เจียงหงหย่วนใช้เวลาหยุดเืกำเดาอยู่นาน แต่เสียเื่แล้ว ประตูห้องถูกลงกลอนเสียแล้ว
อยากเคาะประตูแต่ก็ต้องดึงมือกลับ ช่างเถิด ไปนอนห้องข้างๆ ก็ได้
แต่น่าเสียดาย นอนบนเตียงแล้วในหัวมีแต่สีสันของชุดชั้นในกับหิมะสีขาวโพลน
ร้อนรุ่นจนพลิกตัวไปมาก็ยังนอนไม่หลับ
ได้แต่อาศัยมือขวาสารพัดประโยชน์ คงไม่มีผู้ใดลุกมาซักผ้าปูที่นอนกลางดึกแบบเขาอีกแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น เจียงหงหย่วนออกจากบ้านด้วยขอบตาดำคล้ำ เขาต้องกลับหมู่บ้าน
แต่ก็เพราะขายหน้าด้วยเช่นกัน ตอนเขาออกจากบ้าน ยายสวีเพิ่งกวาดลานเสร็จ ยังไม่ทำข้าวเช้า
ท่าทีของเขาน่ากลัว ยายสวีไม่กล้าถามกระไรมาก ได้แต่บอกหลินหวั่นชิวหลังจากตื่นนอน “เหล่าเหยียขอบตาคล้ำ ออกจากบ้านั้แ่เช้า ท่าทางดูเร่งรีบเ้าค่ะ”
“อื้ม ข้ารู้แล้ว” หลินหวั่นชิวตอบเรียบๆ ทว่าในใจกำลังหัวเราะ เมื่อคืนมีคนหลับไม่สบายเป็แน่ ต่างจากนางที่หลับสบายมาก ไม่ฝันตลอดคืน
หลินหวั่นชิวใกับความสามารถในการแบกรับความรู้สึกของตัวเอง ผ่านมาแค่ไม่กี่วันนางก็เดินออกจากเงามืดที่ฆ่าคนได้แล้ว
แต่แน่นอน นางรู้เช่นกันว่าที่ตัวเองหลับสนิทเพราะตอนนี้นางนอนในห้องของเจียงหงหย่วน ในห้องมีกลิ่นของชายฉกรรจ์อยู่ นางถึงสบายใจ
ขณะที่กินข้าว นางให้ยายสวีไปเรียกรถม้า รถม้ามาแล้วก็ให้ยายสวีช่วยขนสัมภาระของเจียงหงป๋อ มองสัมภาระที่กองเต็มครึ่งคันรถ เจียงหงป๋อเริ่มตาแดง
เขาเงยหน้ามองฟ้า ผ่านไปสักพักจึงกลับมาเป็ปกติ
“พี่สะใภ้ ข้าไปแล้ว มีเวลาจะกลับมาเยี่ยมท่าน” เจียงหงป๋อโบกมือลาหลินหวั่นชิวก่อนขึ้นรถ
หลินหวั่นชิวเข้าไปกอดเขา ตบไหล่เขาว่า “ตั้งใจศึกษาและพักผ่อนให้สมดุลกัน เ้าเพิ่งหายดีได้ไม่นาน ต้องให้ความสำคัญกับสุขภาพตัวเองเป็อันดับหนึ่ง พี่สะใภ้อยากมีน้องชายที่แข็งแรงทั้งกายและใจ นี่เป็สิ่งสำคัญที่สุด”
เจียงหงป๋อตัวแข็งทื่อ จากนั้นยกมือโอบเอวหลินหวั่นชิว หลับตาจำััใน่เวลานี้ให้ดี จำกลิ่นของหลินหวั่นชิว
“จำได้แล้วใช่หรือไม่?” หลินหวั่นชิวถาม
“จำได้แล้วขอรับ!” เจียงหงป๋อตอบแบบสองความหมาย
หลินหวั่นชิวปล่อยเขา อยากยกมือยีหัวแต่กลัวทำมวยผมของเขายุ่ง เปลี่ยนไปตบไหล่แทน
“บนรถม้ามีกล่องไม้เถาอยู่ ด้านในมีเงินห้าร้อยอีแปะกับอีกยี่สิบตำลึง อย่าประหยัดกับตัวเองเด็ดขาด ถ้าอาจารย์เ้าจะเก็บค่าเล่าเรียนก็ส่งคนมาบอก ข้าจะให้คนส่งไปให้”
