หลังจากทานอาหารกันเสร็จ ซย่านีก็เดินไปส่งซ่งหานเจียงที่หน้าประตูบ้าน เธออดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือนชายหนุ่มอีกรอบ “คุณจะมากินข้าวที่บ้านก็ได้นะ ว่าแต่คุณจะเอาสมุดทะเบียนบ้านมาเมื่อไหร่ พวกเราจะได้ไปทำเื่หย่ากันเสียที?”
ซ่งหานเจียงตอบ “ผมยังไม่มีเวลากลับบ้านเลย”
ซย่านีถามต่อ “บ้านของฉันก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านของคุณนี่นา? ตอนคุณขี่รถจักรยานมาที่นี่ ถ้าคุณจะเลี้ยวไปบ้านตัวเองสักหน่อยก็คงใช้เวลาไม่นานหรอกมั้ง” ซย่านีหยุดพูดไปชั่วขณะ เธอเริ่มสงสัยขึ้นมาแล้ว “คุณคงไม่ได้รู้สึกเสียใจทีหลังก็เลยไม่อยากหย่ากับฉันหรอกนะ?”
ซ่งหานเจียงรู้สึกร้อนตัวขึ้นมาแล้ว เขาลนลานจนพูดตะกุกตะกักไปหมด “นั่น...นั่นไม่ใช่หรอก...ผม...ผมรับ...รับปากกับคุณไปแล้วไง”
ซย่านีค่อยรู้สึกโล่งใจหน่อย เธอยังคงเชื่อในคำสัญญาของซ่งหานเจียงเหมือนเดิม “งั้นคุณก็รีบหน่อยนะ ถ้าคุณรีบหย่ากับฉันคุณก็คงหาคนรักใหม่ได้ไม่ยากหรอกเนอะ?”
ซ่งหานเจียงขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าเข้มขึ้น “อย่าพูดจาไร้สาระน่า!”
ซย่านีส่งเสียงเหอะอยู่ในใจ คุณซ่อนคนอื่นไว้ในใจแท้ๆ ยังจะไม่อนุญาตให้ฉันพูดอีกหรือ? ก็ได้ คุณไม่ให้พูดฉันก็จะไม่พูดแล้วกัน จากนั้นซย่านีก็เอ่ยเร่งเขาอีกรอบ “ไม่ว่าอย่างไร พวกเรามาทำเื่หย่ากันโดยเร็วเถอะนะ ว่าแต่คุณพูดกับคนที่บ้านแล้วหรือยังว่าลูกๆ ทุกคนจะต้องอยู่กับฉันทั้งหมด”
“พวกเราสองคนตกลงเื่ลูกกันเองก็ได้ คุณไม่ต้องกังวลเื่พ่อแม่ของผมหรอก”
ซ่งเป่าเถียนต้องไม่ยอมให้หลานชายของตนเองอยู่กับซย่านีอย่างแน่นอน แต่เขาก็จนปัญญาไม่อาจทำอะไรซ่งหานเจียงได้ เขาเปลี่ยนใจลูกชายของตนไม่ได้เลยสักนิด
ซย่านีพยักหน้ารับ “แบบนั้นก็ได้” เธอหยุดพูดไปแว็บหนึ่ง แล้วกล่าวต่อว่า “พรุ่งนี้ตอนที่คุณมากินข้าวที่บ้านก็ช่วยเอาสมุดทะเบียนบ้านติดตัวมาด้วยได้ไหม?”
ซ่งหานเจียงเอ่ย “ตอนกลางวัน สหายที่สำนักงานพลเรือนคงไม่ทำงานกันหรอกมั้ง?”
