บทที่ 4 วิชากระบี่ดาวตก
เมื่อกลับมาที่ลานฝึกยุทธ์ ฉู่อวิ๋นหยิบกระบี่เหล็กเล่มหนึ่งขึ้นมาจากชั้นวางอาวุธข้างๆ เขา “ตอนนี้มาลองใช้วิชากระบี่ดูดีกว่า!”
ฉู่อวิ๋นเดินไปที่โล่งๆ วางกระบี่ในแนวนอน นึกถึงการเคลื่อนไหวของวิชากระบี่ดาวตก จากนั้นพยายามระดมพลังปราณในร่างกายถ่ายลงสู่กระบี่
“วิ้ง——”
ทันใดนั้น คมกระบี่ก็เปลี่ยนเป็คมกริบ ส่องประกายเย็นวาบออกมา
"ดาราจรัสแสง"
ฉู่อวิ๋นย่อตัวลงเล็กน้อย ส่งแรงไปที่เท้าทั้งสองข้างแล้วออกตัววิ่งไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยกกระบี่ขึ้นฟันเป็แนวทะแยง
"ฉับ--"
กระบี่ยาวเล่มหนึ่งฟาดฟันผ่านท้องฟ้าราวกับสายรุ้ง แสงจากกระบี่แวววาววาบวับ คล้ายจะตัดอากาศจนขาดเป็สองส่วน พร้อมๆ กับเสียงสะบั้นของสายลมที่รุนแรง
รวดเร็วอย่างวายุ ว่องไวอย่างอัสนี
ฉู่อวิ๋นมองกระบี่ยาวในมืออย่างว่างเปล่า ด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “คาดไม่ถึงว่าข้าที่เพิ่งได้รับพลังปราณมา เพียงอยากลองออกกระบวนท่าวิชากระบี่ดาวตก แค่ลองครั้งแรกก็ทำได้แล้ว"
จริงๆ แล้ว ฉู่อวิ๋นได้ฝึกฝนรูปแบบกระบี่พื้นฐานของวิชากระบี่ดาวตกมาอย่างหนัก
เพราะเมื่อก่อนไม่มีพลังปราณจึงล้มเหลวอยู่ทุกเมื่อ ตอนนี้ พลังยุทธ์ก้าวหน้า จึงแสดงวิชากระบี่ดาวตกได้
เมื่อถึงเที่ยง ฉู่อวิ๋นได้ฝึกฝนวิชากระบี่ดาวตกจนถึงจุดสูงสุดของระดับเริ่มต้นแล้ว เขาเหวี่ยงกระบี่สองสามครั้ง พาให้แสงกระบี่สว่างวาบ และเริ่มทรงพลังขึ้นมา
“โชคดีที่มีิญญากระบี่บาป์และแผนภาพวงแหวนห้าิญญาอยู่ หากหนึ่งในนั้นหายไป เกรงว่าข้าคงไม่อาจฝึกยุทธ์อย่างเปิดเผยเช่นนี้ได้”
ฉู่อวิ๋นยกยิ้มน้อยๆ เขากำลังจะนั่งขัดสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลัง แต่ทันใดนั้น ท้องของเขาก็ร้องโครกคราก
"หิวจัง..."
ความจริงแล้ว ฉู่อวิ๋นฝึกฝนมาได้สิบชั่วยามแล้วโดยมิได้หยุดพัก นอกจากจะนั่งขัดสมาธิบนพื้นเพื่อฟื้นฟูพลังของเขา
แม้ว่านักรบิญญาที่ยังคงอยู่ในขอบเขตควบแน่นพลังปราณจะสามารถพึ่งพาพลังปราณเพื่อมีชีวิตอยู่ได้ แต่เขาก็ยัง้าอาหารเพื่อเติมเต็มความแข็งแกร่งของร่างกาย
ฉู่อวิ๋นลงจากลานฝึกยุทธ์เพื่อมาหาอาหารใส่ท้อง แต่ฉู่ซินเหยาก็เดินเข้ามาพอดีและพูดเบาๆ ว่า "เ้าตัวดี เ้าไม่กินข้าว วางแผนอดอาหารเช่นนี้ อยากให้พี่โกรธหรือ?”
