ที่กู้เฟิงพูดถึงเย่ถานกับเสียวอู่ ไม่ใช่เพราะเย่ถานเคยเป็เบอร์หนึ่งของร้าน แต่เพราะตัวตนของเย่ถานที่เคยเป็ MB มาก่อนสร้างความเ็ปให้กับเวินโหรวกว่าครึ่งชีวิต และจะยังคงดำเนินต่อไป นั่นคือาแที่ไม่อาจลบเลือนได้ชั่วชีวิตของพวกเขา ต่อให้ทั้งสองก้าวข้ามหุบเหวนั้นมาได้แล้วก็ตาม แต่ตอนนี้เสียวอู่คิดจะให้อู๋เฝ่ยเปิดตัวต่อสาธารณะ! อันที่จริงถ้าเป็ใครคนอื่นสักคน กู้เฟิงคงจะไม่สนใจเลย หรือพูดอีกแง่ว่าอู๋เฝ่ยจะขายออกหรือไม่เขาไม่สน แต่สิ่งที่เขาสนคือเสียวอู่มีความรู้สึกอื่นแอบแฝงอยู่ชัดๆ แต่เ้าตัวดันไม่รู้ตัว จึงกลัวว่าเขาจะเสียใจในภายหลัง! ถึงอย่างไรเขากับเวินโหรวก็เป็คนช่วยชีวิตอู๋ไป่เอง แถมยังตั้งใจสั่งสอนเขาอย่างดี ต่อให้ไม่พูดถึงบุญคุณที่ช่วยชีวิต ก็ยังมีสายสัมพันธ์ลูกศิษย์อาจารย์อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นในร่างกายของอู๋ไป่ยังมีเืของกู้เฟิงไหลเวียนอยู่ไม่น้อย พวกเขาถือเป็ญาติทางสายเืปลอมๆ แล้วเขาจะทนเห็นอู๋ไป่เสียใจไปครึ่งชีวิต หรือแม้แต่เสียใจในวันที่สายไปได้อย่างไร?
"ไม่ใช่ศัตรูเหรอครับ?" เสียวอู่ตกตะลึงกับคำพูดของกู้เฟิง "มาสเตอร์ไม่ได้เกลียดเขาหรอกเหรอครับ?" ถึงเสียวอู่จะพูดไม่ได้ว่าเขาเกลียดอู๋เฝ่ยมากแค่ไหน แต่เขาไม่เคยมองอู๋เฝ่ยเหมือนกับคนอื่นๆ ในร้าน เขาคิดว่าอู๋เฝ่ยไม่ใช่ศัตรูของพวกเขา แต่ก็ไม่ใช่พวกเดียวกัน ถ้าคิดให้ถี่ถ้วนแล้ว เขาน่าจะเป็นักโทษของพวกเขาละมั้ง? การเป็นักโทษหมายความว่าเขามีความผิด และหากเขามีความผิด เขาจะต้องชดใช้บาปของเขา และการขายตัวใน Super Moment ถือเป็วิธีการชดใช้บาปของอู๋เฝ่ย นี่เป็การตัดสินใจของกู้เฟิงั้แ่ต้นไม่ใช่หรือ?