ซย่านียังคงพูดต่อ “งั้นพวกเรารอหน่อยก็ได้ พวกเขาน่าจะเข้างานกัน่บ่ายโมงถึงบ่ายโมงครึ่งแหละเนอะ? แบบนั้นจะได้ไม่ต้องรอนานด้วย”
ซ่งหานเจียงพูดไม่ออกแล้ว “…”
ซย่านีเห็นซ่งหานเจียงมีท่าทางลังเล จึงเอ่ยถามขึ้น “ไม่ใช่หรือไง? คุณสามารถหาเวลามากินข้าวที่บ้านฉันได้แต่กลับไม่สามารถหาเวลาไปทำเอกสารหย่าที่สำนักงานพลเรือนได้เนี่ยนะ?”
ซ่งหานเจียงรู้ดีว่าหากครั้งนี้เขาไม่ให้เหตุผลที่น่าเชื่อถือแก่ซย่านีล่ะก็ เธอจะต้องโกรธเขาแน่ๆ ชายหนุ่มใช้สมองคิดหาวิธีอย่างรวดเร็ว จู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งแว็บขึ้นมาในหัว “ซย่านี คุณยังจำหยางเหมี่ยนเหวินที่เป็อาจารย์แม่ของผมได้ไหม คนที่คุณเจอที่โรงพยาบาลน่ะ?”
ซย่านีเริ่มงงขึ้นมาแล้ว ไม่ใช่ว่าเรากำลังพูดเื่ใบหย่ากันอยู่หรือ ทำไมถึงเปลี่ยนเื่พูดกันเล่า? ซย่านีขมวดคิ้วแล้วตอบว่า “จำได้ ทำไมหรือ?”
“ความจริงแล้ว เมื่อไม่กี่วันก่อนศาสตราจารย์เฉินมาหาผมเพื่อบอกเื่งานฉลองวันเกิดลูกชายของศิษย์พี่เฉิน แถมยังเตรียมที่นั่งสำหรับเลี้ยงรับรองแขกไว้สองโต๊ะ เขาเชิญผมไปร่วมงานฉลองด้วยและเขายังบอกว่าให้ผมพาภรรยากับลูกๆ ไปด้วยนะ อาจารย์แม่อยากเจอลูกๆ ของพวกเรา” ซ่งหานเจียงถอนหายใจแล้วจึงกล่าวต่อว่า “ดังนั้นผมก็เลยคิดเื่นี้อยู่ ผมคิดว่าจะรอให้เื่นี้ผ่านไปก่อน พวกเราค่อยไปทำเื่หย่ากันนะ”
ซย่านีสมองตื้ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็กล่าวว่า “ไม่สิ ถึงพวกเราจะหย่ากันแล้วฉันก็ยังไปร่วมงานกับคุณได้นะ” จู่ๆ เธอก็หยุดพูดไปชั่วขณะ แล้วนึกถึงเื่บางอย่างขึ้นมาได้ คงไม่ใช่เพราะศาสตราจารย์เฉินบอกว่าให้ ‘พาภรรยาของคุณมาด้วย’ หรอกนะ? ซ่งหานเจียงเลยคิดว่าพอหย่ากันแล้ว เธอก็ไม่ใช่ภรรยาของเขาอีกต่อไปดังนั้นเขาก็เลยไม่สะดวกพาเธอไปด้วยงั้นสิ?
จริงดั่งคาด ซ่งหานเจียงเอ่ยขึ้นว่า “แต่ว่าหากพวกเราหย่ากันแล้ว คุณก็ไม่ใช่ภรรยาของผมอีกต่อไป...ทีนี้ผมจะไปหาภรรยาจากที่ไหนไปร่วมงานเลี้ยงด้วยกันเล่า?”
ซย่านีมองเขาด้วยสายตาราวกับกำลังมอง ‘คนโง่’ จากนั้นเธอก็พูดว่า “คุณไม่มีสมองหรือไง? นิดๆ หน่อยๆ จะพลิกแพลงไม่ได้เลยหรือ?”
ซ่งหานเจียงพลันรู้สึกงุนงงขึ้นมา “อะไรนะ?”