เมื่อลูบคลำท้องที่กำลังร้องโครกครากของเขา ฉู่อวิ๋นก็ยิ้มแล้วพูดว่า "ลืมไปเลย ฮ่าๆ...จะไปกินเดี๋ยวนี้แหละ"
อันที่จริง ั้แ่ฉู่อวิ๋นเริ่มฝึกฝน ฉู่ซินเหยาก็เฝ้ามองดูเขาอยู่ที่ทางเดินอย่างกังวลอยู่ตลอด
เมื่อเห็นฉู่อวิ๋นแสดงวิชากระบี่ดาวตกในครั้งเดียว โดยมีเงากระบี่ปลิวว่อน แม้ว่านางจะไม่เข้าใจเื่วรยุทธ์ แต่ก็รู้ได้ในทันทีว่าน้องชายของนางไม่ใช่อย่างที่เขาเคยเป็อีกแล้ว และเขาก็ไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ที่ไร้ทางฝึกฝนอีกต่อไป
“เ้าตัวดีนี่ เหตุใดจู่ๆ จึงฝึกฝนขึ้นมาได้เล่า? ไม่คิดจะบอกพี่เลยสักนิด ปกปิดความลับไว้มากมายเหลือเกิน มันน่านัก” ฉู่ซินเหยาพูดพลางกระทืบเท้า แต่ใบหน้างดงามของนางกลับปรากฏรอยยิ้มจนแก้มปริ จากนั้นก็เดินตามฉู่อวิ๋นไปที่ห้องด้านหลัง
บนโต๊ะรับประทานอาหาร มีอาหารเลิศรสวางอยู่เรียงราย กลุ่มควันลอยขึ้นสู่อากาศ ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็อาหารจานโปรดของฉู่อวิ๋น ทันทีที่นั่งลง เขาก็รีบสวาปามพวกมันลงท้องทันที รีบเสียจนปากมันไปหมด
“พี่ซินเหยา... อาหารที่ท่านทำอร่อยนัก!” ฉู่อวิ๋นพูดขึ้นมาอย่างฟังไม่เป็คำในขณะที่กำลังกัดขาไก่เข้าปากอย่างสุขใจ
เมื่อมองดูท่าทางที่วุ่นวายของฉู่อวิ๋น ฉู่ซินเหยาก็เผยให้เห็นแววตาที่มีเสน่ห์ ยกยิ้มให้เขาเบาๆ จากนั้นก็ขมวดคิ้วราวกับนึกอะไรบางอย่างออก
มะรืนนี้ก็ครบสามวันที่ตระกูลหลักจะมายึดบ้านไปแล้ว จะทำอย่างไรดี?
แม้ว่าใน่นี้ฉู่อวิ๋นจะฝึกฝนได้ก้าวหน้ามาก แต่นักรบิญญาที่ฝึกฝนได้ไม่ถึงสามวันจะสามารถพลิกสถานการณ์ได้หรือ?
ฉู่ซินเหยาใส่ใจเื่ความปลอดภัยของฉู่อวิ๋นเหนือสิ่งอื่นใด
“ท่านพี่ เหตุใดไม่กินเล่า?” ฉู่อวิ๋นหยิบขาไก่อีกข้างใส่ลงในชามของฉู่ซินเหยา
ตอนนี้ ฉู่อวิ๋นกวาดตามองภายในห้องโถงโดยไม่ตั้งใจและพบว่ามีของใช้บางอย่างเปลี่ยนไป จึงถามอย่างสงสัย "เอ๊ะ พี่ซินเหยา กู่ฉินเซวียนมู่ของท่านหายไปไหนแล้ว? เหมือนว่าเมื่อก่อนมันเคยวางไว้ในห้องโถงนะ”
ฉู่ซินเหยาเบิกตาโตและพูดอย่างลังเลว่า "คือ...พี่...พี่มีกู่ฉินธรรมดาให้ดีดอยู่แล้ว อีกอย่างกู่ฉินอันนี้ก็ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าใดนัก พี่ก็เลยเอาไปขายที่ตลาดแล้ว"
"ขายแล้ว?"
ฉู่อวิ๋นประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อก่อนฉู่ซินเหยาชอบกู่ฉินเซวียนมู่มากจนตัดใจวางไม่ลง แต่ตอนนี้นางกลับขายมันไปแล้วหรือ?
