรษะ ดวงตาที่เปล่งประกายประดุจดวงดาวจ้องมองนางนิ่งๆ
ดูท่า การตัดสินใจออกมาหานางในวันนี้ถูกต้องอย่างมากจริงๆ มิเช่นนั้น จะมีโอกาสได้อยู่ในห้องกับนางเพียงลำพังได้อย่างไร ไม่รู้ว่าข่าวนี้หากลอยไปเข้าหูของซั่งกวนเซ่าเฉินแล้วจะเป็เช่นไร
“แต่ว่าเมื่อย้อนกลับพูดมาแล้ว ซั่งกวนเซ่าเฉินถึงกับเคยมาที่นี่กับเ้าเพื่อตรวจรักษาด้วย?”
สมควรตาย เขารู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
“จวิ้นอ๋องน้อยไปสนใจเหล่าดอกท้อของท่านให้ดีเถอะ มีบางคนข้าไม่คิดจะไปสนใจเพราะี้เีจะทำให้กลายเป็เื่ใหญ่ แต่หากคนพวกนั้นได้คืบจะเอาศอก ถือโอกาสนี้ปีนป่ายขึ้นมาอีก เช่นนั้นก็อย่าได้โทษว่าข้าลงมือไม่ไว้ไมตรีแล้ว ”
ในตอนที่ซูเช่อพูดว่าร้านอาหารถูกปิด ประกอบกับได้เห็นว่าบุรุษชุดดำผู้นั้นมีฐานะไม่ธรรมดา นางก็เดาได้แล้วว่า คนผู้นั้นมีโอกาสมาจากจวนอัครเสนาบดี
ทั้งที่เป็คนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่กลับเป็เพราะนางทำให้คนที่บ้านและร้านค้าต้องเดือดร้อน ช่างเป็การท้าทายขีดจำกัดของนางเหลือเกิน
“อย่า หากเ้า้าสั่งสอนพวกเขา อย่าได้เห็นแก่หน้าของข้าเป็อันขาด แน่นอนว่า หากเ้าขาดคนแล้วละก็ ข้ายังสามารถช่วยเ้าได้” มารร้ายก็คือมารร้าย วิธีการคิดล้วนแตกต่างจากผู้อื่น
ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์หันศีรษะไปมองนั้น ก็เห็นเขาขยิบตาให้นางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความลุ่มหลง หลิงมู่เอ๋อร์หายใจเข้าลึกทีหนึ่ง ได้แต่ส่ายหัวเบาๆ “ท่านชอบให้ร้ายผู้อื่นเช่นนี้ มารดาของท่านรู้หรือไม่?”
ซูเช่อสีหน้าชะงักไปครู่หนึ่ง อาจเพราะได้ยินเสียงไอของป้ามั่วดังมาจากด้านใน และบางทีอาจเป็เพราะไม่้าจะตอบคำถามนี้ เขากลับถามว่า “คนผู้นี้ดูแล้วคุ้นตาอยู่เล็กน้อย เมืองเฟิ่งอยู่ไกลขนาดนี้ เ้ารู้จักกับนางได้อย่างไร?”
“เื่นี้ก็ไม่รบกวนให้จวิ้นอ๋องน้อยต้องลำบากใจแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นเขาไม่ตอบตน ตนเองก็ไม่คิดจะสนใจเขา นำมือทั้งสองใส่เข้าไปในผ้าห่มอย่างว่าง่าย “พระโพธิสัตว์ผู้นี้จะนอนแล้ว หากท่านมีความสามารถ ก็จ้องไปจนฟ้าสว่างเถิด”
กล่าวจบ หลิงมู่เอ๋อร์หลับตา เพียงครู่เดียว ก็รู้สึกว่ามีสายลมบางเบาระลอกหนึ่งพัดผ่าน ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์ใกล้จะหลับลึกนั้น ข้างหูก็มีเสียงที่น่าฟังดังมา “ฝันดี โพธิสัตว์หลิง”
ป้ามั่วอยากจะขอบคุณหลิงมู่เอ๋อร์ดีๆ ฟ้าพึ่งสว่างก็ลุกขึ้นมาแล้ว แต่กลัวว่าจะรบกวนผู้มีพระคุณ ฝีเท้าของนางก้าวเบา ปรากฏว่าเมื่อออกมา ก็เห็นคุณชายท่านหนึ่งกำลังพักผ่อนอยู่หน้าประตู
ได้ยินเสียงฝีเท้า ซูเช่อก็หันมามอง ทำสัญญาณมือให้เงียบเสียง เขาไม่หันไปยังดี ทันทีที่หันไปก็ทำให้ตนเองต้องใจนสะดุ้ง
เมื่อคืนดึกมากแล้ว เขามิได้เห็นใบหน้าของป้ามั่วอย่างชัดเจน วันนี้ได้ใกล้ชิดในระยะใกล้เช่นนี้ เขารู้สึกว่า ใบหน้าที่ชราภาพนี้ อวัยวะทั้งห้านี้ ราวกับเคยปรากฏในที่ใดมาก่อน
“ท่านป้ามั่ว ท่านอาศัยอยู่ที่นี่มาโดยตลอดหรือ?”