ซย่านีสูดหายใจเข้าลึกๆ และกล่าวว่า “เอาล่ะ ช่างมันเถอะๆ รอจนเสร็จงานเลี้ยงแล้วพวกเราค่อยหย่ากันก็ได้” เธอี้เีจะพูดเื่นี้กับซ่งหานเจียงอีกรอบ จากนั้นซย่านีก็ถามเขาว่า “บ้านศาสตราจารย์เฉินจะจัดงานเลี้ยงเมื่อไหร่หรือ?”
ซ่งหานเจียงยิ้มสดใส “สุดสัปดาห์นี้ คุณมีเวลาว่างไหม?”
ซย่านีพยักหน้ารับ “มี”
ั้แ่ซย่าซานนีมาที่บ้านเธอก็ช่วยงานซย่านีได้เยอะเลย นั่นทำให้ซย่านีมีเวลาในการทำอย่างอื่นมากขึ้น ส่วนทางด้านเซี่ยงเหมยกับเฝิงหย่งก็ราบรื่นดี พวกเขาคัดเลือกคนที่จะมาช่วยงานได้สำเร็จในที่สุด ดังนั้นซย่านีกับเซี่ยงเหมยจึงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มียางรัดผมขายอีกต่อไปแล้วแถมยังทำให้ซย่านีมีเวลาว่างมากขึ้นอีกด้วย เธอเลยได้ออกแบบยางรัดผมรูปแบบใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจให้แก่การค้าของพวกเธอ
ในวันพฤหัสบดีซ่งหานเจียงก็มาทานอาหารที่บ้านตามที่เขาพูดไว้ และเขายังบอกกับซย่านีว่าวันศุกร์ไม่ต้องทำอาหารไว้ให้เขานะ เพราะวันศุกร์เป็วันเช็งเม้งเขาจะต้องกลับบ้านเก่าไปไหว้บรรพบุรุษพร้อมครอบครัว
ในอดีตซย่านีมักจะไปวันเช็งเม้งกับซ่งหานเจียงด้วย แม้ว่าตอนนี้คนทั้งสองตกลงว่าจะหย่ากันแล้ว แต่เวลานี้พวกเขาก็ยังไม่ได้หย่าขาดกันจริงๆ ซย่านีจึงกล่าวอย่างเกรงใจว่า “คุณ้าให้ฉันไปเป็เพื่อนไหม?”
แน่นอนว่าซ่งหานเจียงย่อมคาดหวังว่าตนเองจะได้ใช้เวลาร่วมกันซย่านีให้มากขึ้น ปกติเขามักจะยุ่งอยู่กับการเรียนจึงหาเวลาปลีกตัวได้ยากมาก คราวนี้ซย่านีเป็ฝ่ายออกปากเองอีกด้วยแต่พอซ่งหานเจียงลองครุ่นคิดดูแล้ว เขาก็ส่ายหน้าปฏิเสธแทน
“ผมกลัวว่าหากคุณไปแล้วจะไปยั่วโมโหคนอื่นเข้าน่ะ” ซ่งหานเจียงเป็คนซื่อสัตย์ เขาคิดอะไรก็พูดอย่างนั้น “แม่ผมเป็คนยังไงคุณก็น่าจะรู้ แล้วยังมีน้องสาวของผมอีก...”
เขาลังเลที่จะพูดต่อเพราะคุณธรรมประจำใจอันสูงส่ง ทำให้เขายากจะเอ่ยปากว่าร้ายผู้อื่นได้แต่ซย่านีก็พูดเสริมขึ้นมาแทน “ก็เป็คนชอบสร้างปัญหาใช่ไหมล่ะ!”