“ขอรับ พี่สะใภ้ ข้าต้องไปแล้ว ไม่ได้ไปที่ใดไกล ท่านไม่ต้องมาส่ง” เจียงหงป๋อพูดจบก็ขึ้นรถม้า บอกให้คนขับรีบไป
มาถึงบ้านหมอฉู่ คนเฝ้าประตูรู้ว่าเจียงหงป๋อเป็ศิษย์ก้นสำนักของหมอฉู่ก็ช่วยขนของอย่างกระตือรือร้น ทั้งยังบอกให้บ่าวใช้คนอื่นๆ ช่วยขนของไปที่ห้องด้วย
บ้านหมอฉู่เป็คฤหาสน์แบบสองลานเช่นกัน แต่คฤหาสน์ของเขาใหญ่กว่าที่เจียงหงหย่วนกับหลินหวั่นชิวเช่าหนึ่งเท่าตัว ห้องปีกข้างซ้ายขวากลายเป็เรือนตะวันออกตะวันตก
คฤหาสน์หลังใหญ่เช่นนี้มีหมอฉู่เป็เ้าของแค่คนเดียว แต่ตอนนี้เจียงหงป๋อกลายเป็เ้าของครึ่งหนึ่งไปด้วย
“เรียบร้อยหรือไม่?” เจียงหงป๋อถูกจัดให้พักในเรือนฝั่งตะวันตก พ่อบ้านหาเด็กสาวอายุสิบสองสิบสามมาเป็บ่าวใช้ดูแลกิจวัตรประจำวันให้เขา แต่เขาปฏิเสธ พ่อบ้านบอกว่าเป็คำสั่งของหมอฉู่ เขาจะได้จดจ่อกับการศึกษาวิชาแพทย์ ไม่ต้องเสียเวลากับเื่ไม่จำเป็
เจียงหงป๋อจึงไม่พูดกระไรอีก
“เรียบร้อยแล้วขอรับ ท่านอาจารย์ ข้าต้องจ่ายค่าเล่าเรียนและค่ากินอยู่ด้วยหรือไม่?” เจียงหงป๋อถาม เขาจำคำของหลินหวั่นชิวได้
หมอฉู่ตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “เข้าสำนักหุบเขาแพทย์พิษถือว่าเป็คนของหุบเขาแพทย์พิษ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างของเ้ามีสำนักช่วยออก แต่แน่นอนว่าเมื่อเ้าเติบใหญ่แล้วต้องแบกรับหน้าที่ของหุบเขาแพทย์พิษเช่นกัน”
“ขอรับ ท่านอาจารย์!” เจียงหงป๋อทำความเคารพ
หมอฉู่อวี๋โยนตำราเล่มบางให้เขาหนึ่งเล่ม “ให้เวลาเ้าท่องหนึ่งวัน ท่องเสร็จแล้วเผาทิ้งเสีย”
เจียงหงป๋อมองตำราในมือ เป็ตำราเล่มใหม่ หน้าปกเขียนคำว่า ‘อบรมสั่งสอน’
หมอฉู่รู้ว่าเขาสงสัยก็ช่วยอธิบาย “อาจารย์เพิ่งเขียนขึ้นเมื่อวาน วันหน้าเ้ารับศิษย์ก็ต้องทำเช่นเดียวกัน”
เจียงหงป๋อพยักหน้า
“ท่านอาจารย์ มีวันหยุดหรือไม่ขอรับ?” เจียงหงป๋อถามต่อ
หมอฉู่ยิ้มเยาะ “ไม่มี! ถ้าอยากเป็อิสระก็รีบร่ำเรียนให้สำเร็จ จบการฝึกฝนแล้วจะจัดการเวลาอย่างไรก็ย่อมได้” จบการฝึกฝน? กว่าอาจารย์ของเขาจะจบการฝึกฝนก็สี่สิบปี และตัวเขาเองก็ไม่ถือว่าจบการฝึกฝน แค่อาจารย์ตายไปก่อนก็เท่านั้น!
มือที่จับตำราของเจียงหงป๋อบีบแน่น ริมฝีปากเม้มแน่นเช่นกัน
ทำเอาหมอฉู่รู้สึกไม่ดี อย่างกับว่าเขารังแกเด็กอย่างนั้นแหละ
เขาไม่ใช่คนเช่นนั้นนะ!
“ก็ได้ๆ ขอเพียงเ้าทำผลงานได้ดี เรียนรู้ไว ข้าจะให้วันหยุด!”
