เฮ้อ! สำหรับข้าแล้วความร่ำรวยสูงศักดิ์ดุจเมฆาลอยเคลื่อนจู่ๆ พลันหายไป
กงอี่โม่เดินอยู่บนถนนตัวคนเดียว นางยังคงอยู่ในชุดพระราชวังอันเรียบง่ายตอนที่ออกมาฉางสี่ได้มอบเงินให้นาง ทว่าในเวลาต่อมานางใช้เงินส่วนนี้ส่งข้อความแจ้งข่าวถึงอ๋องแดนประจิมให้เร็วที่สุดเวลานี้นางจึงไร้ทรัพย์สินเงินทองแล้ว ช่างอึดอัดเหลือเกิน
ร้านค้าต่างๆ ในชื่อของนางล้วนต้องผ่านอ๋องแดนประจิมส่วนนางดูแลร่วมกับกงเจวี๋ย ดังนั้นตอนนี้นางยังไม่สามารถไปที่ร้านค้าเ่าั้ได้เพราะเกรงว่าจะมีคนเปิดเผยความลับ โชคดีที่ยังมีคนของนางอยู่ข้างกายกงเจวี๋ยขอแค่สามารถขวางจดหมายก่อนถึงมือกงเจวี๋ยอีกทั้งการปิดบังเื่นี้เป็ความร่วมมือระหว่างนางและอ๋องแดนประจิม ดังนั้นการปกปิดเื่นี้กับกงเจวี๋ยที่ยังคงอยู่ระหว่างทางจึงไม่น่าเป็ปัญหา
ขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น นางก็เดินไปตามท้องถนนอย่างไร้จุดหมายสภาพด้านนอกเป็เช่นไร กงอี่โม่เคยเดินมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนเมืองหลวงของที่นี่เจริญแล้วก็จริง ทว่ามันก็ยังคงล้าหลังอยู่นอกเสียจากงานฝีมือที่ทำอย่างประณีตสวยงามแล้ว ของอื่นๆ ยังคงไม่น่าสนใจสำหรับนาง
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย พลันมีม้าตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ส่วนผู้ที่อยู่บนหลังม้าคือคุณชายในชุดแพรอันหรูหรา ท่าทางหยิ่งผยองแม้จะอยู่ในตลาดอันคึกคักเขาก็ไม่ลดความเร็วแม้แต่น้อย ยังดีที่ถนนกว้างพอสมควรมิฉะนั้นไม่รู้ว่าชาวบ้านจะต้องาเ็มากเพียงใด
กงอี่โม่ส่ายศีรษะ ยังคงเดินไปตามทางของตน ตอนนี้นางไม่ใช่องค์หญิงแล้ว ไม่มีเวลายุ่งกับเื่เหล่านี้
ช่างน่าเสียดาย นางไม่คิดหาเื่ ทว่าเื่กลับพุ่งเข้าหานางนางเห็นเพียงเดิมทีคุณชายในชุดแพรควบม้าอยู่ดีๆ แต่เมื่อเขาเห็นนาง เขากลับอุทาน“เอ๊ะ” อย่างฉับพลัน จากนั้นจึงหยุดม้าลง
เขามีหน้าตางดงาม ซึ่งแตกต่างจากความเ็าของกงเจวี๋ยและความอ่อนโยนของกงเช่อ ท่าทางของเขาดูโดดเด่นสะดุดตา เป็ความงามหยิ่งผยองั์ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความดื้อรั้น ดูท่าน่าจะมีตำแหน่งฐานะไม่ต่ำเลยทว่ากงอี่โม่ไม่เคยเจอเขามาก่อน
เมื่อเห็นเขาใกล้เข้ามา กงอี่โม่จึงมองซ้ายทีขวาทีสุดท้ายนางจึงมั่นใจว่าอีกฝ่ายกำลังมองนาง
“เ้าคือองค์หญิงจาวหยาง?” เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนหลังม้า เขาลูบปลายคางทำท่าครุ่นคิดทบทวนความทรงจำปกติเขาเป็คนความจำดี จังหวะที่เห็นนางแต่ไกลนั้นเมื่อมองอย่างละเอียดเขาจึงมั่นใจว่าเป็นางไม่ผิดตัว
กงอี่โม่คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรู้จักตนเองขณะที่นางกำลังดีใจอยากขอยืมเงินเล็กน้อยมาใช้จ่ายชั่วคราว อีกฝ่ายกลับสบถเสียงเย็นหนึ่งคำ
“ฮึ เกือบลืมไป ยังมีองค์หญิงจาวหยางเสียที่ไหนก็แค่สามัญชนคนหนึ่งเท่านั้นเอง” เขาเพิ่งได้รับข่าววันนี้เองแต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะได้เจอนางเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็ลิขิต์จริงๆ
กงอี่โม่พลันยิ้มค้าง ได้ ถือว่านางคิดไปเอง นางเดินหลบเองก็ได้
“หยุดเดี๋ยวนี้ข้าปล่อยให้เ้าไปแล้วหรือ?!”