ซ่งหานเจียงได้แต่ยิ้มอย่างเก้อเขิน
ซย่านีสามารถจินตนาการถึงท่าทางของหวังซิ่วอิงกับซ่งเหม่ยอวิ๋นตอนที่เห็นเธอตามซ่งหานเจียงไปบ้านเก่าเพื่อไหว้บรรพบุรุษได้เลย สองคนนั้นอยากจะให้เธอกับซ่งหานเจียงหย่ากันใจจะขาด หากเห็นเธอขึ้นมาสองคนนั้นจะไม่ะเิอารมณ์ได้หรือ? เพื่อเห็นแก่หูของตนเองซย่านีจึงกล่าวเพียงว่า “งั้นคุณก็ไปคนเดียวแล้วกัน ฉันไม่ไปแล้ว”
ซ่งหานเจียงตอบรับ “อืม”
“ถ้าอย่างนั้นคุณจะพาลูกๆ ไปด้วยไหม? หากจะพาพวกเขาไป วันนี้ฉันจะได้ไปที่โรงเรียนแล้วขอลาหยุดให้พวกเด็กๆ” อย่างไรเด็กสามคนนี้ก็มีแซ่ซ่งและเป็ทายาทรุ่นหลังของตระกูลซ่งอยู่ดี
“ไม่ต้องหรอก” ซ่งหานเจียงยิ้มเบาๆ และกล่าวว่า “รอให้พวกเด็กๆ โตขึ้นอีกหน่อยก็แล้วกัน...งั้นผมไปก่อนนะ เดี๋ยววันเสาร์ผมจะมาใหม่”
หลังจากที่ซ่งหานเจียงพูดจบเขาก็ขี่รถจักรยานจากไปแล้ว ในอดีตหลายต่อหลายครั้งซย่านีมักจะยืนมองส่งซ่งหานเจียงจนหายลับไปจากสายตาของเธอแต่วันนี้ซย่านีกลับไม่ได้ยืนมองส่งเขาอีกแล้ว หลังจากที่เขาขี่รถจักรยานออกไป เธอก็หันหลังเดินเข้าบ้านทันที
ซย่าซานนีกำลังทำยางรัดผมอยู่ เมื่อเธอเห็นซย่านีกลับเข้าบ้านมาเธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดความคิดเห็นของตนเองว่า “ฉันคิดว่าพี่เขยเขาไม่ได้อยากจะหย่ากับพี่หรอกนะจ้ะ”
ซย่านีกลอกตาพลางกล่าวว่า “เธอรู้ด้วยหรือ?”
ซย่าซานนีพูดไปพลางถีบจักรเย็บผ้าไปพลาง “พี่บอกเองไม่ใช่หรือว่า แต่ก่อนต้องรอจนทุกสิบถึงสิบห้าวันพี่เขยถึงจะกลับบ้านมาสักครั้งสองครั้งนี่นา? แต่พี่ลองดูตอนนี้สิั้แ่ที่พี่ขอหย่ากับพี่เขยแล้ว เขาก็กลับบ้านมาหาพี่บ่อยๆ เลยไม่ใช่หรือไง?”
หลังจากที่ซย่านีนั่งลงแล้ว เธอก็ช่วยซย่าซานนีเย็บยางรัดผมในขั้นตอนสุดท้าย “เขาบอกว่ากับพี่ว่าตัวเขาเองไม่มีเงินก็เลยขอมากินข้าวด้วยไม่ใช่หรือไง ”
ซย่าซานนีร้องอุทานขึ้นมา “นี่พี่เชื่อด้วยหรือ? พี่หญิงใหญ่ มันจะเป็ไปได้อย่างไรที่พี่เขยจะไม่มีเงินเลย หรือต่อให้เขาไม่มีเงินจริงเขาจะไม่สามารถไปขอยืมเพื่อนร่วมชั้นได้บ้างเลยหรือ?”
มือของซย่านีที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่พลันหยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนหน้านี้เธอเองก็เคยมีข้อสงสัยนี้เหมือนกันแต่ซย่านีก็ไม่อาจยอมรับได้จริงๆ ว่าคนนิสัยอย่างซ่งหานเจียงจะกำลัง ‘พยายามซ่อมแซมความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา เพราะไม่อยากหย่ากัน’ อยู่!