"ทำไมฉันต้องเกลียดเขาด้วย?" กู้เฟิงหัวเราะเบาๆ
"ก็เขาทำร้ายประธานฉู่นี่ครับ!" เสียวอู่ทำให้กู้เฟิงหัวเราะหนักจนเขาสับสน
"ใช่ เขาทำร้ายฉู่อี้ก็จริง แต่คนต้นคิดคือฉู่จื้อเฉิง ถึงไม่ใช่อู๋เฝ่ยก็เป็คนอื่นอยู่ดี ตราบใดที่ฉู่จื้อเฉิงยืนกรานจะทำเื่พวกนั้น เขาหาคนมาช่วยเขาได้เสมอ อู๋เฝ่ยไม่ได้เป็อะไรมากไปกว่าคนผู้สมรู้ร่วมคิด ทำบาปก็ต้องชดใช้ เป็หนี้ก็ต้องจ่ายคืน ถึงฉันจะโมโหฟาดงวดฟาดงาไปทั่วอยู่ชั่วหนึ่ง แต่ฉันก็รู้ว่าสมควรเกลียดใคร" กู้เฟิงกล่าวอย่างใจเย็น
เสียวอู่สูดหายใจเข้าลึกๆ ไตร่ตรองอยู่นาน เขาคิดว่าคำพูดของกู้เฟิงฟังดูมีเหตุผลแต่ไม่ถูกต้องทั้งหมด ถ้าอู๋เฝ่ยไม่เห็นแก่เงิน เขาจะปล่อยให้ฉู่จื้อเฉิงติดสินบนเขาได้อย่างไร? เขาไม่เชื่อว่ามาสเตอร์เฟิงจื่อจะคิดไม่ถึงตรงจุดนี้ แค่แปลกใจว่าทำไมกู้เฟิงถึงเอาแต่เข้าข้างอู๋เฝ่ย? "มาสเตอร์ ทำไมถึงเอาแต่เข้าข้างเขาล่ะครับ?" พวกเขาทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์เป็พวกพูดจาขวานผ่าซาก เสียวอู่ค่อนข้างจะซื่อสัตย์เวลาอยู่ต่อหน้ากู้เฟิง ดังนั้นเขาจึงพูดออกไปตามที่คิด
กู้เฟิงส่ายหน้า "ทำไมฉันต้องเข้าข้างเขาด้วย?" คนที่ฉันเข้าข้างคือนายต่างหาก! แต่กู้เฟิงพูดแบบนั้นออกไปไม่ได้ กู้เฟิงเหยียดแขนชี้ไปที่ห้องเสียวอู่ "ปกติเขานอนตรงไหน?"
"ตรงนั้นครับ" เสียวอู่ชี้ไปที่มุมหนึ่งของห้อง
กู้เฟิงมองตามไป และพบว่ามันคือมุมเดียวกับที่อู๋เฝ่ยนั่งคุกเข่าเมื่อครู่นี้ พื้นเรียบสะอาดสะอ้าน ไม่มีร่องรอยของคนที่คุกเข่าก่อนหน้านี้อยู่เลย แน่นอนว่าไม่มีเบาะรองหรืออะไรทำนองนั้นด้วย "ปกติเขานอนแบบนี้เหรอ?"
"ผมจะให้ผ้าห่มเขาตอนกลางคืนครับ" เสียวอู่เบนสายตาเล็กน้อย ไม่กล้ามองกู้เฟิงตรงๆ เนื่องจากสัตว์เลี้ยงในร้านต้องคลานไปคลานมาตลอดทั้งปี ที่ร้านจึงใช้ระบบทำความร้อนใต้พื้นเสมอ และเครื่องปรับอากาศส่วนกลางจะเปิดด้วยอุณหภูมิคงที่ตลอดทั้งปี ดังนั้นในวันธรรมดาจึงไม่หนาวจนเกินไป ถึงนอนหลับไปแล้วจะหนาวสั่นอยู่บ้าง แค่มีผ้าห่มผืนบางๆ ก็เพียงพอแล้ว เสียวอู่เข้าใจว่ากู้เฟิงส่งอู๋เฝ่ยมาให้เขาทรมาน ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้อีกฝ่ายนอนบนพื้น แต่ถึงอย่างไรเขาก็กลัวว่าอู๋เฝ่ยจะเป็หวัดกลางดึก จึงโยนผ้าห่มให้อู๋เฝ่ยทุกคืน พอโดนกู้เฟิงถามแบบนี้เสียวอู่ก็รู้สึกใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ แต่เขาไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองทำอะไรผิดกันแน่?
กู้เฟิงสาวเท้าช้าๆ ไปยังหัวเตียงเสียวอู่ "นอนบนพื้นตลอดเลยเหรอ?"
กู้เฟิงใช้สายตาบีบบังคับเสียวอู่ ซึ่งเขาไม่กล้าโกหก จึงบอกไปตามตรง "หลังจากจบการแสดง ผมจะให้เขานอนบนเตียงคืนหนึ่งครับ"
กู้เฟิงเลิกคิ้วขึ้น เหลือบมองเตียงคู่ที่ขนาดไม่ได้กว้างขวางนักของเสียวอู่แวบหนึ่ง จากนั้นจึงเดินช้าๆ ไปยังจุดที่อู๋เฝ่ยคุกเข่าก่อนหน้านี้ "ปกติใครทำความสะอาดห้องนาย?"