เขาแทนตัวเองว่าซื่อจื่อ* ทำให้กงอี่โม่เริ่มคุ้นเคยบ้าง
ราชวงศ์ต้าอวี้มีผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็อ๋องจากการทำความดีความชอบชื่อผิงอ๋องได้ยินมาว่าบุตรชายของเขามีหน้าตางดงามดุจหยก แต่กลับเป็คนอารมณ์ร้ายเพราะเกรงว่าเขาจะล่วงเกินผู้อื่น ดังนั้นบุตรคนนี้จึงปรากฏตัวในงานเลี้ยงภายในวังน้อยครั้ง
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา เขาจึงน่าจะเป็บุตรชายของผิงอ๋องผู้นั้นมิน่านางจึงไม่เคยเจอเขามาก่อน
เมื่อคิดถึงจุดนี้นางจึงมองซื่อจื่ออย่างเห็นใจ นางจำได้ว่าชาติที่แล้วซื่อจื่อผู้นี้เสียชีวิตเพราะถูกมารดาเลี้ยงใส่ร้ายจนตายผ่านไปสิบปีความจริงจึงปรากฏขึ้น ดูจากสภาพของเขาในเวลานี้ เขาก็อายุไม่น้อยแล้วนางจึงเอ่ยถาม
“ปีนี้ท่านอายุเท่าไร?”
เดิมทีเด็กหนุ่มตั้งใจตะคอกใส่นางอย่างไม่พอใจแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายหันหน้ากลับมา เอ่ยปากคำแรกก็ตั้งคำถามเช่นนี้เขาจึงตอบคำถามโดยไม่คิดอะไร
“สิบแปดไม่สิ! ทำไมข้าต้องบอกเ้าด้วย?!”
ที่แท้ก็ใกล้ถึงเวลาตายแล้ว! กงอี่โม่ส่ายศีรษะอย่างเสียดาย นางไม่้าคิดเล็กคิดน้อยกับเขาแล้ว แต่เอ่ยถามอย่างอ่อนโยน“ท่านมีธุระอะไรกับข้าหรือ?”
เมื่อกล่าวจุดนี้ อีกฝ่ายก็มองอย่างโมโห แต่แล้วพลันหัวเราะออกมา
“ข้าเห็นเ้าแล้วรู้สึกขัดลูกหูลูกตา!”
ขณะที่กล่าวนั้นเขาพลันเปลี่ยนอารมณ์ในทันใด สะบัดแส้ในมือใส่กงอี่โม่อย่างรวดเร็วดุจสายลม
พระมารดาเถอะ! นางไปทำอะไรให้เขาหรือ?!