ซูเช่อเห็นนางตักน้ำจะทำอาหาร ก็รีบเข้าไปช่วย ป้ามั่วชอบเ้าหนุ่มที่รู้ความเช่นนี้ “เกือบยี่สิบปีแล้ว ท่านอย่าได้เห็นว่าหมู่บ้านนี้เล็ก แต่เงียบสงบมาก ที่จริงแล้ว เมื่อคืนท่านไม่จำเป็ต้องเฝ้ายามให้นาง หลายปีมานี้ หมู่บ้านของเราไม่เคยเกิดเื่ใดมาก่อนเลย ทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยเป็สุขอย่างมาก”
ถูกท่านป้ามองความในใจออก ซูเช่อเพียงยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ดวงตาทั้งคู่นั้นราวกับจะมองนางให้ทะลุ “ดวงตาของท่านป้า หรือว่ามีปัญหาใด?”
“พูดไปแล้ว ก็เป็เื่เมื่อหลายปีก่อน หากมิใช่เพราะได้พบกับแม่นางหลิง เกรงว่าคงจะบอดนานแล้ว” กล่าวจบ ป้ามั่วยังถอนใจครั้งหนึ่ง “แต่ว่าแม่นางบอกว่า ดวงตานี้ของข้ายังสามารถรักษาได้ และก็เป็เพราะนาง ข้าจึงยังรอดชีวิตมาได้ ไม่ว่าจะขอบคุณอย่างไรก็ไม่พอจริงๆ”
นางตักน้ำและนวดบะหมี่เสร็จ วางแผนจะทำขนมเปี๊ยะไส้น้ำตาลที่นางเชี่ยวชาญให้หลิงมู่เอ๋อร์
เมื่อก่อนทุกครั้งหลังจากรักษาเสร็จ นางล้วนอยากรั้งหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ให้อยู่กินข้าว แต่ผลคือ ไม่ว่าอย่างไรคนเขาก็ไม่ตกลง วันนี้ ในที่สุดก็ได้โอกาสแล้ว
“ท่านป้า เหตุใดท่านจึงตื่นเช้าเช่นนี้เล่า ฟ้ายังไม่สว่างเลย” หลิงมู่เอ๋อร์หาวพร้อมกับเดินออกมาจากห้อง ห้องครัวของป้ามั่วอยู่ในเพิงที่ก่อแยกขึ้นมาด้านนอกหลังหนึ่ง เมื่อมองซูเช่อที่สดชื่นไปทั้งตัวอีกครั้ง นางขยี้ดวงตา “จวิ้นอ๋องน้อยเป็เพราะสภาพแวดล้อมไม่ดีพอทำให้นอนไม่หลับหรือ?”