เมื่อเห็นท่าทางสับสนของฉู่อวิ๋น ฉู่ซินเหยาก็เลยรีบอธิบาย "ของฟุ่มเฟือยเช่นนั้น พี่ใช้ไปก็ไม่ชินมือ...หยุดคิดเื่นี้แล้วกินต่อเถอะ"
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉู่อวิ๋นก็ถามอย่างจริงจัง "ท่านพี่ ที่บ้านไม่ค่อยมีเงินเหลือแล้วใช่ไหม?"
“เลิกคิดอะไรเพ้อเจ้อแล้วกินให้อร่อยเถอะ เดี๋ยวจะไม่มีแรงฝึกเอานะ”
ฉู่ซินเหยาคีบอาหารลงในชามของฉู่อวิ๋นเพิ่ม จากนั้นเม้มริมฝีปากและหยุดพูด
ั้แ่ทั้งสองต้องพึ่งพาอาศัยกัน โดยทั่วไปแล้ว ฉู่ซินเหยามีหน้าที่รับผิดชอบงานบ้านอย่างหาฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ นางจึงรู้ดีถึงสภาพการณ์ของที่บ้านในตอนนี้
แต่ต่อให้ชีวิตนี้ลำบากแค่ไหน นางก็ยังตั้งใจปิดบังไว้ ไม่อยากให้ฉู่อวิ๋นเป็กังวล
เมื่อมองดูฉู่ซินเหยาที่คิดถึงแต่ตัวเขาอยู่เสมอ ฉู่อวิ๋นก็รู้สึกอบอุ่นในใจ ั์ตาของเขาพร่ามัว จากนั้นก็ก้มหน้าลงและกินอย่างเงียบๆ
ความตั้งใจดีของพี่สาวนี้ เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร?
“ข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้น ภายภาคหน้าจะต้องทำให้พี่สาวมีชีวิตความเป็อยู่ที่ดีกว่านี้ให้จงได้”
ตราบใดที่แข็งแกร่งพอ การหลุดพ้นจากการควบคุมของตระกูลหลักก็ไม่ใช่เื่ยาก ทั้งยังสามารถไปที่ป่าสนธยานอกเมืองไป๋หยางเพื่อล่าสัตว์ประหลาดและเก็บสมุนไพรได้ด้วย หลังจากนั้นแล้ว เื่เงินก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
แต่ตอนนี้ ฉู่อวิ๋นฝึกวิชากระบี่ดาวตกได้แค่ระดับเริ่มต้นเท่านั้น เขายังแข็งแกร่งไม่พอ
ฉู่อวิ๋นใช้เวลาในวันรุ่งขึ้นเพื่อฝึกฝนวิชากระบี่ และหลังจากนั้นอีกทั้งคืน วิชากระบี่ดาวตกของเขาก็สำเร็จบ้างแล้ว
วิชากระบี่ดาวตกมีสามกระบวนท่า
กระบวนท่าที่หนึ่ง ดาราจรัสแสง เน้นที่ความเร็วของกระบี่และความคมของการฟัน หากแทงกระบี่ออกไปจะทำให้เสียชีวิตหรือาเ็ได้
กระบวนท่าที่สอง กระแสดารา หลอมรวมคลื่นกระบี่ดาราจรัสแสง โจมตีทีละคน สังหารศัตรูที่มองไม่เห็น
กระบวนท่าที่สาม ประกายทมิฬ หลอมรวมคลื่นกระบี่กระแสดารา ในขณะเดียวกันก็เปลี่ยนเป็พลังกระบี่ดาราจรัสแสงสามสิบหกมรรคาเพื่อสังหารศัตรู
หลังจากเชี่ยวชาญวิชากระบี่ดาวตกแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้จะเทียบได้กับวิชายุทธ์ขั้นสูงทั่วไป
ตอนนี้ ฉู่อวิ๋นสามารถใช้กระแสดารากระบวนท่าที่สองได้แล้ว ตราบใดที่เขาฝึกฝนประกายทมิฬสำเร็จ วิชากระบี่ดาวตกของเขาก็จะสมบูรณ์ ถึงตอนนั้นแล้ว สำหรับนักรบิญญาทั่วไป ถือว่าเขายังพอเหนือกว่าอยู่บ้าง
“พรุ่งนี้ก็เป็เส้นตายแล้ว ภายในวันนี้ ข้าจะต้องเชี่ยวชาญกระบวนท่าทั้งสามของวิชากระบี่ดาวตกให้ได้”
