ตะวันเริ่มคล้อยต่ำลง
ไม่นานก็คงลับขอบฟ้า
แสงตะวันยามเย็นอาบไล้ท้องทุ่งแห่งนี้ให้กลายเป็สีทอง
งดงามเกินบรรยาย
อาลู่ทำงานไม่หยุดตลอดวัน เมื่อได้เอนหลังพิงเสาไม้ เสียงลมหายใจกระชั้นหอบเหนื่อยก็แว่วมา ส่วนเฉินโย่วน้อยที่เอาแต่กลิ้งไปมาตลอดบ่ายก็เหนื่อยจนหอบพิงอยู่ข้างพี่ชายเช่นกัน
ปรากฏเป็ภาพเงาหนึ่งใหญ่เงาหนึ่งเล็กกำลังหันหน้ามองดวงอาทิตย์ที่ลับไปจนเหลือเพียงครึ่ง
ตอนเหล่าปาเดินมาก็เห็นภาพเด็กทั้งสองกำลังนั่งเคียงกันมองอาทิตย์ตกดิน
ชั่วขณะหนึ่ง เขาคิดว่าตัวเองคงกำลังเห็นภาพลวงตาอีกแล้ว
“หากพระอาทิตย์ตกดินแล้ว ที่นี่จะหนาวมาก พวกเ้ารีบกลับกระท่อมเสีย แล้วพรุ่งนี้ก็เดินมาทำงานที่นี่เอง”
ไม่ไกลกันนัก เสียงเหล่าปาออกคำสั่งก็ดังขึ้น
ระหว่างทางก็โยนหมั่นโถวลูกดำๆ ให้เด็กหนุ่มอีกชิ้น
หากนับรวมของเมื่อกลางวันที่ชายหนุ่มเพิ่งให้มา ก็เท่ากับมีหมั่นโถวแข็งๆ สองลูก กับแบบนิ่มอีกครึ่งหนึ่ง
ทันใดในใจเด็กหนุ่มพลันเริงร่า
เหล่านกน้อยบินกลับรัง ฝูงม้าเดินกลับคอก อาลู่เองก็แบกน้องสาวตัวน้อยเดินกลับกระท่อมไม้ของตนเช่นกัน
กระท่อมน้อยเดียวดายกลางูเากระดูก ทว่าในสายตาอาลู่นั้นที่นี่ช่างอบอุ่นกว่าที่ใด แสงสุดท้ายแห่งทิวาสาดระบายกระท่อมน้อย งดงามเสียจนทำให้ที่รู้สึกว่าที่นี่คือบ้าน
เด็กหนุ่มเพิ่งจะย่างเข้าประตู ก็รู้สึกว่าแผ่นฟ้าเื้ัพลันเปลี่ยนเป็มืดลง
เมื่อเข้ามาในกระท่อมอาลู่ก็จัดการก่อไฟก่อนเป็อันดับแรก วันนี้ตอนทำงาน เขาเก็บหญ้าแห้งมาได้ไม่น้อย น่าจะพอให้ปูเตียงเล็กๆ ได้สักเตียงหนึ่ง
โชคดีนักที่ทารกน้อยพลิกตัวเป็แล้ว นางจะได้พลิกตัวเล่นบนเตียงนี้ได้
ต่อมาอาลู่จึงลงมือทำน้ำแกงหมั่นโถวต่อ แต่วันนี้ใส่น้ำหญ้าเสียนเฉ่าลงไปเพิ่มรสชาติน้ำแกงให้ดีขึ้น
อาลู่พบว่าบนูเาลูกนี้มีหญ้าเสียนเฉ่ามากมาย
ไฟลุกโชนไปไม่นาน น้ำแกงหมั่นโถวในหม้อก็ใกล้จะได้ที่แล้ว อาลู่ยังรู้งานใส่หญ้าไป๋เฉ่าปรุงรสเพิ่ม จนน้ำแกงหม้อใหญ่ก็เสร็จสมบูรณ์
อาลู่ยังคงป้อนให้น้องสาวกินก่อนดังเดิม
คราวนี้ทารกน้อยไม่เบือนหน้าหนีเหมือนครั้งก่อน น่าจะเป็เพราะกลิ้งไปกลิ้งมาตลอดบ่ายจนเหนื่อย ทารกน้อยและพี่ชายของตนผลัดกันกินอาหารคนละคำ ดูแล้วอบอุ่นไม่น้อย
เฉินโย่วน้อยกินไปสักครู่ก็ไม่ยอมกินต่อเสียแล้ว
อาลู่กินต่อไปจนถึงครึ่งหม้อ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองอิ่มไปเจ็ดแปดส่วนก็กินอีกครึ่งหม้อที่เหลือไม่ลง ก็เตรียมเก็บไว้กินต่อในวันพรุ่งนี้
เมื่อกินเสร็จอาลู่ก็เพิ่มฟืนในเตา จากนั้นจึงเริ่มอุดรอยรั้วในกระท่อม ไม่ให้ลมพัดเข้ามาได้ เพียงครู่เดียวก็รู้สึกว่าห้องอุ่นขึ้นทันตา
