น้ำในแม่น้ำเย็นเยียบ ทั้งลึกทั้งมืด
ไม่เหมือนน้ำทะเลสาบในเมืองเจียงโจวที่ิหยวนคุ้นเคย ที่นั่นเขารู้จักหินและพืชน้ำทุกชนิด เรียกได้ว่าหลับตาว่ายก็ยังได้
แม่น้ำที่นี่ิหยวนไม่คุ้นเคย เป็แม่น้ำที่แยกมาจากแม่น้ำฉางเจียงอันกว้างใหญ่ น้ำเชี่ยวมากโดยเฉพาะเวลากลางคืน ิหยวนกระโจนลงไปในน้ำ กลั้นหายใจ แล้วว่ายขึ้นมา เขาโผล่ขึ้นมาหายใจเข้าลึกๆ แล้วดำลงไปอีกครั้ง แหวกว่ายสุ่มหาคนในน้ำ
โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเพื่อหายใจอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่พบเว่ยชง อุณหภูมิในร่างกายเขาลดลง ความหนาวเย็นเริ่มทำให้แขนขาแข็งทื่อ ในยามที่เขากำลังจะหมดหวัง ทันใดนั้นก็มีผ้าผืนลอยมาติดที่มือ เขารีบคว้าผ้านั้นไว้พลางจับดู ปรากฏว่าเป็คน ไม่รู้ว่าเป็มือหรือขา ไม่รู้ว่าเป็หรือตาย ิหยวนกอดร่างนั้นไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง และใช้มืออีกข้าแหวกว่ายกลับเข้าฝั่ง ระหว่างนั้นก็ต้องระวังไม่ให้ถูกกระแสน้ำพัดพวกเขาจมน้ำอีก
ขยับมือเท้าไปในทิศทางเดียว เขาติดอยู่ในแม่น้ำวนหลายครั้งเกือบหลุดออกมาไม่ได้ กระแทกหินไปก็หลายก้อน ตอนนี้เขาทั้งหนาวทั้งเหนื่อย ร่างกายชาไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าตัวได้รับาเ็หรือไม่ มีเพียงลมหายใจที่ยังดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด ส่วนจิตใจของเขานั้นว่างเปล่า
ไม่รู้ว่าใช้เวลานานเพียงใด แต่ในที่สุดเขาก็พาร่างของอีกคนมาถึงชายหาดริมแม่น้ำ ิหยวนคว้าก้อนหินบนฝั่งด้วยมืออีกข้าง ลากคนที่ไม่รู้ว่าเป็เว่ยชงหรือไม่ขึ้นมาบนฝั่ง ก่อนจะนอนแผ่อยู่ข้างริมแม่น้ำเพื่อพักหายใจ
ทว่าจู่ๆ ก็มีแสงสว่างปรากฏขึ้นในความมืด
ิหยวนผงกหัวขึ้นมอง พบว่าเป็ชายคนหนึ่งนั่งยองๆ ถือคบเพลิงอยู่ตรงหน้าเขา
“...เ้ารู้หรือไม่ว่าสวมหน้ากากสุนัขในตอนกลางคืนอาจทำให้คนใตายได้”
เสียงหัวเราะแปลกๆ ดังก้องอยู่ในลำคอผู้มาเยือนเหมือนกำลังปิดบังบางสิ่ง สุดท้ายก็ถอดหน้ากากสุนัขที่เขาสวมมาตลอดทั้งคืนออก
โชคดีที่เขาไม่ได้ช่วยผิดคน
และโชคดีที่เว่ยชงยังไม่ตาย ิหยวนเห็นสภาพตนในยามนี้แล้ว คิดว่าตนเองควรคิดให้ดีก่อนตัดสินใจทำอะไรลงไป
ตอนนี้พวกเขาถูกพามาที่วัดร้างแห่งหนึ่ง มีกองไฟใหญ่ให้แสงสว่าง ิหยวนกำลังจะถอดเสื้อผ้าเปียกโชกบนตัวเว่ยชงออก แต่ถูกใครบางคนทำตัดหน้าไปเสียก่อน “เ้าห่วงตัวเองก่อนเถิด หน้าซีดปากสั่นหมดแล้ว ส่วนเขาข้าจะดูแลให้”
ิหยวนอึ้งไปสักพักก็ทำตามอย่างว่าง่าย ถอดเสื้อผ้าที่เปียกออกแล้วนำไปผิงไฟ เว่ยชงเองก็ถูกชายหนุ่มถอดชุดเปียกออกไปตากไว้ แม้แต่โคมไฟอันเล็กที่เด็กหนุ่มกอดไว้แน่นก็ถูกตากไว้อย่างดี จากนั้นก็กลับไปสวมชุดที่แห้งและสะอาดให้เขา ชายหนุ่มถอดชุดตนเองหอตัวเด็กไว้พร้อมกอดเด็กน้อยผู้บอบบางไว้อ้อมแขนเพื่อให้ความอบอุ่น ทั้งยังััรักแร้ คอ และขาหนีบที่เย็นเยียบให้อุ่นขึ้น