“อืม แน่นอนว่าเปิ่นหวางต้องนอนบนด้ายทองคำที่นุ่มนวลจึงจะสมกับฐานะ” ซูเช่อดึงนางไปอีกด้าน กล่าวอย่างลึกลับว่า “ที่อยู่ของท่านป้าท่านนี้ห่างไกลเช่นนี้ พวกเ้ารู้จักกันได้อย่างไร เ้ารู้ชื่อของนางหรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์แสร้งหัวเราะเยาะ “มิน่า หลายปีมานี้จวิ้นอ๋องน้อยไม่ยอมแต่งภรรยา ที่แท้ความชอบส่วนตัวพิเศษถึงเพียงนี้”
“ข้ามีความชื่นชอบเช่นใดหรือว่าเ้าอยากจะลองดูสักครั้ง พอดีกับที่ตอนนี้ไม่มีใครมารบกวน เชื่อว่านำเ้ากับท่านป้ามาฝึกฝีมือล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า เ้าเชื่อหรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่พูดเล่นกับเขาอีก “รู้จักกันโดยบังเอิญในเมืองหลวง สุขภาพของนางไม่ดีจากโรคที่เป็มานานแล้ว ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงจะบอกว่าไกลก็ไม่ไกล บอกว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ นางเป็สตรีอายุมากที่ร่างกายไม่สะดวกผู้หนึ่ง ข้าจึงมาทำการรักษาที่นี่ทุกครั้ง ส่วนเื่ชื่อแซ่ ข้ารู้ว่าแซ่มั่ว”
ราวกับได้ยินข่าวใหญ่ที่น่าใจนฟ้าดินสั่นะเืภูติเทพคร่ำครวญ สองตาของซูเช่อว่างเปล่า ทั่วทั้งร่างชะงักงัน
“เ้าไม่เป็ไรกระมัง ซูเช่อ?” หลิงมู่เอ๋อร์โบกมือเบื้องหน้าของเขา ผ่านไปครู่หนึ่งฝ่ายหลังจึงได้สติกลับมา
“ท่านป้ากำลังเรียกพวกเราไปกินข้าวเช้า” อ้อมผ่านร่างของนาง ซูเช่อเดินดิ่งนำอยู่ด้านหน้า แต่สีหน้ากลับมิได้น่ามองเช่นเมื่อครู่อีก
นางไม่ได้พูดสิ่งใดผิดไปกระมัง
“แม่นางหลิง หญิงชราผู้นี้ไม่มีของดีอะไร ขนมเปี๊ยะไส้น้ำตาลนี้เป็ของที่ข้าชำนาญที่สุด ก็ถือว่าเป็การขอบคุณความช่วยเหลือของท่านใน่เวลาอันสั้นที่ผ่านมานี้” ป้ามั่วนำขนมเปี๊ยะไส้น้ำตาลที่ทอดเสร็จแล้วส่งไปเบื้องหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างระมัดระวัง ก่อนวางลง ยังตั้งใจใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดจานที่วางอยู่เบื้องหน้าอย่างละเอียด
“ขอบคุณท่านป้า”หลิงมู่เอ๋อร์ไม่อยากให้นางยุ่งยากจนเกินไป รีบเรียกให้นางนั่งลงด้วยกัน หลังป้ามั่วพยักหน้าก็คีบขนมเปี๊ยะไส้น้ำตาลที่เหลือลงในชามของซูเช่อ ในตอนที่นั่งลงนั้น ยังได้จัดความเรียบร้อยของเสื้อผ้า ดูไปแล้วป้ามั่วก็เคยเป็ผู้ที่มีระเบียบวินัยเช่นกัน
“ท่านป้ามั่วช่างพิถีพิถันนัก ไม่ทราบว่าก่อนมาที่เมืองเฟิ่ง ท่านเคยอาศัยอยู่ที่ใดมาก่อน อีกทั้ง เหตุใดร่างกายจึงได้มีาแจำนวนมากเช่นนี้?”
ป้ามั่วรู้สึกเพียงว่า นี่เป็ความสงสัยที่คนหนุ่มสาวมีต่อนาง จึงมิได้คิดมาก “ก่อนหน้านี้ข้าก็อาศัยอยู่ในเมืองหลวง แต่เป็เพียงปุถุชนธรรมดาเท่านั้น ต่อมาประสบกับเื่บางอย่าง คนในครอบครัวเสียชีวิตไปหมด ได้พบพี่น้องที่ดีผู้หนึ่งคอยดูแลเอาใจใส่ จึงได้มาที่เมืองเฟิ่งด้วยกัน ส่วนร่างกายนี้…”
ความเ็ปวาบขึ้นในก้นบึ้งดวงตาของท่านป้า แต่สายตานั้นกลับทอดยาวห่างไกล ราวกับเป็เื่ที่เกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว ในยามที่มองซูเช่อนั้น ในสายตาที่พร่าเลือนของนาง มีความขมขื่นวาบผ่าน “ส่วนแผล เป็เพียงอาการที่เกิดจากการตรากตรำมานานหลายปีเท่านั้น”
ซูเช่อมิได้เชื่อ หลิงมู่เอ๋อร์ย่อมไม่เชื่อเช่นกัน แต่ท่านป้าไม่อยากพูด พวกเขาล้วนไม่มีทางบังคับ
ท่านพ่อกับท่านแม่ของนางยังเป็ห่วงนางอยู่ หลังจากที่ป้ามั่วพยายามรั้งไว้ถึงสามครั้ง หลิงมู่เอ๋อร์ก็นำขนมเปี๊ยะน้ำตาลที่เหลือกลับเมืองหลวง
ตลอดทาง ซูเช่อกลัดกลุ้มไม่มีความสุข
“จวิ้นอ๋องน้อยร่างกายมีที่ใดไม่สบายหรือ ข้าตรวจดูให้ท่านสักหน่อยดีหรือไม่?”
