หมี่จิ้งเฉิงเองก็ร้อนใจอยากจะไปดูร้านของลูกสาว แต่ภรรยากลับชิงไปก่อนแล้ว เขาจึงต้องอยู่บ้านดูแลลูกชายคนเล็กอ่านหนังสือ และเตรียมงานก่อนตรุษจีน พลางมองภรรยาตามลูกสาวออกจากประตูบ้านด้วยสายตาละห้อย
หมี่หลันเยว่ไม่อยากให้แม่ตามไปด้วย เพราะ่นี้เป็่เร่งงาน โหดสุดๆ ทั้งเธอกับพี่ชายต้องจัดการสินค้าของจนหลังแทบหัก แต่ทั้งคู่ก็พยายามคลายเมื่อยก่อนกลับบ้าน ไม่อยากให้พ่อแม่เห็นอาการอ่อนเพลีย กลัวพวกท่านจะเป็ห่วง
เธอเลยไม่อยากให้แม่ต้องลำบาก เพราะเพิ่งสอนหนังสือมาทั้งเทอม พอได้หยุดพักหน้าหนาว แม่ก็ยังรีบมาช่วยงานลูกสาว หลันเยว่รู้สึกผิดจริงๆ ที่ทำร้านเล็กๆ น้อยๆ หวังให้ครอบครัวสบายขึ้น แต่กลับทำให้แม่ต้องเหนื่อย
แต่ในฐานะคนเป็แม่ หวังหย่วนฉิงไม่รู้ว่าลูกสาวมีร้านก็แล้วไป พอรู้ว่า่นี้เป็่ที่ยุ่งและเหนื่อยที่สุดก่อนตรุษจีน เธอจะทนอยู่บ้านได้อย่างไร หลันเยว่บอกให้มาพรุ่งนี้ เธอยังรอไม่ได้ ต้องตามลูกสาวออกไปให้ได้
จากบ้านไปร้านไม่ไกลเท่าไหร่ สิบกว่านาทีก็ถึงร้าน
"แม่คะ นี่พี่หลิวลี่ พี่หนิวเถียจู้ พนักงานขายในร้านเราค่ะ สองคนนี้ฝีมือดีมาก เสื้อผ้าที่ผ่านมือเขา ขายดีเป็เทน้ำเทท่าเลยค่ะ"
หมี่หลันเยว่ภูมิใจพนักงานสองคนนี้มาก เก่งจริงๆ โดยเฉพาะหนิวเถียจู้ ทำให้เธอประหลาดใจสุดๆ เธอแอบสังเกตการณ์การขายของหนิวเถียจู้หลายครั้ง พบว่ามีทีเด็ดจริงๆ ซื่อๆ แต่ก็มีเล่ห์เหลี่ยม ทำให้จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน แต่ก็เผลอติดกับดักได้ง่ายๆ
"สวัสดีค่ะ/ครับคุณน้า!"
หลิวลี่กับหนิวเถียจู้ค่อนข้างเกร็ง เพราะเพิ่งเคยเจอแม่ของหมี่หลันเยว่เป็ครั้งแรก แต่หวังหย่วนฉิงรับมือกับเด็กๆ วัยนี้ได้สบายมาก เพราะลูกศิษย์ของเธอก็อายุประมาณนี้ทั้งนั้น
"สวัสดีจ้ะเด็กๆ เหนื่อยหน่อยนะ ใกล้ตรุษจีนแล้วยังไม่ได้พักผ่อน"
ทั้งคู่รีบส่ายหน้า บอกว่าไม่เหนื่อย เป็สิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว แค่ไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ ว่านี่มันงานได้เงินนี่นา แถมยังค่าแรงสูงอีกด้วย
"งั้นพวกเธอทำงานไปก่อนนะ เดี๋ยวให้หลันเยว่พาน้าไปดูที่โรงงานหน่อย"
เห็นทั้งคู่ยังเกร็งๆ แถมมีลูกค้าเข้าร้าน หวังหย่วนฉิงก็โบกมือลา หลิวลี่ไปต้อนรับลูกค้า ส่วนหนิวเถียจู้ก็เดินมาส่งสองแม่ลูกถึงหน้าร้าน
"คุณน้าเดินทางปลอดภัยนะครับ!"