ทันทีที่ิหยวนเดินกลับมานั่งลง เสื้อซับในตัวหนึ่งก็ถูกโยนมาทางเขา “หากไม่รังเกียจ สวมของข้าก่อนก็ได้”
ิหยวนในยามนี้หนาวจนตัวสั่น ไม่มัวสนใจเื่ไร้สาระ รับเสื้อที่บนเนื้อผ้ายังมีความอุ่นจากร่างกายมนุษย์มาสวมทันที ชายหนุ่มยังส่งสุราที่เขาอุ่นไฟเอาไว้ให้ิหยวนดื่มคลายหนาว เขารับมาแล้วจิบอึกใหญ่
คุณภาพต่ำ
ทว่าฤทธิ์แรงใช้ได้
ร้อนแรงบาดคอวูบวาบในท้อง รู้สึกราวกับว่าแขนขาอวัยวะน้อยใหญ่ในร่างกายด้านชาทันที
ิหยวนถึงกับต้องพ่นลมหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะก็นึกขึ้นได้ว่าคืนนี้เขากับคนผู้นี้พบกันไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ทว่ายังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามเขาเลย “ขอบคุณท่านมาก ข้าขอถามได้หรือไม่?”
ชายหนุ่มส่งยิ้มข้ามกองไฟ “ไม่ต้องเกรงใจ ข้ามีนามว่าอี้อวิ๋น แล้วเ้าเล่า?”
“ข้ามีนามว่า…” ิหยวนชะงัก เขาติดตามเว่ยเสี่ยนที่แอบพาเว่ยชงออกมาข้างนอกจนเกิดเื่ หากเขาช่วยเหลือพวกเขาได้ อย่างดีที่สุดก็อาจมีผลงานช่วยชีวิตคน แต่หากเขาทำให้โอรส์ตกอยู่ในอันตราย เกรงว่าหายนะอาจมาหาเขาถึงหน้าบ้าน เขามาเมืองหลวงเพื่อเล่าเรียน ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าเข้าสำนักศึกษาก็เจอปัญหาใหญ่...
“ว่าอย่างไรเล่า ยังไม่ได้คิดหรือ?” อี้อวิ๋นเห็นเขาทำท่าครุ่งคิดสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนคนคิดไม่ตกก็อดขำไม่ได้
“อ่า? เอ่อ...” พอิหยวนรู้ตัวว่าอีกฝ่ายรู้ทันก็พลันหน้าแดงทำตัวไม่ถูก ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันอยู่สักพักก็คิดขึ้นมาได้ว่าชื่อของอีกฝ่ายอาจเป็ของปลอมเช่นกัน จู่ๆ คนทั้งสองก็หัวเราะออกมาโดยไม่มีเหตุผล ิหยวนจึงคิดชื่อง่ายๆ ให้ตนเอง “เช่นนั้นเรียกข้าว่าหยวนิก็ได้”
อี้อวิ๋นยกไหสุราขึ้นมาจิบแล้วส่งให้เขา “ได้! ย่อมได้ ข้ามีสุราหนึ่งไห เพียงพอที่จะดื่มคลายความเหนื่อยล้า ‘ชวนท่านชมทุ่งกว้าง กลางคืนเดือนหงาย ใต้แสงจันทร์นวลผ่อง’ ค่ำคืนนี้เราได้มาพบกันนับเป็วาสนา เรามาร่ำสุราใต้แสงจันทร์ด้วยกันเถิด”
ิหยวนจ้องอีกฝ่ายพร้อมพินิจพิเคราะห์ คิ้วตรงคมเข้มประดุจคมดาบ จมูกโด่งเป็สัน ริมฝีปากบางเฉียบ ใบหน้างดงามราวหยกแกะสลัก อาจเป็เพราะแสงจากกองไฟที่ทำให้รอยยิ้มเขาดูสว่างไสวขึ้น
“เป็อันใดไป?”
“เออ…ข้าเปล่า” ิหยวนรู้ตัวว่าเสียมารยาทจึงรีบเบือนหน้าหนี ทำเป็กวาดมองรอบๆ ก่อนจะทำเป็เขี่ยฟืนใส่ไฟ “ที่นี่คือที่ใดหรือ?”