ซูเช่อจึงได้เงยศีรษะขึ้นมา แม้จะยังคงเป็รอยยิ้มที่อ่อนโยน แต่ในรอยยิ้มกับมีความขมขื่นเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วน “เ้าเป็แพทย์ เ้าดูออกใช่หรือไม่ว่าอาการเจ็บป่วยของคนผู้หนึ่งเกิดจากการาเ็หรืออายุที่มากขึ้นใช่หรือไม่ ไม่ทราบว่าสามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่า อาการของป้ามั่วที่แท้เป็เช่นใดกันแน่”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงอยากรู้เื่ของหญิงชรานางหนึ่งถึงเพียงนี้ แต่ยังคงตอบเขาอย่างละเอียด “ร่างกายของป้ามั่วไม่ได้เกิดจากอายุจริงๆ ที่ขามีอาการาเ็เก่า กระดูกขาแตกหัก น่าจะเป็การกระทำของมนุษย์ ยังมีดวงตาคู่นั้น มิได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแต่เป็ฝีมือของมนุษย์อีกเช่นกัน ข้าเคยลองเลียบเคียงถามนางดู แต่นางไม่เต็มใจที่จะพูด คิดว่า อดีตใน่นั้นคงจะเ็ปมากกระมัง ก็ไม่รู้ว่าเป็ผู้ใดที่โเี้ถึงเพียงนี้ ท่านก็คงจะมองออกว่า ยามที่ป้ามั่วยังเยาว์วัยนั้น น่าจะเป็หญิงที่งดงามผู้หนึ่งอย่างแน่นอน
แน่นอนว่างดงาม อย่าพูดถึงแต่ยามเยาว์ ต่อให้เป็ตอนนี้ เมื่อเปรียบกับคนในวัยเดียวกันแล้วก็ดูสง่างามมีเสน่ห์กว่ามาก
แม้จะสวมอาภรณ์เก่าทั้งชุด แม้จะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเฟิ่งซึ่งเป็อำเภอที่ค่อนข้างล้าหลังนี้ แต่อาภรณ์ของนางเรียบร้อยเป็ระเบียบอย่างมาก ราวกับมีการใส่ใจอยู่ตลอดเวลา นี่เป็เื่ที่หญิงชราทั่วไปไม่อาจทำได้
“ข้ายังมีเื่บางอย่างที่ต้องทำ ขอแยกกันตรงนี้ ยังมีเื่ที่เ้าโดนลักพาตัว อย่าได้ลงมือโดยพลการ ล้วนมอบให้ข้า”
ทิ้งคำพูดไม่กี่คำไว้อย่างน่าอึดอัด ซูเช่อจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว หลิงมู่เอ๋อร์อ้าปากยังคิดจะพูดสิ่งใด แต่เห็นเงาหลังที่อ้างว้างของเขาก็ขมวดคิ้วแน่น
“มู่เอ๋อร์ เ้ากลับมาแล้วหรือ?” เสียงของหยางต้าโหย่วดังมาจากทางเื้ั ท่านลุงมักตื่นแต่เช้า เห็นว่าเป็มู่เอ๋อร์จริงๆ เขาก็ดีใจจนรีบกลับไปปลุกทุกคน
“เ้าสาวน้อยคนนี้ ไปที่ใดมากันหือ เกิดสิ่งใดขึ้น ใช่ระหว่างทางพบเื่อะไรเข้าหรือไม่ จวิ้นอ๋องน้อยเล่า เหตุใดจึงมิได้กลับมากับเ้าด้วย?”