"เถียจู้ ไปเถอะ! รีบกลับเข้าไปเถอะ ข้างนอกหนาว เดี๋ยวน้าค่อยมาเยี่ยมใหม่นะ"
หวังหย่วนฉิงบอกให้หนิวเถียจู้กลับเข้าไปในร้านอย่างเป็กันเอง ไม่อยากให้มาส่งต่อ
"จัดร้านได้ดีนี่ ดูเป็ระเบียบเรียบร้อย น่าดึงดูด พนักงานก็คล่องแคล่ว"
หวังหย่วนฉิงสำรวจร้านคร่าวๆ แล้วรู้สึกพอใจมาก ชมไม่ขาดปาก เธอไม่คิดว่าลูกสาวจะเก่งขนาดนี้ บริหารร้านได้ดีขนาดนี้ั้แ่อายุยังน้อย
"แหม...ก็ร้านที่หนูเลือก คนที่หนูเลือก จะไม่ดีได้ยังไงคะ"
ต่อหน้าแม่ หมี่หลันเยว่ถึงได้แสดงความเป็เด็กสาวออกมาเต็มที่ การอวดแบบนี้ดูไม่ขัดเขินเลยสักนิด การออดอ้อนก็ไม่มีความรู้สึกผิดในใจ
เพราะหมี่หลันเยว่รู้ว่า ไม่ว่าเธอจะโตแค่ไหน ในสายตาแม่ก็ยังเป็เด็กอยู่ดี ไม่ว่าเธอจะทำอะไร แม่ก็จะไม่รังเกียจ ดังนั้น ในเมื่อยังเป็เด็กอยู่ ก็ต้องใช้สิทธิ์ที่ตัวเองมีให้เต็มที่ อยากร้องก็ร้อง อยากหัวเราะก็หัวเราะ แม่คือคนที่เธอพึ่งพาได้ตลอดไป
"่นี้ร้านขายดีไหม"
เดินไปโรงงานก็ไม่กี่ก้าว แต่หวังหย่วนฉิงก็ฉวยโอกาสคุยกับลูกสาว เธออยากรู้เื่ร้านให้มากขึ้น เผื่อจะช่วยอะไรลูกสาวได้มากกว่านี้
"แม่คะ ยอดขายที่ร้านหนูดีมากเลยค่ะ เสื้อผ้าที่ตั้งอยู่ในร้านตอนนี้ ครึ่งหนึ่งมีคนจองหมดแล้วค่ะ แต่กลัวว่าร้านจะไม่มีตัวอย่างให้ดู พวกหนูก็เลยคุยกับลูกค้า ขอให้มารับของวันก่อนวันตรุษจีนค่ะ ไม่งั้นตอนนี้ร้านคงโล่งไปแล้ว"
"โอ้...ขายดีขนาดนั้นเลย"
หวังหย่วนฉิงไม่คิดว่าสินค้าจะขายแบบนี้ได้จริงๆ เสื้อผ้าที่แขวนอยู่ในร้าน ขายออกไปเกือบหมดแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะกังวลมากเกินไปจริงๆ ร้านของลูกสาว บริหารได้ดีจริงๆ
"แต่ลูกค้าเขาจะยอมเหรอ ที่ให้เอาเสื้อผ้าที่ซื้อไปแล้ว แขวนไว้ในร้านอีก"
หวังหย่วนฉิงไม่เคยเจอแบบนี้ ซื้อเสื้อผ้า จ่ายเงินแล้ว แต่ยังเอาไปไม่ได้ แบบนี้มันขัดกับหลักการซื้อขายที่ว่า 'ยื่นหมูยื่นแมว' รึเปล่า
หมี่หลันเยว่เข้าใจความกังวลของแม่ดี คนยุคนี้ซื่อเกินไป ไม่มีแิของการค้าขาย เกรงใจคนอื่นตลอดเวลา กลัวคนอื่นเสียเปรียบ ตัวเองเสียเปรียบบ้างก็ไม่เป็ไร แต่ร้านของเธอเป็ร้านค้า ถ้าไม่มีกลยุทธ์นี้ ก่อนตรุษจีนจะเสียเงินไปเท่าไหร่