เด็กหนุ่มหยิบเ้าวงกลมที่ทารกน้อยเจอเมื่อตอนกลางวันขึ้นมา แล้วใช้หญ้าแห้งขัดอย่างตั้งใจ เมื่อขัดสะอาดแล้วก็พบว่าเ้าก้อนโลหะนี้จริงๆ แล้วก็ดูสวยดี ้ายังมีลายนกตัวใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง แม้มันจะยังดูดำๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีคราบสนิมแล้ว มันดูไม่น่าจะใช่แหวน หากเป็แหวนตรงกลางน่าจะต้องกว้างแล้วก็ต้องใหญ่กว่านี้เสียหน่อย เด็กหนุ่มจึงลองยกมันขึ้นมาเป่าดู มันก็ส่งเสียงแว่วๆ
อาลู่จึงหาเชือกเส้นหนึ่งมาร้อยเ้าวงกลมนี้เข้ากับเชือก แล้วห้อยคอไว้
ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะเก่งกาจเพียงไหน ถึงอย่างไรก็ยังเป็เพียงเด็กวัยสิบกว่าปีที่เพิ่งจะมีเครื่องประดับชิ้นแรกเป็ของตัวเอง ย่อมต้องดีใจเป็ธรรมดา เด็กหนุ่มจึงเพ่งพินิจเ้าสิ่งนี้เสียหลายหน
ตอนอุ้มทารกน้อยอยู่ นางก็จับสร้อยของเขา ราวกับว่ามันน่าพอใจเหลือเกิน
พี่ชายและน้องสาวเล่นกันสักพัก หนังตาก็เริ่มหย่อนเสียแล้ว
เด็กหนุ่มที่ตาปรือไปกว่าครึ่งยังคงอุ้มทารกน้อยไว้อ้อมแขน แล้วลูบศีรษะเบาๆ กล่อมนางให้นอนหลับ ไม่นานนักลมหายใจของทารกน้อยก็เปลี่ยนเป็สม่ำเสมอ
อาลู่เองก็เช่นกัน มือที่ลูบศีรษะให้ทารกอยู่นั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็ช้าลง
ภายในกระท่อมน้อยนี้ สิ่งเดียวที่ยังเคลื่อนไหวก็คงจะมีเพียงเปลวไฟที่ไหวระริกอยู่ในเตา
แสงไฟสาดสว่าง
ณ พระราชวังแสนไกล
วันนี้เป็วันสำคัญหลังการสถาปนาใหม่
ทั้งแคว้นต่างร่วมกันเฉลิมฉลอง
ฮูหยินที่ตำแหน่งสูงกว่าขั้นห้าต่างก็เข้าวังมาร่วมแสดงความยินดี
ถนนสายใหญ่ในพระราชวังสะท้อนแสงวาววับหลากสีจากปิ่นทองระย้ามุกเ่าั้
“ข้าได้ยินมาว่าจ้าวฮองเฮาจริงๆ แล้วเป็แค่ลูกพ่อค้าในตลาดเท่านั้น” ฮูหยินเ้ากรมโยธาเอ่ย ฮูหยินหลิวที่แต่ไหนแต่ไรก็ชอบนินทาไปเรื่อย เมื่อเดินเบียดเสียดไปกับฝูงชนบนเส้นทางที่ทอดยาวไม่รู้จบนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปไปคุยกับสตรีข้างๆ
คนที่ยืนใกล้นางที่สุดเห็นจะเป็ฮูหยินเ้ากรมพิธีการ
คนฝั่งกรมพิธีการโดยปกติก็พิถีพิถันระมัดระวังตัวอย่างยิ่ง ต่างจากคนฝั่งกรมโยธาที่ดูจะตรงไปตรงมา
ฮูหยินหวังเมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ต่อความ แต่เปลี่ยนไปพูดอีกเื่แทน “อีกประเดี๋ยวพวกเราก็จะได้พบกับองค์หญิงน้อยแล้ว ข้าเองก็ได้ยินเขาร่ำลือกันว่านางคือเทพธิดาลงมาจุติ หากได้อุ้มองค์หญิงสักครั้งละก็ เกรงว่าข้าจะได้รับโชคไปด้วยเป็แน่”
“แต่ข้าได้ยินมาว่าองค์หญิงใหญ่ต่างหากจึงจะเป็...”