หยางซื่อที่เดิมก็ไม่ได้นอนทั้งคืน เมื่อได้ยินเสียงก็รีบพุ่งออกมาอย่างรีบร้อน วนสำรวจรอบตัวหลิงมู่เอ๋อร์ไปรอบหนึ่ง มั่นใจวางนางไม่ได้รับาเ็ จึงได้ถอนใจอย่างโล่งอก จับมือทั้งคู่ของนางไว้แน่น “ทำให้พวกเราห่วงจะแย่แล้ว จากนี้ห้ามออกไปรักษาโรคข้างนอกในตอนกลางคืนอย่างเด็ดขาดเลยนะ”
เห็นท่าทางหวั่นวิตกของทุกคน ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์ก็มีความอบอุ่นกระแสหนึ่งไหลผ่าน นี่เป็ความอบอุ่นที่ชาติที่แล้วไม่เคยได้มีมาก่อน ชาตินี้ราวกับจะแผดเผานางให้ร้อน
“ท่านแม่ ท่านพ่อ ท่านยาย ท่านลุง ขอโทษด้วยเ้าค่ะ ทำให้พวกท่านกังวลแล้ว เมื่อวานเป็เพราะเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นจริงๆ ทำให้กลับมาช้าแล้ว แต่พวกท่านวางใจได้ เื่เช่นนี้จะไม่มีครั้งที่สองอีกแน่นอน จวิ้นอ๋องน้อยเพราะมีเื่สำคัญต้องทำจึงกลับไปก่อนแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่อยากให้พวกเขาถามเื่ที่เมื่อวานถูกลักพาตัวอย่างละเอียด เพื่อเลี่ยงมิให้ต้องคอยกังวลทั้งวัน จึงรีบเบี่ยงความสนใจของทุกคน “เื่เมื่อวานข้าได้ยินซูเช่อเล่าทั้งหมดแล้ว ท่านพ่อ ตอนนี้ร้านอาหารยังเปิดทำการตามปกติกระมัง? แขกที่มาทานข้าว มีการแสดงออกใดที่ผิดปกติหรือไม่? เป็เพราะข้ายังแข็งแกร่งไม่พอ ทำให้คนพวกนั้นใช้ประโยชน์จากช่องโหว่”
หลิงต้าจื้อรีบส่ายหัว “ข้าได้ยินจวิ้นอ๋องน้อยบอกหมดแล้ว เป็จวิ้นจู่น้อยจื่อซีผู้นั้นหาความสนุก นั่นเป็เด็กสาวที่ดุร้าย ครั้งนี้ได้รับการสั่งสอนแล้วคิดว่าคงไม่ก่อเื่อีก ไม่เกี่ยวกับมู่เอ๋อร์ ”
จากที่ไกล จูฉีเมื่อได้ยินข่าวที่หลิงมู่เอ๋อร์กลับมาอย่างปลอดภัยก็รีบออกมา แค่มองก็เห็นหลิงจือเซวียนยืนอยู่ที่ประตูอย่างโมโห ในดวงตาเต็มไปด้วยไอสังหาร “พี่หลิง ท่านเป็อะไรไป? มู่เอ๋อร์กลับมาแล้วท่านควรดีใจจึงจะถูก เหตุใดจึงไอสังหารคุกรุ่นเช่นนี้เล่า”
จึงได้สติกลับมา หลิงจือเซวียนรีบเก็บงำไอสังการนั้น ฝืนยิ้มออกมา “ข้าไม่เป็ไร ถึงเวลาแล้ว ไปกันเถอะ พวกเราไปคารวะท่านอาจารย์ด้วยกัน”
สภาพของหลิงจือเซวียนใน่นี้ไม่ปกติอย่างมาก เมื่อครู่ดวงตาคู่นั้นยิ่งหนาวเหน็บอย่างมาก จูฉีหันศีรษะกลับมามองหลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ไกลออก และก็มองเขาอย่างไม่วางใจ มือข้างหนึ่งวางลงบนไหล่ของเขา “ข้ากับท่านเพียงพบหน้าก็ราวรู้จักกันมานาน แม้จะไม่รู้ว่าในใจของท่านคิดสิ่งใด แต่ไอสังหารเมื่อครู่ของท่านไม่อาจหลอกคนได้ พี่หลิง อย่าได้ลืมปณิธานเดิมของท่าน ความฝันของท่าน ไม่อาจทำเื่ที่ย้อนกลับไปไม่ได้เด็ดขาด ข้าเชื่อว่าน้องมู่เอ๋อร์ก็ไม่้าเห็นท่านหุนหันเช่นกัน”