หมี่หลันเยว่ไม่ได้รู้สึกผิดกับกลยุทธ์ของตัวเอง แต่ก็อธิบายให้แม่เข้าใจตรงๆ ไม่ได้ เพราะคนรุ่นแม่ยึดมั่นว่าห้ามเอาเปรียบใคร
"แม่คะ มันก็ช่วยไม่ได้นี่คะ ถ้าเขาไม่ยอม ก็ไม่มีเสื้อตัวนั้นแล้วไงคะ"
หมี่หลันเยว่พยายามพูดให้ง่ายเข้าไว้ ไม่อยากให้แม่คิดว่าเธอมีเล่ห์เหลี่ยมมากเกินไป
"สินค้าในร้านเราขายดี ลูกค้ารู้ แต่ถ้าในร้านแขวนเสื้อผ้าแค่ไม่กี่ตัว มันจะดูโล่งๆ ลูกค้าเข้ามาก็ไม่มีอะไรให้ดู มันก็ไม่ให้เกียรติลูกค้าด้วยค่ะ"
พอได้ยินแบบนี้ หวังหย่วนฉิงก็เข้าใจมากขึ้น แล้วก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชม
"ลูกค้าในร้านลูกนี่ดีจริงๆ"
"แม่คะ ไม่ใช่แค่ลูกค้าดี สินค้าเราก็ดีด้วย เขาถึงไม่อยากพลาดไงคะ"
สองแม่ลูกเดินมาถึงหน้าโรงงาน หมี่หลันเยว่กำลังจะเปิดประตู หวังหย่วนฉิงก็เอื้อมมือไปแตะหัวลูกสาวเบาๆ
"ดูลูกทำเข้า ดีใจจนออกนอกหน้า รู้ว่าของในร้านดี แต่ก็ไม่เห็นต้องอวดขนาดนี้เลยนี่นา"
"แม่มาได้ยังไงครับเนี่ย?"
หวังหย่วนฉิงเพิ่งเดินตามลูกสาวเข้ามาในโรงงานได้ไม่ทันไร หมี่หลันหยางก็เห็นเงาแม่ตามหลังน้องสาว
"ทำไมแม่จะมาไม่ได้ พวกลูกสองคนปิดแม่ซะมิดเลยนะ"
หวังหย่วนฉิงเหลือบมองลูกชายคนโตอย่างไม่พอใจ แต่ในสายตากลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ไม่เห็นความดุดันเลยสักนิด
"แม่ครับ นี่มันเพิ่งเริ่มต้นเอง พวกผมอยากรอให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางก่อน แล้วค่อยให้แม่กับพ่อแปลกใจ ถ้าพวกผมทำไม่สำเร็จ ก็ไม่รู้จะอธิบายกับแม่ยังไงนี่ครับ พวกผมเป็ลูกแม่นี่ครับ ถ้าทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ มันน่าอายออกจะตายไป โชคดีที่ยังพอมีผลงานบ้าง"
หวังหย่วนฉิงไม่คิดว่าลูกชายจะพูดอะไรแบบนี้ได้ อึ้งไปพักหนึ่ง แล้วค่อยชี้ไปที่หมี่หลันเยว่
"หลันเยว่ ลูกสอนพี่ชายลูกให้เป็แบบนี้ได้ยังไงเนี่ย ปกติพี่ชายลูกพูดจารอบคอบที่สุด ทำไมตอนนี้ลูกถึงทำให้เขาไม่รู้จักคำว่าถ่อมตัวไปได้ล่ะ?"
หมี่หลันเยว่ขมวดคิ้ว นี่มันไม่ยุติธรรมเลย พี่ชายเป็คนเ้าเล่ห์อยู่แล้ว เธอจะไปสอนอะไรได้ เธอมีความสามารถขนาดนั้นเลยเหรอ แต่เธอจะอธิบายยังไงดี บอกว่านี่เป็นิสัยพี่ชายอยู่แล้ว แต่แม่ไม่เคยสังเกต แม่จะเชื่อไหม?