"ผมทำเองครับ" ถึงจะไม่เข้าใจความหมายของกู้เฟิง แต่ก็ต้องตอบอยู่ดี
"ทำไมล่ะ?" กู้เฟิงยืนตรงจุดที่อู๋เฝ่ยนอนเป็ประจำ แล้วหันหลังกลับมามองอู๋ไป่
"ผมไม่ชินเวลามีคนอื่นเข้ามาในห้องผม" ที่ร้านมีพนักงานทำความสะอาดประจำคอยทำความสะอาดตามห้อง เกือบทุกคนแทบไม่ต้องทำความสะอาดห้องด้วยตัวเองเลย ทว่าอู๋ไป่ทำความสะอาดห้องของตัวเองมาโดยตลอด กู้เฟิงเองก็ไม่เคยถาม เขานึกว่ากู้เฟิงจะรู้ แต่วันนี้จู่ๆ อะไรมาดลใจให้มาสเตอร์เฟิงจื่อถามเขาเื่นี้?
กู้เฟิงพยักหน้า ชี้ไปที่เตียงของเสียวอู่ "เมื่อกี้ฉันเดินออกมากี่ก้าว?"
เสียวอู่มีทักษะ หรือต้องบอกว่าเป็นิสัยที่ไม่ค่อยมีใครรู้ ซึ่งพัฒนามาจากตอนที่ทำงานเป็สายลับ หรือไม่ก็ั้แ่ตอนอยู่ในโรงเรียนตำรวจ นั่นคือเขาสามารถนับก้าวของคนอื่นและของตัวเองได้โดยไม่รู้ตัว ทำให้คาดคะเนความยาวและจดจำเส้นทางได้ ถึงจะปิดตา เขาก็สามารถระบุเส้นทางที่เดินเพียงครั้งเดียวได้ ทักษะนี้ถึงแม้ว่าคนรอบข้างจะไม่รู้ แต่กู้เฟิงกลับรู้ดี
"เจ็ดก้าวครับ" เมื่อครู่กู้เฟิงใช้วิธีก้าวเดินช้าๆ ดังนั้นระยะห่างระหว่างก้าวจึงไม่กว้างนัก เสียวอู่กล่าวด้วยความมั่นใจ
"อู๋เฝ่ยมาอยู่ที่นี่ได้กี่เดือนแล้ว?" กู้เฟิงกอดอก ถามเสียวอู่ด้วยรอยยิ้ม
"สาม...เดือนแล้วครับ" เสียวอู่เหงื่อผุดพราย เขาคิดว่าตัวเองเข้าใจความหมายที่กู้เฟิงจะสื่อแล้ว
เขาระวังตัวมากจนไม่ยอมให้คนอื่นเข้ามาทำความสะอาดห้อง แต่กลับยอมให้อู๋เฝ่ยนอนห่างจากตัวในระยะไม่ถึงสิบก้าวเป็เวลาสามเดือนเต็มๆ
กู้เฟิงยังไม่สาแก่ใจ ยังกล่าวเสริมด้วยถ้อยคำประชดประชัน "ฉันยังจำตอนที่นายาเ็ได้อยู่เลย ถ้าเวินโหรวไม่ฉีดยานอนหลับให้หรือนายสลบไปจากความเ็ปเอง นายก็ไม่ยอมนอนเลย!"
ใช่ว่าเขาไม่ยอมนอน แต่เขาไม่สามารถนอนได้ในสถานการณ์ที่มีผู้คนรายล้อม เขาเป็สายลับอยู่หลายปี ร่างกายของเขาไวต่อความตึงเครียดอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาหลับ หากมีคนอื่นอยู่ใกล้ๆ ตัว อย่างมากเขาก็แค่แกล้งหลับไม่ก็งีบหลับ แต่คนเราไม่มีทางไม่หลับไม่นอนตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อเขาไม่มีท่าทีเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นคำพูดของกู้เฟิงจึง้าจะล้อเลี้ยนเขาที่นอนหลับอุตุทุกคืน โดยมีอู๋เฝ่ยอยู่เคียงข้างตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา!
