ทันทีที่เฉินปั๋วประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าวันนี้จะทำการตัดสินด้วยกันทั้งหมดสามคดี ผู้คนทั้งหลายต่างฉงนใจ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดเื่ถึงได้บานปลายกลายเป็คดียิบย่อยเพิ่มขึ้นมาอีกไม่รู้จบสิ้น
หลังคนทั้งหลายเดินทางมาถึงโถงตัดสินคดีในที่ว่าการเมืองเจียงโจว ปรากฏว่าด้านในมีคนสองคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว คนหนึ่งคือเจิ้งก่วงอี้ นายอำเภอซานหยางผู้เ็าโเี้ และอีกคนคือิหลาน ประมุขตระกูลิ
หลิวเวยกับคนอื่นๆ ทั้งใและสงสัย ทว่ายังคงเก็บสีหน้าไว้เป็อย่างดี ก่อนจะเอ่ยทักทายตามมารยาท
ปัญญาชนผู้หนึ่งเดินตามหลังเฉินปั๋วเข้ามาทักทายิหลาน หลังได้ยินพวกเขาพูดคุยกัน หลิวเวยถึงได้รู้ว่าคนผู้นี้คือท่านอาจารย์จากสำนักศึกษาตระกูลิ หลิวเวยขมวดคิ้วเป็ปม ความสงสัยในใจเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น เหตุใดตระกูลิต้องยื่นมือเข้ามายุ่งเื่นี้ด้วย แต่ท่าทางิหลานก็ดูงุนงงไม่ต่างกัน หลิวเวยจึงดูไม่ออกว่าพวกเขาคิดจะทำสิ่งใด
เฉินปั๋วเดินไปนั่งประจำตำแหน่งที่โต๊ะใหญ่หน้าห้องโถง บ่าวในศาลจึงนำเก้าอี้อีกสองสามตัวมาให้หลิวเวยและคนอื่นๆ นั่ง สิ่งที่ทำให้เขาไม่เข้าใจที่สุดก็คือเหตุใดอาจารย์หนึ่งเดียวในสำนักศึกษาถึงมาอยู่กับิหลานได้
เฉินปั๋วแนะนำด้วยรอยยิ้ม “ทุกท่านคงยังไม่ทราบ ข้าเองก็พึ่งจะรู้ไม่นานมานี้เช่นกัน ท่านผู้นี้คือคุณชายหลินชวน นามว่าโหวตงเลี่ยง เป็ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วใต้หล้าเมื่อยี่สิบปีก่อน ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะปิดบังชื่อแซ่ ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ทั้งยังผันตัวเป็อาจารย์ในสำนักศึกษาเล็กๆ พี่รุ่ยตงเก่งมากที่เกลี้ยกล่อมเขาไปสอนลูกหลานของตนได้”
ทุกคนในห้องโถงต่างมีสีหน้าแปลกใจที่ได้ยินชื่อของบุคคลอันโด่งดังที่สุดแห่งยุค ยามนี้ไม่มีผู้ใดเคยได้ยินชื่อโหวอิงมาก่อน แต่หากย้อนไปยามนั้น ย่อมไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก “คุณชายหลินชวน” ผู้ใดบ้างจะไม่รู้เื่ซุบซิบที่ว่าขุนนางราชเลขากรมอาลักษณ์หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วข้ามคืน คิดไม่ถึงเลยว่ายี่สิบปีต่อมาเขาจะตกอยู่ในสภาพนี้ ไม่หลงเหลือมาดของคุณชายผู้มากความสามารถในยามนั้นเลย
“ฝู่จวินชมเกินไปแล้ว ตอนนี้ข้าเป็เพียงชายชราหาปลา [1]”
ในขณะที่ผู้คนในห้องโถงกำลังกระซิบกระซาบ เ้าหน้าที่ในศาลก็ประกาศ “โจทก์มาถึงแล้ว”
สายตาทุกคู่หันมองประตูทางเข้าที่เปิดอยู่
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งสวมชุดสีฟ้าที่เย็บด้วยมือ เดินขึ้นบันไดมาอย่างรวดเร็ว
เป็คนผู้นี้อีกแล้ว หลิวเวยไม่มีทางไม่รู้จักคนผู้นี้ เขายอมเสียทองร้อยชั่งเพื่อให้บุตรชายคนโตได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษากลาง แต่ความหวังกลับถูกเด็กคนนี้ขัดขวาง แม้จ้าวผูจะส่งทองคำทั้งหมดคืนให้เขา แต่เขาหาได้เสียดายเงินทองพวกนั้น! ยิ่งเห็นใบหน้าสงบนิ่งของอีกฝ่าย หลิวเวยยิ่งนึกโมโหหนัก ขบกรามแน่น อยากฉีกเนื้อเ้าเด็กนั่นออกเป็ชิ้นๆ
“เ้ามีชื่อแซ่ว่าอย่างไร แนะนำตัวด้วย” เฉินปั๋วเอ่ยถาม ด้านหลิวเวยเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี คนตระกูลิอยู่ที่นี่กันหมด ชัดแล้วว่าเฉินปั๋วเตรียมการไว้ล่วงหน้า ไม่รู้ว่ามีแผนการอันใด
“ผู้น้อยจากอำเภอไท่อัน นามว่าิหยวน คารวะฝู่จวินขอรับ”
“เ้าคือผู้ฟ้องร้องทั้งสามคดีนี้ใช่หรือไม่?”
