เมื่อเริ่มเดินหมากทุกก้าวเป็ไปอย่างรวดเร็ว และเป็ไปตามปกติ เพียงชั่วพริบตาการตอบโต้กันหลายก้าวได้ผ่านพ้นไป
แต่ที่ทำให้คนงุนงงก็คือ ลักษณะการเดินหมากของหมากดำในวันนี้ไม่กระจ่างแจ้ง เพิ่งจะเปิดพื้นที่ทางมุมบนด้านขวาแต่กลับหันไปต่อสู้บนพื้นที่อื่น และไปเปิดพื้นที่บริเวณมุมซ้ายล่าง ทว่าพื้นที่บริเวณมุมซ้ายล่างยังไม่ทันจะเห็นเป็รูปร่างเขาก็หันไปบริเวณพื้นที่ตรงกลางอีก แทบจะเรียกได้ว่าเริ่มตรงนี้นิดตรงนั้นหน่อย เป็การเดินหมากที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย
การใคร่ครวญของหมากขาวในการเดินหมากแต่ละก้าวเพิ่มเวลายาวนานขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านาุโหานกำลังทำอะไร เหตุใดข้าจึงดูแล้วไม่กระจ่างแจ้ง”
“ข้าเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน! มียอดฝีมือช่วยวิเคราะห์หรือไม่”
“ข้าดูแล้วอย่างไรก็เหมือนกลยุทธ์ของฟางเสียนะ ลักษณะโดดเด่นของค่ายกลฟางเสียก็คือจะกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ วางค่ายกลไปทั่ว แรกเริ่มดูแล้วจะกระจัดกระจาย ทำให้คนมองไม่ออก ทันทีที่ค่ายกลเริ่มเป็รูปเป็ร่าง มันก็จะเหมือนสายน้ำที่ไหลบ่าเข้ามาไม่อาจยับยั้งได้”
“พี่ไถ เมื่อได้ยินท่านพูดเช่นนี้ข้าก็รู้สึกคล้ายเป็เช่นนั้น! เมื่อสักครู่มิใช่มีคนร้องะโว่าเห็นฟางเสียปรากฏตัวอยู่บนห้องพิเศษชั้นบนหรอกหรือ คงไม่ใช่เื่จริงกระมัง หรือฟางเสียกำลังเดินหมากอยู่”
“ให้ตายเถอะ หานไท่ฟู่ถึงกับให้ฟางเสียมาเดินหมากแทน นี่มันน่าขายหน้าเกินไปแล้วนะ”
คนที่ก่อนหน้านี้เป็ผู้พบเห็นฟางเสียมีโอกาสระบายความรู้สึกออกมา “ข้าบอกแล้วไง ข้าเห็นฟางเสียจริงๆ พวกเ้ากลับไม่เชื่อ!”
ทว่ามีคนคัดค้านอย่างรวดเร็ว
“เหมือน! แต่ไม่เหมือนทั้งหมด! แม้ค่ายกลฟางเสียจะยอดเยี่ยม แต่มันมีข้อจำกัดของการวางค่ายกล ทันทีที่เห็นเป็รูปเป็ร่างก็จะยากแก่การควบคุม หากฝ่ายตรงข้ามไม่อาจทำลายค่ายกลได้ มันก็เป็ค่ายกลที่ไร้คู่ต่อสู้ หากคู่ต่อสู้ทำลายค่ายกลลงได้ ค่ายกลฟางเสียก็จะระส่ำระสายไม่อาจกลับไปยังตำแหน่งเดิมได้ นี่เป็เหตุผลว่าเหตุใดสามปีก่อน เมื่อซือคงเซิ่งเจี๋ยทำลายค่ายกลฟางเสียแล้ว ส่งผลให้พ่ายแพ้อย่างราบคาบ”
“ซือคงเซิ่งเจี๋ยหรือ หมายถึงนักเดินหมากในตำนานที่กล่าวว่าเป็คนผมหงอก ซือคงเซิ่งเจี๋ย คนนั้นหรือ”
“ใช่ คือเขา!”
“ศึกครั้งนั้นเมื่อสามปีก่อนดุเดือดเหลือเกิน! ค่ายกลฟางเสียทำให้ฟางเสียก้าวขึ้นมาอยู่ในวงการเดินหมาก และทำให้เขาตกลงมาในชั่วพริบตา! เป็ค่ายกลฟางเสียที่นำมาซึ่งชัยชนะและความพ่ายแพ้!”
“พี่ไถสายตาแหลมคม! การวางของหมากดำดูเหมือนการเริ่มเดินหมากของฟางเสีย แต่ชัดเจนเหลือเกินว่ามีความคล่องตัวกว่าค่ายกลฟางเสีย ดูเหมือนจะเฉียบคมกว่าค่ายกลฟางเสีย!
“ถูกต้อง นี่ไม่ใช่ค่ายกลฟางเสีย! ดังนั้น ผู้ที่กำลังเดินหมากน่าจะไม่ใช่ฟางเสีย!”