เป็ไปได้ยังไง? อู๋ไป่ไม่เคยทำตัวหละหลวม เขาเคยระแวดระวังตัวอย่างหนักครั้งหนึ่งด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขากลับปล่อยให้คนที่เขาเชื่อว่าเป็ศัตรูกลายๆ และยังเป็คนที่เขาหาทางแก้แค้นเป็พักๆ หลับนอนใกล้ชิดกับเขาหลายวันขนาดนี้ สามเดือน เก้าสิบกว่าคืน! ยิ่งไปกว่านั้นอู๋เฝ่ยยังเป็คนมีทักษะพิเศษอีกด้วย
"มาสเตอร์..." เสียวอู่ตื่นตระหนก เข้าใจแล้วว่ากู้เฟิงพยายามสื่ออย่างมีชั้นเชิงว่าอู๋เฝ่ยเป็คนพิเศษเล็กน้อยสำหรับอู๋ไป่ แต่เขาสาบานได้ว่าเขาไม่เคยคิดกับอู๋เฝ่ยเป็อื่นเลย เขาแค่้าจะช่วยมาสเตอร์อย่างสุดความสามารถ แต่ก็กังวลว่าตัวตนการเป็อินเตอร์เซ็กส์ของอู๋เฝ่ยจะทำให้เข้ากับคนในร้านได้ยาก มาสเตอร์แค่สั่งให้เขาพาอู๋เฝ่ยไปทำการแสดงสด แต่ไม่ได้บอกให้ทำร้าย หรือฆ่าให้ตาย ดังนั้นเขาจึงรับอีกฝ่ายมาฝึกด้วยตัวเอง
"เขา...นิ่งมาก" เสียวอู่พยายามมองหาเหตุผลให้กับตัวเอง และใช้เหตุผลดังกล่าวโน้มน้าวกู้เฟิงและตัวเขาเอง
ได้ฟังคำพูดของเสียวอู่ กู้เฟิงก็เข้าใจว่าเสียวอู่ไม่อยากยอมรับ เมื่อเป็เื่ของความรัก สิ่งที่สำคัญคือความถูกต้อง ถูกเวลา ถูกคน ช้าหรือเร็วเกินไปก็ไม่ดี หากเร็วเกินไป อาจจะเผลอทุ่มเทมากเกินไป รากแห่งความรักยังไม่หยั่งลึก ความรู้สึกยังไม่มั่นคง อาจสูญเปล่าได้ แต่หากช้าเกินไปก็อาจจะพลาดโอกาส และตอนนี้ยังเร็วเกินไปสำหรับเสียวอู่และอู๋เฝ่ย กู้เฟิงเองก็รู้ดีว่าจังหวะเวลายังไม่ลงตัว เขาแค่ชี้ให้เห็นเท่านั้น หากเสียวอู่เข้าใจ นี่อาจจะเป็ประโยชน์กับตัวเขาเอง แต่ถ้าเสียวอู่ดึงดันไม่ยอมรับรู้ก็ช่างประไร ดังนั้นกู้เฟิงจึงพยักหน้า และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาตามคำบอกเล่าของเสียวอู่ "นั่นแหละสิ่งที่ฉันจะพูดั้แ่แรก เขานิ่งเกินไป"
เสียวอู่กะพริบตาปริบๆ เขาไล่ตามความเร็วของกู้เฟิงไม่ค่อยทัน "นิ่งๆ แล้วไม่ดีตรงไหนเหรอครับ?"