“เรียนฝู่จวิน เป็ผู้น้อยเองขอรับ”
“ทั้งสามคดีเลยอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ขอรับ”
“เ้า้าฟ้องร้องผู้ใด?”
ิหยวนโน้มศีรษะลง “คดีแรกผู้น้อย้าฟ้องร้องหลิวเปียวจากอำเภอเดียวกัน ข้อหาทำร้ายผู้อื่นและทำลายทรัพย์สินผู้อื่นเสียหายเพราะความแค้นส่วนตัว ทำลายบ้านเรือนของชาวบ้านทั้งหมดยี่สิบครัวเรือน ขี่ม้าชนบิดาของผู้น้อยจนาเ็สาหัส แม้ไม่ถึงแก่ชีวิต ทว่าเจ็บหนักจนไม่สามารถลุกจากเตียงได้ ชาวบ้านต้องใช้เงินทั้งหมดที่มีซ่อมแซมบ้านเรือนจนสิ้นเนื้อประดาตัว จึงต้องจำใจขายบุตรชายบุตรสาวจนต้องบ้านแตกสาแหรกขาด”
หลิวเวยเลิกคิ้วหมายจะยกมือคัดค้าน แต่ถูกเฉินปั๋วยั้งไว้ก่อน “แล้วคดีที่สองเล่า?”
“คดีที่สอง ผู้น้อยเป็ผู้แทนของหลี่โก่วเอ๋อร์และจางจู้จือในการฟ้องร้องพ่อค้าทาสนามว่าจางอู่ ในข้อหาทรมานเด็กสองคนจนตาย”
“คดีที่สาม ฟ้องร้องนายอำเภอซานหยางนามว่าเจิ้งก่วงอี้ ไม่ไต่สวนอย่างเท่าเทียมและไม่โปร่งใส ทั้งๆ ที่คดีนี้เกี่ยวข้องกับครอบครัวผู้น้อยโดยตรง แต่กลับไม่เคยถูกเรียกตัวไปไต่สวนเลยสักครั้ง ทว่ากลับเปิดโอกาสให้ตระกูลหลิวยกเื่ความบาดหมางครั้งเก่ากับวัดก่วงจี้มาทำให้ผู้คนเกิดความสับสน”
หลังิหยวนกล่าวจบ ทุกคนในศาลถึงกับหน้าถอดสี ยกเว้นโหวอิงและเฉินปั๋วที่แอบพอใจ
แต่จู่ๆ เฉินปั๋วก็ตีหน้าขรึมเอ่ยไล่เลียงต่อ “เ้ายังอายุไม่เท่าไร ศึกษาตำราไปไม่กี่เล่ม ยังเป็เพียงเด็ก กล้าดีอย่างไรมาพูดจาอวดดีในโถงตัดสินคดี ผู้าุโของเ้าอยู่ที่ใด ไยถึงปล่อยให้เด็กอย่างเ้ามาออกหน้า! หลิวเปียวทำลายบ้านเรือนของชาวบ้านไปตั้งยี่สิบครัวเรือน ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านหายไปที่ใดหมด ไยถึงปล่อยให้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเ้ามาฟ้องร้องแทน! สองครอบครัวที่สูญเสียบุตร บิดามารดาก็อยู่ที่นี่ เ้าจะเป็ตัวแทนฟ้องร้องได้อย่างไร? ทั้งยังกล้าวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเ้าหน้าที่อีก เ้ากินดีหมีหัวใจเสือมาหรืออย่างไรถึงได้กล้าขนาดนี้!”