“...” ชายหนุ่มที่เป็ผู้พบเห็นฟางเสียเงียบเสียงลงอีกครั้ง
มู่ชิงหว่านยกยิ้มลำพองใจ “แน่นอนว่าหมากดำเหนือกว่า! ท่านไม่เห็นหรือว่าหมากขาวเดินตามจังหวะการเดินหมากของหมากดำ”
คิ้วงามนั้นเลิกขมวดเล็กน้อย นางเท้าคาง ส่ายหน้า “แต่ข้าไม่เคยเห็นวิธีการเดินหมากประหลาดเช่นนี้มาก่อน หมากดำจะต้องกำลังวางค่ายกลชั้นสูงสักอย่าง ทันทีที่ก่อตัวได้ย่อมทำให้หมากขาวหมดหนทางเดิน!”
สาวใช้ตกตะลง “ร้ายกาจเช่นนี้”
มู่ชิหว่านเลิกคิ้ว “แน่นอน! การประลองของยอดฝีมือ จะชนะหรือแพ้นั้นขึ้นอยู่กับการวางแผนและการคำนวณอย่างแม่นยำ! หากทำให้ผู้อื่นทำลายและมองออกง่ายเช่นนี้ เช่นนั้นจะเรียกว่ายอดฝีมืออันใดเล่า ไม่เสียแรงที่ท่านาุโหานเป็ยอดฝีมือในวงการเดินหมากมาหลายสิบปี หากว่าด้วยประสบการณ์แล้วเฟิงเฉี่ยนอยู่ห่างชั้นมากนัก! ชนะสามกระดานด้วยความบังเอิญ ไม่มีอะไรคู่ควรให้ต้องเอ่ยถึง หากสามารถชนะทุกๆ กระดานนั่นจึงจะเป็ความสามารถที่แท้จริง!”
สาวใช้มองนางด้วยแววตาเลื่อมใส “คุณหนูเก่งกาจเหลือเกินเ้าค่ะ! หากเป็คุณหนูเดินหมากกับท่านาุโหาน จะต้องเก่งกาจกว่าเฟิงเฉี่ยนเป็แน่!”
มู่ชิงหว่านหน้าแดงเล็กน้อย นางร้อนตัวอยู่บ้างแต่ยังคงฝืนพูดว่า “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว! ข้าไม่ออกหน้าง่ายๆ แต่ถ้าออกหน้าแล้วจะต้องทำให้เฟิงเฉี่ยนพ่ายแพ้จนปัสสาวะราด!”
ภายในห้องพิเศษ หวง ในมือของเฟิ่งเฉี่ยนถือหมากขาวเอาไว้ตัวหนึ่ง คล้ายกับแข็งค้างอยู่ที่นั่นไม่ไหวติง ดวงตาทั้งคู่จับจ้องไปที่กระดานหมากตกอยู่ในความคิดของตน
คนอื่นๆ ในห้องพิเศษต่างพากันเงียบเสียง ใครก็ไม่กล้ารบกวนนาง สหายน้อยสองคนนั้นนั่งเงียบๆ อยู่ด้านข้าง คิ้วเล็กๆ นั้นขมวดมุ่น ตาจ้องบนกระดานไม่กระพริบ ไม่กล้ากระทั่งจะหายใจแรงๆ
มู่ชิงเซียวมองเฟิ่งเฉี่ยน เขาลอบเป็ห่วง หมากกระดานก่อนหน้านี้เฟิ่งเฉี่ยนใคร่ครวญเช่นกัน แต่ไม่ถึงกับใคร่ครวญนานเช่นนี้ ดูท่าแล้วครั้งนี้เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจเสียแล้ว!
ห้องพิเศษฝั่งตรงข้าม หานไท่ฟู่ลูบเคราของตนแล้วหัวเราะลำพองใจ “ฮ่าๆๆ นางเด็กคนนั้น ครั้งนี้เข้าตาจนแล้วล่ะสิ รู้ถึงความร้ายกาจของข้าแล้วกระมัง ไม่แสดงให้เ้าเห็นเ้าก็ไม่สำนึก!”
คนทั้งหมดปาดเหงื่อ
“ท่านาุโหาน หมากกระดานนี้ดูเหมือนท่านมิใช่คนเดินหมาก...” จ้าวฉีพูดตรงไปตรงมา
หานไท่ฟู่พูดโดยที่หน้าไม่แดงแม้แต่น้อย “เมื่อครั้งฟางเสียยังเล็กใส่กางเกงเปิดก้นหัดเดินหมาก ข้ายังเป็อาจารย์ที่สอนเขาคนแรกๆ! ศิษย์ชนะกับอาจารย์ชนะ มีอะไรต่างกัน”
ฟางเสียมืดแปดด้าน “ท่านาุโหาน ข้าร่ำเรียนการเดินหมากเมื่ออายุสิบขวบ เหตุใดจึงพูดว่าข้าเปิดก้นเล่า”
หานไท่ฟู่ยิ้มตายิบหยีด้วยอารมณ์ดี “นี่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นก็คือเ้าชนะก็เท่ากับข้าชนะ!”