“ฮูหยินหลิว โปรดระวังคำพูดด้วย” ฮูหยินหวังเห็นฮูหยินหลิวยังไม่มีทีท่าจะหยุดพูดก็กลัวว่าตนจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย จึงรีบหยุดคำพูดของนางเสีย จากนั้นจึงรีบออกเดินต่อ แทบอยากจะหนีไปให้ไกลจากฮูหยินหลิวที่สุด
ผ่านไปไม่นาน แคว้นเชินก็เปลี่ยนเ้านายใหม่เสียแล้ว
องค์หญิงใหญ่จมลึกสู่ก้นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์เสียแล้ว
ลือกันว่าตระกูลของฮองเฮาสมคบคิดกับข้าศึกทรยศแคว้น บัดนี้ทั้งตระกูลจึงโดนเนรเทศให้บ้านแตกสาแหรกขาด
ส่วนฮองเฮาก็ว่ากันว่าเสียสติไปแล้ว บัดนี้จึงถูกคุมขังเอาไว้
ตำหนักซีเหอที่เคยรุ่งโรจน์ บัดนี้เหลือเพียงต้นอู๋ถงที่ร่วงโรย กับหญิงเสียสตินางหนึ่ง
ฮูหยินหวังที่เร่งออกเดินไม่ยั้งฝีเท้านั้น ในที่สุดก็สลัดฮูหยินหลิวไว้ด้านหลังสำเร็จ
สามีของนางคือเ้ากรมพิธีการ นางมิใช่เพิ่งเข้าร่วมพิธีการในวังเป็ครั้งแรก ครั้งพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ฮองเฮาองค์ก่อน นางเองก็มาร่วมพิธีเช่นกัน
ครั้งนี้คือครั้งที่สอง
จ้าวเฟยหลังได้รับการสถาปนาเป็ฮองเฮาก็ไม่ได้ย้ายจากไปไหน เพียงทุบกำแพงสองวังออกให้เชื่อมถึงกัน และมีพื้นที่มากขึ้นเท่านั้น
ฮูหยินหวังเมื่อเดินไปจนเข้าใกล้ตำหนักซีเหอ ก็มีอาการเช่นเดียวกันกับฮูหยินคนอื่น ล้วนตื่นตะลึงอยู่หน้าประตู
ด้านในคือจ้าวเฟย สตรีแน่งน้อยอรชรกำลังอุ้มทารกน้อยที่งดงามราวกับหยกสลัก นางกำลังยืนให้อาหารนกอยู่ เ้านกนั้นสูงราวห้าฉื่อ มีขนสีสดถึงเจ็ดสีดูแล้วงดงามเหนือเครื่องประดับบนศีรษะของเหล่าฮูหยินเสียอีก
“นี่คือหงส์หรือ” ฮูหยินหวังได้ยินสตรีข้างตนถามเสียงเบา
นางพยักหน้าตอบ
“ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ต้องเป็นกวิเศษเป็แน่”
จ้าวฮองเฮาหันมามองด้วยใบหน้ายิ้มน้อยๆ แฝงด้วยแววตาอ่อนโยน เหล่าฮูหยินที่ยืนอยู่เห็นดังนั้น ในใจก็บังเกิดความรู้สึกว่าคำว่าสมบูรณ์แบบนั้น ยังไม่เพียงพอจะบรรยายสตรีตรงหน้าได้
เหล่าฮูหยินจึงพากันคุกเข่าลงตามกัน
ฮองเฮาน้อยเห็นดังนั้นก็พลันใ ใบหน้าระเรื่อซับสีเื แล้วเปล่งเสียงอ่อนโยน “ลุกขึ้นเถิด”
เหล่าฮูหยินเมื่อเห็นท่าทีเขินอายของนาง ก็ลอบประเมินฝ่ายตรงข้ามเงียบๆ ที่แท้ก็เป็สตรีจากครอบครัวสามัญนางหนึ่ง ทว่าเมื่อเห็นทารกน้อยหน้าตาหมดจดในอ้อมกอด ซึ่งเพิ่งถือกำเนิดได้ไม่นานก็เปี่ยมล้นด้วยสติปัญญา ถึงกระนั้นก็อดทอดถอนใจไม่ได้จริงๆ ใครใช้ให้มารดาเ้าเป็นางกันเล่า
“ฮ่าๆ...”
ฮ่องเต้สรวลเสียงดังก่อนจะหมุนกายมา
แล้วจึงก้าวยาวมายืนอยู่ด้านหลังฮองเฮาน้อย ก่อนจะยื่นพระหัตถ์มารับทารกน้อยเข้าไปในอ้อมแขน เสสรวลพลางตรัส “เ้าควรจะพูดว่ายืนขึ้นได้ เ้าคือฮองเฮาของข้า เ้ารับมือไหวอยู่แล้ว”
ฮองเฮาน้อยพลันทำอะไรไม่ถูก ดวงหน้าน้อยเปลี่ยนเป็สีแดง ได้แต่เงยหน้ามองพระพักตร์ของฮ่องเต้ ทว่าก็มิได้รู้สึกกลัวเกรงอะไร แล้วพยักหน้าแรงๆ ตอบ “อาจ้าวเข้าใจแล้ว”
ณ ตำหนักซีเหอที่อยู่ไม่ไกล
ใต้ต้นอู๋ถงที่ร่วงโรยนั้นมีสตรีวิปลาสนางหนึ่งกำลังยืนฟังเสียงหัวเราะครื้นเครง ในอ้อมอกยังกอดหุ่นกระบอกแล้วโยกกายไปมา ใบหน้าประดับรอยยิ้มโง่งม
ณ ูเากระดูกแสนไกล
บนกองหญ้าแห้ง ยังมีทารกหญิงตัวน้อยกำลังซุกอยู่ในอ้อมอกเด็กหนุ่ม หลับใหลฝันหวานอยู่ข้างกัน