เฉินปั๋วเป็ขุนนางมาหลายปี วันนี้เขาเป็ผู้มีอำนาจที่สุดในเมืองนี้ ท่าทางโมโหจนถึงขีดสุดของเขา ทำให้ทุกคนในที่นั้นใ ทว่าิหยวนที่กำลังคุกเข่า กลับยังมีใบหน้าเรียบเฉยและเอ่ยตอบอย่างใจเย็น “ฝู่จวินโปรดระงับโทสะ ผู้น้อยปีนี้อายุสิบสองแล้วขอรับ พอมีความรู้อยู่บ้าง แต่ความรู้ที่มียังไม่สูงเท่าใดนัก ยี่สิบปีเข้ารับตำแหน่งขุนนางได้ ผู้น้อยอายุสิบสองเพียง้าเป็ผู้แทนฟ้องร้องแทนคนในหมู่บ้าน เหตุใดถึงจะเป็ไปไม่ได้?”
ิหยวนหยิบกระดาษแผ่นบางที่มีลายนิ้วมือแสดงความยินยอมออกมาจากแขนเสื้อ “กฎหมายไม่ได้กำหนดอายุผู้ฟ้องร้อง ส่วนกระดาษแผ่นนี้เป็คำให้การและหนังสือมอบอำนาจจากเ้าของบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายทั้งหมดยี่สิบเอ็ดครัวเรือน พวกเขายินยอมให้ผู้น้อยเป็ผู้ฟ้องร้องแทน หากใต้เท้าไม่เชื่อก็เรียกตัวพวกเขามาถามได้”
“ในส่วนของคดีที่สอง ท่านลุงหลี่และท่านลุงจางอยู่ที่นี่แล้ว ใต้เท้าถามพวกเขาด้วยตนเองได้ ว่าพวกเขายินยอมให้ผู้น้อยเป็ตัวแทนหรือไม่”
คนงานทั้งสองนามว่าหลี่โก่วเอ๋อร์และจางจู้จือ ถูกเ้าหน้าที่พาตัวเข้ามาในฐานะตัวแทนของเหล่าชาวนา เห็นพวกเขาคุกเข่าตัวสั่นเทาอยู่ตรงหน้า เฉินปั๋วก็พลันเลิกคิ้วมอง คนงานทั้งสองไม่เคยเข้าพบขุนนางยศใหญ่มาก่อน ย่อมไม่รู้วิธีปฏิบัติตัว เหตุการณ์ทะเลาะวิวาทก่อนหน้านี้ ทั้งสองยังยังส่งเสียงโหวกเหวกอยู่เลย ตอนนี้กลับมีท่าทีหวาดกลัวตัวสั่นพูดไม่ออก เฉินปั๋วได้แต่ถอนหายใจ “หลี่โก่วเอ๋อร์และจางจู้จือใช่หรือไม่?”
“ขอรับ ขอรับ”
“บุตรของพวกเ้าถูกจางอู่ทุบตีจนตายใช่หรือไม่?”
“ใช่ขอรับ!” เขาตอบเสียงแ่ทว่าหนักแน่น ตอบเสร็จชายทั้งสองก็นึกถึงความเ็ปที่ต้องสูญเสียบุตรไปตลอดกาลจึงเริ่มสะอื้นไห้ “ใต้เท้าโปรดให้ความเป็ธรรมแก่เราด้วย!”
“เอาล่ะ พวกเ้าหยุดร้องไห้ก่อน เด็กที่มีนามว่าิหยวนคนนี้ พวกเ้ารู้จักหรือไม่?”
“หยวนเก้อเอ๋อร์! รู้จักขอรับ! รู้จักขอรับ!”
“เขาบอกว่า้าฟ้องร้องแทนพวกเ้า พวกเ้ายินยอมหรือไม่?”
ิหยวนเป็คนเดียวในหมู่บ้านที่อ่านออกเขียนได้ ความเป็อยู่ทางบ้านดีกว่าคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน ทั้งยังเป็คนให้จางจู้จือยืมเงินไปไถ่ตัวลูก แม้ยังเป็เด็ก ทว่าเป็เด็กที่คนในหมู่บ้านพึ่งพาได้ แม้แต่หลี่โก่วเอ๋อร์และจางจู้จือที่กำลังหวาดกลัวจนตัวสั่นในยามนี้ พอเห็นิหยวนยังรีบขยับเข่าเข้าไปใกล้ ทำราวกับเห็นเขาเป็พื้นที่ปลอดภัย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องตอบคำถามเฉินปั๋ว “พวกเรายินยอม! ยินยอมขอรับ!”