กงอี่โม่รีบเบี่ยงตัวหลบอย่างฉับพลัน ส่วนผู้คนรอบๆเห็นผู้มีอำนาจแสดงออกอย่างโหดร้าย พวกเขาต่างหลบออกไปไกลไม่มีใครอยากดูละครฉากนี้เพราะพวกเขาไม่้าเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้มากกว่า
เมื่อหลบแส้หลายครั้งแล้ว กงอี่โม่จึงเริ่มอารมณ์เสียเพราะการกระทำของอีกฝ่าย ตอนนี้พวกเขาติดอยู่บนถนนภายในเมืองหลวงบางทีอีกสักพักทหารพิทักษ์เมืองอาจเดินทางมาที่นี่ ดังนั้นนางจึงกลอกตาพร้อมคว้าแส้ที่อีกฝ่ายสะบัดใส่นางไว้อย่างแ่าจากนั้นส่งยิ้มเ้าเล่ห์ให้อีกฝ่าย
ในเมื่อเป็เช่นนี้ก็อย่ากล่าวโทษว่าข้าไม่เกรงใจ
นางพันปลายแส้เป็วงกลมไว้บนมือของตน จากนั้นจึงออกแรงกระชากทว่าอีกฝ่ายกลับใช้แรงมากกว่าเดิมดึงกลับไปกงอี่โม่จึงยืมแรงสะท้อนครั้งนี้ะโขึ้นบนหลังม้าด้านหลังของซื่อจื่ออีกทั้งยังพลิกมือกลับจึงกลายเป็การกักตัวเด็กหนุ่มไว้ด้านในนางใช้แส้ของเขามัดตัวเขาไว้
เนื่องจากวรยุทธ์ของพวกเขาอยู่กันคนละระดับเด็กหนุ่มจึงถูกนางมัดไว้โดยไม่ทันตั้งตัวแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยถูกกระทำเช่นนี้มาก่อน เขาพยายามอดกลั้นจนใบหน้างามแดงก่ำ
“เ้าบังอาจมาก!” สตรีนางนี้เป็ตัวประหลาดเช่นใดกันแน่ อายุยังน้อยแต่กลับมีฝีมือขนาดนี้แล้ว
“เ้ารีบปล่อยข้าโดยเร็ว มิฉะนั้นข้าจะเล่นงานเ้า”
“ได้ ท่านก็ลองดูสิ!” กงอี่โม่นั่งอยู่ทางด้านหลังของเขาพร้อมส่งยิ้มเ้าเล่ห์
เมื่อกล่าวจบสองมือของนางก็อ้อมตัวเขาเพื่อกุมบังเหียน ดังนั้นในสายตาของคนนอกเด็กหนุ่มที่อารมณ์ร้ายมากผู้นั้นถูกสาวน้อยที่อ่อนกว่าเขามากมัดอยู่บนหลังม้าสถานการณ์เช่นนี้มันช่างแย่กว่าเดิมเสียอีก!
ซื่อจื่อเพิ่งรู้ตัวในภายหลังเขาโกรธจนหน้าเขียว
“ไร้ยางอาย! รีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ผู้หญิงอัปลักษณ์เ้าไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ?!”
แม้ว่ากงอี่โม่จะอายุยังน้อย ทว่านางมีรูปร่างสูงมาก เวลานี้นางสะบัดแส้ม้าตัวนี้จึงพุ่งออกไปนอกเมืองราวกับลูกศรที่ถูกปล่อยออกจากคันธนู
ร่างของเด็กหนุ่มถอยไปด้านหลังอย่างไม่อาจควบคุมจึงตกอยู่ในอ้อมกอดของกงอี่โม่โดยตรงเขารู้สึกอับอายอย่างยิ่งจนอยากฉีกร่างกงอี่โม่ออกเป็ชิ้นๆ ทว่ากงอี่โม่กลับมีความสุขมากนางหัวเราะอย่างร่าเริงอยู่ข้างใบหูของอีกฝ่าย
“ท่านด่าต่อสิ ด่าเสียงดังขึ้นอีกหน่อย ท่านรู้ไหม? ท่าทางด่าคนของท่านมันช่างร้อนแรงน่าหลงใหลยิ่งนัก!”