ฟางเสียยิ้มฝาดเฝื่อน “ถูกต้องๆๆ ท่านพูดอย่างไรก็อย่างนั้น”
หานไท่ฟู่อารมณ์ดียิ่งขึ้นไปอีก เขามองกระดานหมาก เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ฟางเสีย นี่เป็ค่ายกลชนิดใหม่ที่เ้าทุ่มเทเวลาถึงสามปีกระมัง ดูว่องไวและพลิกแพลงได้มากกว่าค่ายกลก่อนหน้านี้มาก และยากจะคาดเดายิ่งขึ้น!”
ดวงตาของฟางเสียมีประกายพาดผ่านและกล่าวอย่างถ่อมตน “สามปีก่อน ค่ายกลฟางเสียของข้าถูกซือคงเซิ่งเจี๋ยทำลาย ข้าแพ้หลุดรุ่ย สามปีที่ผ่านมานี้ข้าวิเคราะห์จุดบอดของค่ายกลฟางเสีย และปรับเปลี่ยนจากพื้นฐานเดิมของมันพร้อมกับคิดค้นค่ายกลใหม่ๆ อีกสามชนิด! วันนี้นำค่ายกลหนึ่งในสามนั้นออกมาใช้ เป็เล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ ลองดูว่าผลจะเป็อย่างไร”
จ้าวฉีรีบกล่าวเสริม “ค่ายกลใหม่สามชนิดของพี่ฟางนั้นไร้ศัตรูต้านได้ พวกเราล้วนประมือกับเขามาแล้ว ไม่มีใครทำลายค่ายกลได้! วันนี้นำมาต่อกรกับนางกำนัลคนหนึ่ง ถือเป็กลเม็ดเล็กๆ น้อยๆ!”
ติงไห่เจี้ยนพูดเสริมอีกว่า “ใช่แล้ว! ค่ายกลที่กระทั่งพวกเราก็ยังทำลายไม่ได้ แต่นำออกมารับมือกับนางกำนัลคนหนึ่ง พี่ฟาง ทำเช่นนี้เป็การรังแกผู้อื่นเกินไปหรือไม่! ฮ่าๆๆ...”
คนอื่นๆ หัวเราะเสียงดังตามไปด้วย
หานไท่ฟู่ได้ยินเช่นนั้นพลันวางใจได้เสมือนกินยาลูกกลอนสงบใจไปเม็ดหนึ่ง
ค่ายกลที่ยอดฝีมือระดับเก้าทั้งห้าคนทำลายไม่ได้ นางเด็กคนนั้นจะทำลายได้อย่างไร
หมากกระดานนี้ พวกเขาชนะแน่แล้ว!
ไม่เพียงแต่รักษาแมวเทพเอาไว้ได้ หน้าของเขาและชื่อเสียงของชุมนุมเดินหมากก็กู้คืนมาได้ด้วย!
ชนะทั้งคู่!
เห็นรอยยิ้มลำพองใจของท่านปู่และความมั่นใจเต็มร้อยของฟางเสียแล้ว หานหลินเยว่กลับรู้สึกละล้าละลังอย่างประหลาด นางมักจะรู้สึกว่ากำลังจะมีเื่ร้ายเกิดขึ้น
ในวังหลวง เซวียนหยวนเช่อนั่งอยู่หน้ากระดานหมากเพียงลำพัง เขาจ้องเขม็งไปที่กระดานหมากที่หมากขาวและดำกำลังประลองกันอยู่ ตกอยู่ในความคิดของตน
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งถ้วยชาแล้ว หมากขาวยังคงไม่เคลื่อนไหว เขารู้ว่าครั้งนี้ฮองเฮาพบกับศัตรูตัวฉกาจแล้ว!
มีเสียงรายงานดังขึ้นจากนอกตำหนักตอนนี้เอง “ทูลฝ่าา ท่านมหาเสนาบดีเฟิ่งมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เซวียนหยวนเช่อไม่เงยหน้าด้วยซ้ำ “เรียกตัว!”
ไม่นานนัก มหาเสนาบดีเฟิ่งเดินเข้ามาอย่างรีบเร่ง เมื่อเดินเข้ามาใกล้เขาคุกเข่าลงถวายบังคม “กระหม่อม เฟิ่งชัง ถวายบังคมฝ่าา ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปีพ่ะย่ะค่ะ!”
เซวียนหนวนเช่อไม่ได้บอกให้เขาลุกขึ้นทันที สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่บนกระดานหมาก ถามขึ้นราวกับไม่ตั้งใจ “มหาเสนาบดีเฟิ่ง ได้ยินว่าท่านเป็ผู้เชี่ยวชาญในเื่การเดินหมาก ท่านคิดว่าหมากกระดานนี้เป็อย่างไร”