เขากวัดแกว่งกระบี่เล่มยาวในมือครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งพลังปราณในร่างกายหมดลง ฉู่อวิ๋นเช็ดเหงื่อแล้วนั่งลงขัดสมาธิอยู่บนพื้น ใช้ิญญากระบี่บาป์เพื่อดูดซับพลังิญญาจากดินฟ้าที่ลอยอยู่รอบๆ และเปลี่ยนมันให้กลายเป็พลังปราณอันบริสุทธิ์อย่างต่อเนื่อง
ทว่า ฉู่อวิ๋นกลับประสบปัญหาในการฝึกกระบวนท่าที่สาม ประกายทมิฬ
เขาพบว่าเขาสามารถหลอมรวมพลังกระบี่ดาราจรัสแสงได้เพียงยี่สิบห้ามรรคาเท่านั้น ซึ่งยังห่างไกลจากสามสิบหกมรรคานัก
“เหตุใดข้าจึงรวบรวมพลังปราณกระบี่ดาราจรัสแสงไม่ได้กัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ฉู่อวิ๋นขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอย่างหนัก
จนกระทั่งเที่ยง ฉู่อวิ๋นก็ตระหนักได้ว่าปัญหาคืออะไร
แม้ว่าความเร็วในการฟื้นฟูพลังปราณของเขาจะเร็วมาก แต่ระดับิญญายุทธ์ของเขานั้นเป็เพียงมนุษย์ระดับต่ำเท่านั้น พลังปราณที่มีในจุดตันเถียนจึงน้อยมากจนไม่เพียงพอที่จะปล่อยพลังปราณเพื่อออกกระบวนท่ากระบี่ดาราจรัสแสงสามสิบหกมรรคาในคราวเดียวได้
“ให้ตายเถอะ! กระบวนท่าสุดท้ายนี้ต้องใช้พลังปราณเยอะมาก! ดูเหมือนว่าจะทำได้แค่พัฒนาิญญายุทธ์ของตัวเองเท่านั้นแล้ว”
หากอยากเพิ่มพลังปราณ นอกเหนือจากการพัฒนาระดับทักษะและรับดูดซับกระแสปราณจากดินฟ้าแล้ว ก็ทำได้เพียงทะลวงระดับิญญายุทธ์เท่านั้น
ฉู่อวิ๋นทิ้งกระบี่ยาวลงบนพื้นแล้วนั่งลงขัดสมาธิ รวบรวมพลังปราณ และเตรียมเปิดเส้นลมปราณเสริมสามสิบแปดเส้น
เส้นลมปราณเสริมนั้นเล็กกว่าและมีจำนวนมากกว่าเส้นลมปราณหลัก ดังนั้น ฉู่อวิ๋นจึงต้องเพ่งสมาธิไปที่การเปิดเส้นลมปราณเ่าั้ หากมีข้อผิดพลาดเพียงนิดเดียว อาจกระอักเื ได้รับาเ็ ไปจนถึงเส้นลมปราณแตกซ่านอย่างรุนแรงได้
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ฉู่อวิ๋นก็เปิดเส้นลมปราณเสริมได้สำเร็จ พลังปราณในจุดตันเถียนของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
“ไม่คิดว่าหนึ่งชั่วยามจะเปิดเส้นลมปราณเสริมได้แค่เส้นเดียว”
ฉู่อวิ๋นผิดหวังเล็กน้อย เมื่อเทียบกับความเร็วที่น่ากลัวของการเปิดเส้นลมปราณหลักเมื่อวันก่อน ความคืบหน้าในตอนนี้ไม่น่าพอใจจริงๆ
ในความเป็จริง หากนักรบิญญาคนอื่นๆ รู้ว่าฉู่อวิ๋นกำลังคิดอะไรอยู่ในขณะนี้ พวกเขาย่อมตกตะลึงเป็แน่
โดยปกติแล้ว หากนักรบิญญาธรรมดาไม่กินยาเสริมพลัง จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งหรือสองวันในการเปิดเส้นลมปราณเสริม
แต่ฉู่อวิ๋นกลับเปิดเส้นลมปราณเสริมได้หนึ่งเส้นภายในหนึ่งชั่วยาม ทว่าเขากลับไม่พอใจ
นับเป็เื่น่าเ็ปจริงๆ
อีกครึ่งชั่วยามต่อมา ฉู่อวิ๋นยังคงอยู่ฝึกฝนอยู่ แต่ในเวลานี้ ท้องฟ้ามืดครึ้ม หลังจากนั้นไม่นานก็มีลมแรงพัดโหม ฟ้าร้องฟ้าผ่า และฝนก็เริ่มตกหนัก
"ซ่า-"
เม็ดฝนจำนวนนับไม่ถ้วนกระหน่ำใส่ฉู่อวิ๋น แต่เขาไม่สนใจ ยังคงเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่เส้นลมปราณเสริมภายในร่างกาย
“อ๊ะ! อวิ๋นเอ๋อร์!”