เมฆดำบนใบหน้าเจียงหงป๋อจางหายไปทันทีที่ได้ยินดังนั้น “ขอบคุณท่านอาจารย์! ศิษย์ขอตัว!”
หลังเขาออกไป หมอฉู่รู้สึกว่ามีกระไรแปลกๆ เ้าเด็กนี้กินยาพิษได้แบบหน้าไม่เปลี่ยนสี ไม่ควรเผยอารมณ์ของตัวเองออกมาเพียงเพราะได้ยินว่ากลับบ้านไม่ได้สิ!
มารดามันเถิด เขาโดนเด็กนี่หลอกแล้ว!
หมอฉู่ที่เดาความจริงได้รู้สึกไม่พอใจมาก เดินฟืดฟาดไปศึกษาแผนภาพที่หลินหวั่นชิวให้มา
ช่างเป็สมบัติโดยแท้ วาดโครงสร้างร่างกายมนุษย์ออกมาได้ละเอียดขนาดนี้ เมื่อก่อนเขาเคยััศพคนมาไม่น้อย ผ่าชำแหละมาก็มากเช่นกันแต่ไม่เคยคิดจะวาดออกมา แต่แน่นอนว่าสาเหตุหลักเป็เพราะเขาทุ่มเทความพยายามไปกับการศึกษาวิชาแพทย์ ส่วนวิชาศิลปะ…เหอะ วาดออกมาก็เหมือนเขียนยันต์!
บ้านตระกูลเจียง
หลินหวั่นชิวไปดูที่หน้าร้าน เสี่ยวฮวากับเสี่ยวเฉ่ามีไหวพริบ พัฒนาขึ้นทุกวัน ตอนนี้ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีมาก
นางไม่จำเป็ต้องไปเฝ้าเอง แค่ทำบัญชีทุกวันเป็พอ
รายรับคงที่อยู่ที่วันละประมาณร้อยตำลึง หักต้นทุนออกก็ถือว่าไม่น้อย
หลินหวั่นชิวซื้อหนังสือภาพสำหรับเด็กเพิ่มจากเสียนอวี๋ เลือกนิทานที่คนยุคนี้ยอมรับได้ จากนั้นเปลี่ยนปกหน้าปกหลังที่มีข้อมูลการจัดพิมพ์ออกหมด ใส่ลงไปทำซ้ำบนเสียนอวี๋ เลือกกระดาษที่เหมาะสม สไตล์เป็แบบวาดด้วยมือและใช้อักษรจีนตัวเต็มดั้งเดิม
ต้นทุนในการทำซ้ำครั้งแรกสูงมาก เพราะต้องแก้ไขไปถึงรูปแบบอักษร
ใช้สำเนาที่ทำออกมาแล้วถูกกว่ามาก
สูตรอาหารนางต้องวาดด้วยตัวเอง เพราะมีเครื่องปรุงบางอย่างที่ยุคนี้ไม่มี อย่างเช่นผงชูรส
แต่หลินหวั่นชิวออกหนังสือภาพที่เกี่ยวกับการทำเครื่องปรุงต่างๆ โดยเฉพาะ หนึ่งในนั้นมีวิธีทำผงชูรสด้วยตัวเอง ผงไก่ปรุงรส ผงเห็ดหอม
เตรียมสินค้าใหม่เสร็จ หลินหวั่นชิวไม่ได้นำไปขายทันที แต่ออกจากบ้านไปซื้อกล่องมาสองสามใบ หาคนช่วยส่งกล่องพวกนี้มาที่บ้าน
หลบไปนำสินค้าใหม่จากช่องเก็บของบนเสียนอวี๋มาใส่ลงไป
นี่ก็คือวิธีลงสินค้าของนาง
หากปลอมก็ทำให้จริง หากจริงก็ทำให้ปลอม
จัดการสินค้าเสร็จ หลินหวั่นชิวเริ่มเขียนสัญญาร่วมเครือ
เื่นี้ง่ายมาก สะบัดพู่กันแค่ทีสองทีก็เสร็จแล้ว หลินหวั่นชิวอ่านดู รู้สึกว่าไม่มีกระไรตกหล่นก็โยนขึ้นไปทำซ้ำบนเสียนอวี๋สองชุด ให้คนส่งชุดหนึ่งไปให้ตู้ซิวจู๋ที่คฤหาสน์ตระกูลตู้ ในนั้นมีจดหมายอีกหนึ่งฉบับ นัดให้ตู้ซิวจู๋ไปพบที่โรงน้ำชาชิงเฟิงตอนสิ้นเดือน