เห็นน้องสาวทำหน้าแข็งทื่อ มองมาด้วยสายตาดุดัน หมี่หลันหยางก็รู้ตัว ไปจัดการสินค้าต่อดีกว่า ยังไงน้องสาวก็รับเคราะห์แทนเขาไปแล้ว อย่าไปยั่วโมโหเธอเลย ไม่งั้นถ้าเธอพ่นไฟออกมา มันก็ยากที่จะต้านทานได้
"ทำไมถึงทำหน้าไม่พอใจ แม่พูดผิดตรงไหน ลูกฉลาดมาั้แ่เด็ก พี่ชายก็รักลูก อะไรๆ ก็ตามใจลูก ดูสิ น้ำเสียงการพูดจายังเหมือนกันเลย"
หวังหย่วนฉิงมองลูกสาวที่ทำหน้าไร้เดียงสา ก็ไม่ได้รู้สึกสงสารเลยสักนิด
หมี่หลันเยว่ได้แต่ร้องในใจ แม่คะ แม่นี่...ไม่รู้จักลูกชายตัวเองเอาซะเลย คนนั้นเป็คนที่ได้เป็หัวหน้าห้องั้แ่เล็กจนโต ถ้าในใจไม่มีอะไรแอบแฝง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม แล้วครูจะชอบเขาขนาดนั้นได้ยังไง เพื่อนๆ จะเคารพรักเขาได้ยังไง แต่คำพูดนี้ หมี่หลันเยว่พูดออกไปไม่ได้
"พี่เสี่ยวหว่านคะ นี่คือแม่ฉันค่ะ แม่คะ นี่คือพี่หลิวเสี่ยวหว่าน ผู้จัดการโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าของเราค่ะ"
ในเมื่ออธิบายไม่ได้ ก็เปลี่ยนเื่ดีกว่า ถ้าทำให้แม่สนใจเื่นี้ เดี๋ยวก็ต้องโดนตำหนิอะไรอีก
"สวัสดีค่ะคุณน้า ฉัน หลิวเสี่ยวหว่าน ตอนนี้ช่วยหลันเยว่ดูแลเื่ต่างๆ ในโรงงานค่ะ"
หลิวเสี่ยวหว่านเคยช่วยหมี่หลันเยว่ต้อนรับหนิวต้าลี่มาสองครั้งแล้ว ตอนนี้เื่การต้อนรับแขกก็ไม่ตื่นเต้นแล้ว รับมือได้อย่างเหมาะสม
"สวัสดีจ้ะเสี่ยวหว่าน วันนี้น้ามาช่วยหลันเยว่ทำงานน่ะ ได้ยินว่าที่โรงงานมีสินค้ารอบหนึ่งกำลังรอส่งอยู่และกำลังขาดคน น้าก็เลยมาในฐานะคนงาน ผู้จัดการเสี่ยวหว่าน มีอะไรให้ทำ สั่งมาได้เลยนะ"
ความง่ายๆ สบายๆ ของหวังหย่วนฉิง ทำให้คนงานทั้งโรงงานรู้สึกดี
"สวัสดีค่ะคุณน้า!"
ทุกคนทักทายหวังหย่วนฉิงพร้อมกัน หวังหย่วนฉิงรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปทั้งตัว ไม่เหมือนตอนยืนอยู่หน้าชั้นเรียน ที่ต้องเผชิญหน้ากับนักเรียนหลายสิบคน
"สวัสดีจ้ะทุกคน วันนี้น้ามาในฐานะคนงาน ก็คือเป็คนหนึ่งในพวกเรา ดังนั้นก็ต้องขอให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยนะ"
หวังหย่วนฉิงทักทายคนงานแล้วก็ไปหาลูกชาย ดูว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่
“งานที่ว่าก็คือห่อบรรจุเสื้อผ้าที่ตัดเย็บเรียบร้อยแล้ว แล้วมัดรวมสิบชิ้นต่อหนึ่งชุดใช่ไหม?”
พอได้รับคำยืนยันจากลูกชายและลูกสาว หวังหย่วนฉิงก็ไม่พูดอะไรอีก ลงมือทำทันที ต้องบอกเลยว่าคนฉลาดนั้น ไม่ใช่แค่คิดเร็ว แต่ยังทำงานเก่งด้วย หวังหย่วนฉิงเข้าสู่การทำงานได้อย่างรวดเร็ว
พอเห็นผลงานที่แม่ทำ หมี่หลันเยว่ก็อดรู้สึกทึ่งไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็การพับเสื้อให้เรียบร้อย หรือใส่ลงถุงอย่างเป็ระเบียบ แม่ทำออกมาดูดีจนเหมือนสินค้ายี่ห้อดัง เนี้ยบจนไม่มีที่ติ
เมื่อเทียบกับฝีมือแม่แล้ว ฝีมือของเธอยังห่างไกลนัก เสื้อผ้าที่ตัวเองบรรจุใส่ถุงยังแค่ดูผ่านๆ ได้ แต่ของแม่แทบจะเรียกได้ว่าเป็งานศิลปะเลยทีเดียว