เด็กหนุ่มกำลังเกร็งร่างตีหน้าขรึม แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้วเขาจึงโกรธจนใบหน้าแดงจัดราวกับมีหยดเื ทว่าซื่อจื่อยังไม่ทันโต้แย้ง น้ำเสียงเ้าเล่ห์ของสาวน้อยกลับลอยผ่านใบหูของเขาอย่างชัดเจนอีกครั้ง
“คาดว่าตอนนี้คนทั้งเมืองหลวงคงรู้ว่าซื่อจื่อบุตรผิงอ๋องผู้หยิ่งยโสมีความสามารถสู้สาวน้อยคนหนึ่งไม่ได้เลยชื่อเสียงของซื่อจื่อคงย่อยยับไปกับตา ลองคิดดูก็น่าตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน”
“อ๊ากๆๆ ผู้หญิงอัปลักษณ์! เ้าหุบปากเดี๋ยวนี้”
ขณะที่ผ่านประตูเมืองนั้น ผู้ที่ทหารเห็นก่อนใครก็คือซื่อจื่อ พวกเขารีบเปิดทางอย่างรวดเร็วไม่มีใครกล้าขัดใจเทพเ้าอารมณ์ร้ายผู้นี้ ทว่าเมื่อม้าวิ่งเข้าใกล้เสียงตะคอกของซื่อจื่อจึงดังลอยมา
“สารเลว! พวกเ้าทำงานกันอย่างไร? ทำไมยังไม่รีบสกัดนางไว้อีก”
เขากล่าวยังไม่ทันจบผู้คนทั้งหลายจึงเห็นว่าด้านหลังของเขามีศีรษะของสาวน้อยปรากฏขึ้นนางคลี่ยิ้มให้กับทุกคน “ขอบคุณทุกท่านที่เปิดประตูข้าจะพาซื่อจื่อออกไปเที่ยวเล่นนอกเมือง ไม่ต้องเป็ห่วงล่ะ!”
ทหารพิทักษ์เมืองจึงพบว่าซื่อจื่อถูกมัดอยู่บนหลังม้า เขารีบกล่าวอย่างร้อนใจ“เ้ารีบตามไป ส่วนพวกเ้ารีบไปรายงานที่จวนผิงอ๋องโดยด่วน”
ไม่ว่าพวกเขาจะรีบจัดการเพียงใด ทว่ากงอี่โม่ก็ได้พาเด็กหนุ่มออกไปไกลเสียแล้ว ม้าเร็วถูกฟาดด้วยแส้สายลมปะทะใบหน้าทำให้กงอี่โม่รู้สึกสดชื่นสบายใจยิ่งนักความอึดอัดที่ผ่านมาพลันหายไป นางคิดว่าชีวิตนอกวังอาจเหมาะกับนางมากกว่า
หลังจากพยายามดิ้นรนมาระยะหนึ่ง ซื่อจื่อจึงรู้ว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยเขาไม่คิดเปลืองแรงอีก ทว่าดวงตาของเขากลับถลึงตาใส่กงอี่โม่อย่างเกรี้ยวกราด
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเป็เช่นนี้ กงอี่โม่จึงรู้สึกอยากหยอกเขาเล่นนางสบตากับอีกฝ่ายพร้อมเอ่ยขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
“พี่ชาย หากท่านยังมองข้าเช่นนี้ต่อไป ข้าจะจูบท่านแล้วนะ”
คำพูดของนางทำให้ดวงตาเด็กหนุ่มแทบถลนออกมาจากนั้นจึงกล่าวอย่างรังเกียจแกมไม่อยากเชื่อ“ทำไมบนโลกนี้จึงมีสตรีที่หน้าไม่อายมากมายอย่างเ้าด้วยล่ะ?”
กงอี่โม่ไม่รู้สึกโกรธ สำหรับคนแปลกหน้าแล้ว นางไม่เคยสนใจว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไร
“ที่ท่านไม่รู้ก็เป็เพราะโลกของท่านคับแคบน่ะสิ!”