"ถ้าเป็คนนิ่งๆ ไม่ใช่เื่ผิดอะไรหรอก แต่ถ้านิ่งจนเข้าขั้นออทิสติกแบบอ่อนๆ นั่นแหละถึงเป็ปัญหา" กู้เฟิงพูดขณะก้าวเดินช้าๆ ไปที่หน้าต่าง
"ออทิสติก?" เสียวอู่เดินตามกู้เฟิงไปที่หน้าต่าง
"นี่อาจะเป็สาเหตุที่เขาอยู่ข้างๆ นายได้ตลอดเวลา โดยที่นายไม่รู้สึกระแวง" กู้เฟิงชี้ไปที่ร่างซึ่งยืนนิ่งกลางสนามหญ้าภายใต้แสงแดด "เขาเหมือนกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่ไร้ซึ่งิญญา เก็บตัวสุดขั้ว คนรอบข้างไม่รับรู้ถึงตัวตนของเขาเลย"
"เขายืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนแล้วเนี่ย?" รอบตัวอู๋เฝ่ยมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาจำนวนไม่น้อย บางคนก็ชำเลืองมองเขาเวลาเดินผ่าน บ้างคนไม่แม้แต่จะมอง ราวกับว่าเขาเป็แค่ของตกแต่งเท่านั้น อู๋เฝ่ยเองก็ไม่พูดจาและไม่ขยับเขยื้อน แม้แต่สายตาก็ยังไม่รู้ว่ามองไปที่ไหน? หลังจากเฝ้าดูอยู่นาน เขาคนนั้นก็ไม่แม้แต่จะขยับนิ้ว ราวกับว่าเขาเป็หุ่นจริงๆ เสียวอู่รู้สึกปวดใจแปลบๆ ขึ้นมา!
เขาจะไปรู้ได้อย่างไร? กู้เฟิงเม้มปากจนแทบจะมองไม่เห็นริมฝีปาก แต่ก็ยังตอบเสียวอู่ "คงจะยืนอยู่ตรงนั้นั้แ่ที่ฉันสั่งให้เขาออกไปละมั้ง"
"มาสเตอร์..." เสียวอู่อยากจะไปพาตัวเขากลับมา
"เสียวอู่" กู้เฟิงยังพูดไม่จบ "เขาไม่พูดกับนายมานานแค่ไหนแล้ว?"
นานแค่ไหน? เมื่อกี้ก็เพิ่งคุยกันไม่ใช่เหรอ? เสียวอู่สับสน
กู้เฟิงลอบถอนใจเมื่อเห็นสีหน้าว่างเปล่าของเสียวอู่ นึกแล้วเชียว นอกจากฉู่อี้แล้วก็ไม่มีใครเข้าใจความคิดของเขาเลยสักคน ลำพังแค่สื่อสารกันยังลำบากขนาดนี้ แถมหมอนี่ยังเป็ลูกศิษย์คนสนิทที่เขาปลุกปั้นมากับมือแท้ๆ "ไม่ใช่การตอบสนองแบบสัตว์เลี้ยง หมายถึงเขาเป็ฝ่ายพูดกับนายก่อน จะเรืองอะไรก็ช่างเถอะ หรือเขาเคยขออะไรจากนายด้วยวิธีของสัตว์เลี้ยงบ้างไหมล่ะ?"
ไม่เคย ไม่เคยเลย คราวก่อนที่ขอร้องเขาก็เมื่อสามเดือนก่อน ตอนที่เข้ามาครั้งแรก! ตอนนั้นอู๋เฝ่ยยังรู้จักร้องไห้ ถึงอู๋ไป่จะไม่เคยเห็นเขายิ้มมาก่อน แต่พอเวลาผ่านไป แม้แต่ร้องไห้อู๋เฝ่ยก็ไม่เคยร้อง แม้แต่น้ำตาสักหยดก็ไม่มี "..."
"เสียวอู่ ฉันบอกนายอยู่เสมอว่าถ้าจะรับสัตว์เลี้ยงก็หัดดูสัตว์เลี้ยงด้วย ไอ้ดูที่ว่าเนี่ยไม่ใช่แค่ใช้ตามอง แต่ต้องใช้ใจด้วย" กู้เฟิงไม่มีอะไรจะพูดอีก เขาตบบ่าเสียวอู่แล้วเดินจากไป
มีคำกล่าวว่าอาจารย์เป็เพียงผู้นำทางเข้าสู่ประตู การฝึกฝนที่เหลือนั้นขึ้นอยู่กับตนเอง! ส่วนที่เหลือ เสียวอู่ต้องเป็คนเรียนรู้ด้วยตัวเอง
อู๋ไป่เข้าใจมาโดยตลอดว่าการใช้ใจที่กู้เฟิงหมายถึง คือการตั้งสมาธิและทุ่มเทความตั้งใจอย่างเต็มที่ แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่แค่นั้น