“เอาล่ะ พวกเ้ากลับมาคุกเข่าอยู่ที่เดิมก่อน”
ิหยวนส่งสายตาให้พวกเขาแล้วเอ่ยต่อ “เดิมทีเ้าเมืองก็เปรียบเสมือนบิดามารดาของชาวเมือง เหตุไฉนพอชาวเมืองวิจารณ์การทำงานของเ้าหน้าที่ถึงเป็การไม่เคารพ คนตระกูลใหญ่รังแกชาวบ้านฐานะต่ำต้อยเหมือนผักเหมือนปลา บ้านแตกสาแหรกขาด ถูกกระทำย่ำยี ซ้ำยังต้องทนทุกข์ที่ไม่ได้รับความยุติธรรม”
“ไท่สื่อกง [2] กล่าวว่า เจ็บป่วยกายใจให้นึกถึงบิดามารดา ฉะนั้นเมื่อคนเราพบเจอความทุกข์ยาก ย่อมต้องหันหน้าหาที่พึ่งพิง ในเมื่อชาวบ้านอัดอั้นตันใจ แต่ไม่อาจทวงคืนความยุติธรรมด้วยตนเอง อับจนหนทางจึงต้องมาฟ้องร้องขอให้เ้าเมืองบรรเทาทุกข์ คนเบื้องบนสายตากว้างไกล พบเห็นคนตกทุกข์ได้ยาก ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ หวังว่าฝู่จวินผู้เป็ใหญ่ในเมืองนี้จะเข้าใจความทุกข์ยากของชาวบ้านต้อยต่ำ ให้ความยุติธรรมแก่ชาวเมืองของท่าน”
“ส่วนเื่ผู้าุโของผู้น้อยนั้น บิดาาเ็สาหัสไม่อาจลุกจากเตียง ไม่รู้จะกลับมาเป็ปกติเมื่อใด มารดาเป็เพียงชาวนาความรู้น้อย อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ผู้น้อยไม่มีทางเลือกจึงต้อง...”
เขาหยุดเพราะมีเสียงคนผู้หนึ่งแทรกขึ้น เป็เสียงทุ้มต่ำที่แฝงด้วยความอบอุ่นของโหวอิง “ฝู่จวิน เ้าเด็กอวดดีผู้นี้หาได้ไร้ผู้าุโ ข้าไร้ความสามารถ ปล่อยให้ศิษย์ของตนมาสร้างความวุ่นวายในศาลยุติธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ละอายใจยิ่งนัก
“หืม? เขาหรือ?”
“เขาเป็ศิษย์ใกล้ชิด [3] ของข้า พึ่งเริ่มศึกษาเล่าเรียน ความรู้ที่มียังไม่นับว่ามาก ทว่าความกล้าหาญนั้นมีไม่น้อย”
ศิษย์ใกล้ชิด? ิหยวนพูดไม่ออก ทั้งใและดีใจไปพร้อมๆ กัน ก่อนจะดึงสติกลับมารีบไปคุกเข่าลงตรงหน้าโหวอิง ก้มหัวคำนับสามครั้ง “ศิษย์ิหยวนคารวะท่านอาจารย์”
เฉินปั๋วคลำหัวไม่เจอสมอง [4] “เกิดอันใดขึ้น? นี่โถงตัดสินคดีกลายเป็สถานที่รับศิษย์ไปแล้วหรือ?”
“ฮะๆ ไม่กล้ารบกวน” โหวอิงพยักหน้าให้ิหยวนเป็เชิงบอกลุกขึ้นและกลับไปประจำที่ ก่อนจะหันไปก้มศีรษะเล็กน้อยให้เฉินปั๋วเป็มารยาท “อันที่จริงข้ารับเด็กคนนี้เป็ศิษย์มาตั้งนานแล้ว เพียงบังเอิญพึ่งได้ทำพิธีคารวะต่อหน้าฝู่จวิน”
“เช่นนั้นข้าต้องเป็ผู้ฝากฝังศิษย์หรืออาจารย์ที่ปรึกษา?” เฉินปั๋วลูบเคราพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ช่างเป็เหตุการณ์เล็กๆ ที่น่าจดจำ การรับลูกศิษย์ในศาลนับเป็เื่ราวดีๆ อีกเื่หนึ่ง
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ชายชราหาปลา (渔父) หมายถึง ผู้ที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย อยู่กับความเงียบสงบผ่อนคลาย
[2] ไท่สื่อกง (太史公) คือ นักบันทึกประวัติศาสตร์ในสมัยฮั่นตะวันตก
[3] ศิษย์ใกล้ชิด (入室弟子) หมายถึง ลูกศิษย์ที่อาจารย์ให้การสั่งสอนใกล้ชิด เคร่งครัดเข้มงวดกว่าศิษย์ทั่วไป และต้องทำพิธีคารวะอาจารย์ ซึ่งหมายถึงการนับถืออาจารย์เสมือนบิดา ศิษย์คนนั้นจะต้องเคารพและกตัญญูต่ออาจารย์เช่นเดียวกับบิดาผู้ให้กำเนิด ศิษย์คนนั้นจะกลายเป็เหมือนคนในครอบครัวของอาจารย์
[4] คลำหัวไม่เจอสมอง (摸不着头脑) หมายถึง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ทัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้