เวลานี้ม้าได้หยุดลงแล้ว นางจึงผลักอีกฝ่ายลงจากหลังม้าส่วนนางก็ก้มมองเขาจากบนหลังม้า
“ท่านจำเป็ต้องออกไปเดินดูโลกกว้างบ้าง แล้วท่านจะรู้ว่ายังมีสตรีเช่นข้าอีก”
ดวงตาของนางขยับเล็กน้อย แต่แล้วนางพลันหัวเราะอย่างอวดดี “แต่แน่นอนข้าย่อมไม่เหมือนใคร!”
หลังจากถูกผลักตกจากหลังม้าแล้ว ซื่อจื่อเบะปากอย่างเ็ปเมื่อได้ยินคำพูดไร้ยางอายระคนอวดดีของนาง ทำให้เขาแทบกระอักเืออกมาเป็สตรีที่โอหังยิ่งนัก เขาแอบสาบานอยู่ในใจเป็พันรอบ เขาจะต้องฉีกร่างของอีกฝ่ายออกเป็ชิ้นๆ
เวลานี้เขาจึงเพิ่งสังเกตเห็น ที่แท้พวกเขาได้ออกมาจากเมืองหลวงมาไกลมากแล้วบริเวณรอบๆ เป็ทิวทัศน์อันงดงาม พวกเขากำลังอยู่ริมแม่น้ำสายหนึ่งนี่มันเป็สถานที่บ้าๆ ที่ไหนกันเนี่ย?!
พวกเฝ้าประตูเมืองมัวทำอะไรอยู่? ทำไมจนกระทั่งบัดนี้ยังไม่มีใครตามมาอีก? ที่นี่ไม่มีผู้คนเลย เขาคงไม่ถูกฆ่าแล้วทิ้งศพไว้ที่นี่หรอกนะ?!
เมื่อเห็นสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ซื่อจื่อที่ดิ้นรนมาตลอดทางจึงสงบลงกงอี่โม่มองออกทันที เพราะเขายังไม่รู้จักวิธีซ่อนความรู้สึกของตนเอง นางหัวเราะออกมา“ตอนนี้รู้สึกกลัวแล้วล่ะสิ! มันสายเกินไปหรือเปล่า?”
“ใครกันที่กลัว! ข้ากลัวหรือ?! ถ้าฉลาดสักหน่อย เ้าก็รีบปล่อยข้าไปเสีย! มิฉะนั้นพอคนที่ช่วยข้าตามมาถึง เ้าต้องเจอดีแน่!” ซื่อจื่อได้ยินเช่นนี้เขาจึงรีบถลึงตาใส่อย่างโกรธแค้น
กงอี่โม่เดินตรงไปล้างมือริมแม่น้ำ นางไม่สนใจเสียงเอะอะโวยวายทางด้านหลังของตน เมื่อเห็นผิวน้ำใสสะอาดบริสุทธิ์นางจึงรู้สึกว่าสมัยโบราณช่างดีจริงๆ ยังไม่ต้องกล่าวถึงเื่มลพิษเพราะแม้กระทั่งเชื้อโรคต่างๆ ก็ดูน้อยนิดยิ่งนัก
“ท่านว่า...” เมื่อนางเอ่ยปาก อีกฝ่ายจึงรีบหุบปากทันที กงอี่โม่นั่งยองๆอยู่ริมฝั่ง นางหันกลับไปฉีกยิ้มให้อีกฝ่าย
“ท่านว่า หากข้าจับท่านกดน้ำจนตายแล้วขี่ม้าหนีไป มันจะเป็ไปได้ไหม?”
* ซื่อจื่อ ในที่นี้หมายถึง บุตรชายคนโตภรรยาเอกของผิงอ๋อง ซึ่งซื่อจื่อจะเป็ผู้รับตำแหน่งผิงอ๋องในอนาคตหรือก็คือผู้สืบทอดนั่นเอง