ปกติแล้วฉู๋ซินเหยาก็จะอยู่ที่ทางเดิน เท้าคางมองดูฉู่อวิ๋นฝึกฝน ยกเว้นเวลารับประทานอาหารเท่านั้น
เมื่อเห็นท้องฟ้ามีฝนตกหนัก นางก็รีบหยิบร่มแล้วออกไปที่ลานฝึกยุทธ์เพื่อบังฝนให้ฉู่อวิ๋นทันที
โชคดีที่มีร่มคันนี้อยู่ มิฉะนั้นฉู่อวิ๋นที่โดนฝนตกใส่อย่างต่อเนื่องอาจจะเสียสมาธิและเส้นลมปราณเสียหายได้
ตอนนี้ฉู่ซินเหยาจดจ่ออยู่กับการปกป้องฉู่อวิ๋นจากลมและฝนเท่านั้น เสื้อผ้าธรรมดาสีขาวนวลบนร่างกายของนางจึงชุ่มโชกไปด้วยน้ำฝน
นางยังคงมองไปที่ฉู่อวิ๋น ดวงตางดงามมองไปรอบๆ พร้อมฉายแววกังวลบนใบหน้า
ฝนตกหนักมาก ซ้ำยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แต่ฉู่อวิ๋นก็ยังคงนิ่งสงบ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เมฆดำมืดบนท้องฟ้าก็สลายไป ดวงอาทิตย์สาดแสงลงมาอีกครา
เดิมทีฉู่ซินเหยาก็ร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว พอมาโดนลมฝนอีกครึ่งชั่วยาม นางก็ฝืนตัวเองไม่ไหว ในที่สุดก็ทรุดตัวลงต่อหน้าฉู่อวิ๋น
“อวิ๋นเอ๋อร์...เ้า...ไม่เป็ไรก็ดีแล้ว” เมื่อมองไปที่ฉู่อวิ๋นที่ยังคงฝึกฝนอยู่ ฉุ่ซินเหยาพึมพำอย่างแ่เบากับตัวเอง
ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีเสียงทำลายความเงียบของลานฝึกยุทธ์ดังขึ้นมา
"ตึง--"
ประตูลานด้านทิศตะวันออกถูกเปิดออก และมีร่างหลายร่างเดินเข้ามาทีละคน
“พี่ใหญ่ฉู่ พรุ่งนี้ถึงจะเป็วันยึดเรือนตระกูลย่อย พวกเราทำเช่นนี้จะไม่เป็ไรหรือ?”
“ถุย จะเป็อะไรไป นายน้อยอย่างข้าอยากมาก็มา อยากไปก็ไป! ฝนห่านี่ก็ตกได้ผิดจังหวะจริงๆ รบกวนความสุขข้า ถ้าตอนนี้ไม่ได้เอาเ้าฉู่อวิ๋นมาระบายอารมณ์ ใจข้าไม่อาจสงบได้!”
แขกไม่ได้รับเชิญที่บุกเข้ามาคือฉู่เฮ่าและสมุนรับใช้ที่เพิ่งออกจากโรงหญิง[1] ความจริงแล้ว เป็เพราะฝนตกหนัก ทำให้เขาหมดอารมณ์ชื่นชมบุปผา จึงมาหาเื่ฉู่อวิ๋นเพื่อระบายอารมณ์
“ไม่รู้ว่าซินเหยาคนงามอยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่ ฮิฮิ! แม้แต่สาวงามในโรงหญิงพวกนั้นก็ยังเทียบนางไม่ได้!” ฉู่เฮ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
--------------------
[1] ซ่องโสเภณี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้