“ป่าช้า”
“ว่าอย่างไรนะ!” ิหยวนร้องเสียงหลงพร้อมกวาดตามองรอบๆ อีกที คราวนี้เขาเห็นโลงไม้บางๆ จำนวนมากวางอยู่ข้างในวัดร้าง ทั้งยังมีศพที่ห่อด้วยเสื่ออีกจำนวนหนึ่ง
“เ้ากลัวคนตายหรือ? อย่าเสียงดัง เดี๋ยวเด็กใ” อี้อวิ๋นรีบลูบหลังกล่อมเด็กน้อยที่เพิ่งผล็อยหลับในอ้อมแขนเขา
“แล้วคนตายไม่น่ากลัวหรือ?” ยิ่งมองิหยวนก็ยิ่งกลัว ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นศพของคนยากจน ในชนบทมีคนจำนวนมากล้มตายตามข้างถนน เดินผ่านเพียงสองก้าวก็มีให้เห็นอีก แต่กลางดึกในวัดร้าง มีเพียงแสงสว่างจากกองไฟ แถมยังมีโลงศพอีกมากมาย มองอย่างไรก็น่าขนลุก
ทว่าอีกคนกับนิ่งเฉยไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ล้วนตายกันหมดแล้ว มีอันใดให้กลัว?”
“เอาเถิดๆ” ิหยวนไม่อยากถกเถียงเื่นี้ในยามนี้ รีบยกมือยอมแพ้ “ไยถึงพาเรามาที่นี่?”
“หากไม่ให้ข้าพามาที่นี่หรือเ้าจะให้ข้าพาเข้าเมือง?”
เสื้อผ้าบางส่วนของิหยวนเริ่มแห้งแล้ว เขาจึงถอดเสื้อที่ยืมมาออก สวมเสื้อของตนแทน ก่อนจะคืนเสื้อให้อี้อวิ๋นพร้อมบอกให้เขาพูดต่อ
“เ้าคงไม่คิดว่าไฟไหม้วันนี้เป็เพียงอุบัติเหตุใช่หรือไม่?”
ิหยวนเงียบ “ใต้หล้าจะมีเื่บังเอิญเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“ก็เพราะอย่างนี้อย่างไรเล่า ข้าไม่รู้ว่าพวกเ้าเป็ผู้ใด อาจถูกคนไล่ล่าอยู่ก็เป็ได้ เกิดเหตุไฟไหม้ที่งานโคมไฟ มีคนใช้โอกาสนี้ลอบสังหาร หากแผนการวันนี้สำเร็จ ตอนนี้คงถูกโยนลงทะเลเพลิง ศพที่ถูกไหม้เกรียมยิ่งระบุตัวบุคคลได้ยาก เื่นี้ไม่มีทางเกิดขึ้นด้วยเหตุบังเอิญ”
อี้อวิ๋นเล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขาโดดลงน้ำ พลางลูบหลังกล่อมเด็กที่อยู่ในอ้อมแขน
“พอเขาตกลงไปในแม่น้ำ นักฆ่าพวกนั้นก็หนีไป คนที่เ้าบอกให้หนีไปก่อนก็พาคนมาช่วย คุณชายขี้โมโหจึงสั่งให้คนปิดล้อมริมฝั่งแม่น้ำไว้และส่งคนไปแจ้งผู้ดูแลเมืองหลวงว่า้ากำลังเสริมมาค้นหาพวกเ้า ข้าจึงสบโอกาสหนีมา”
“คนตั้งมาก ไยถึงปล่อยให้ท่านหนีมาได้?”
“พวกเขากำลังแกะกาบเรือหาดาบ [1] เอาแต่งมหาอยู่ที่เดิมจะไปเจออะไร ข้าก็เลยลองตามกระแสน้ำมาตามหาพวกเ้า”
ิหยวนฟังเขาเล่าแล้วก็นึกชื่นชม เขาดูแก่กว่าตนสองสามปี เท่าที่เห็นเขาดูเป็คนกล้าหาญและอิสระ ตอนนี้ยิ่งรู้จักยิ่งรู้สึกว่าเขาเป็คนอารมณ์ดีมีชีวิตชีวา
ิหยวนเป็คนฉลาด ได้ยินอย่างนั้นก็เข้าใจทันที หากพวกเขาออกไปตอนนี้ อาจเจอคนของทางการหรือไม่ก็คนของผู้ดูแลเมืองหลวง ไม่รู้ว่าจะเป็กับดักหรือไม่ เขาคิดว่าอี้อวิ๋นเป็คนรอบคอบมากทีเดียว
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[1] แกะกาบเรือหาดาบ (刻舟求剑) หมายถึง ยึดมั่นในกรอบอันคร่ำครึโดยไม่รู้ว่า สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปแล้ว