“พี่สะใภ้ ปีนี้ครอบครัวสกุลหูของพวกท่านเดินบนเส้นทางโชคดีที่ยิ่งใหญ่นัก นี่เพิ่งจะนานเท่าไรเอง พวกท่านก็ซื้อที่ดินสร้างบ้านอีกแล้ว” หวงซื่อคีบเนื้อพะโล้ป้อนเฉิงเกอเอ่อร์หลานชายคนเล็ก
“ก็ไม่ใช่เพราะเช่นนี้หรอกหรือ ที่ล้วนกล่าวกันว่ากระแสลมและน้ำไหลเวียนผ่าน [1] มิใช่ว่าปีนี้หมุนวนมาหาสกุลหูแล้วหรือ!” ฟู่เหรินที่กล่าวรูปร่างอิ่มเอิบและผิวขาวหมดจด เป็เจี่ยงซื่อภรรยาของหลิ่วฉางผิงนั่นเอง
หลิ่วฉางผิงกับสกุลหูเป็ญาติกันห่างออกไปอีกสองสามรุ่น แม้เป็หนึ่งในลูกพี่ลูกน้องฝ่ายมารดาห่างกันสามพันลี้ [2] แต่ถึงอย่างไรก็อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ย่อมใกล้ชิดมากกว่าชาวไร่ชาวนาคนอื่นๆ เป็ธรรมดา
“ต้องพึ่งพิงบุญวาสนาของทุกคนแล้ว ่นี้สกุลหูมีโชคดีอยู่บ้าง หาเงินได้เล็กน้อยจำนวนหนึ่ง เพราะมิใช่เป็เช่นนี้หรือถึงเชิญทุกท่านมาทานข้าวสังสรรค์เฮฮากัน ทุกคนทานกันมากๆ หน่อยนะ” หวังซื่อหัวเราะ
บนโต๊ะอาหารทุกคนพูดคุยเฮฮา ชื่นชมอาหารที่เอร็ดอร่อย ผ่านไปครู่ใหญ่ทุกคนทานกันจนอิ่มไปกว่าครึ่ง ความเร็วที่คีบกับข้าวเข้าปากจึงช้าลง
“เด็กชายผู้นี้ที่ชื่อยู่เซิงหน้าตาดีเกินไปแล้วจริงๆ!” เจี่ยงซื่อเท้าคางกล่าววิจารณ์ หลัวจิ่งนั่งอยู่เยื้องๆ ฝั่งตรงข้ามกับนาง พอนางเงยหน้าก็เห็นดวงหน้าที่สงบเงียบราวกับแกะสลักนั่นแล้ว “หากผ่านไปอีกสองสามปี เกรงว่าเด็กสาวในหมู่บ้านอยากจะเหยียบธรณีประตูบ้านเ้าจนชำรุดให้ได้เลย”
“ฮ่าๆ” หวงซื่อหัวเราะออกเสียง “เ้าแตงกวาแก่ผู้หนึ่งนี่แอบจ้องมองผู้อื่นเช่นนี้ ไม่เขินอายได้อย่างน่าตะลึงนัก”
“อ้าว ทุกคนล้วนอยากสวยอยากงามกันทั้งนั้น คนงามไม่อาจแบ่งชายหญิง ในพื้นที่เล็กทุกซอกหลืบของหมู่บ้านเรานี้ หาได้ยากที่จะมีชายหนุ่มรูปงาม จะไม่มองมากหน่อยได้อย่างไร” เจี่ยงซื่อหัวเราะ
“เ้านี่เป็สาวเป็นางที่ปากไม่มีหูรูด พวกเด็กๆ ล้วนฟังอยู่ อย่ากล่าวไร้สาระสุ่มสี่สุ่มห้า” หวังซื่อต่อว่าไม่จริงจังพร้อมรอยยิ้ม
หลังผ่านความสนุกครื้นเครงไปพักหนึ่ง หัวข้อจึงเคลื่อนย้ายออกจากตัวหลัวจิ่ง
“ซิ่วผิง ไป่ิบ้านเ้าไปโรงเรียนแล้วหรือ?” หวังซื่อถาม
จ้าวไป่ิเป็หลานชายคนโตของจ้าวเหวินเฉียง ฉลาดและก้าวหน้าั้แ่เด็ก อายุน้อยก็สอบบัณฑิตเด็กในอำเภอผ่านแล้ว ปัจจุบันนี้เป็บัณฑิตเด็กเต็มตัว และกำลังไปเรียนหนังสือที่หอสมุดไท่ผิงในเมือง
“ยังเลย แต่ก็ใกล้แล้ว พอผ่านวันที่สิบห้าก็ไปได้” เมื่อกล่าวถึงหลานชายคนโตขึ้นมา สีหน้าปีติยินดีของหวงซื่อก็กระจายขึ้นทันที “โรงเรียนมีบทเรียนที่หนัก ต้องไปเตรียมตัวทำล่วงหน้านิดหน่อย เฮ้อ อากาศหนาวเกินไปเช่นนี้ ปริมาณถ่านในโรงเรียนก็มีจำกัดอีก ตอนกลับบ้าน่ปลายปี มือของไป่ิล้วนเป็แผลเปื่อยเต็มไปหมดเพราะความเย็น”
“ไอ๊หยา ไม่มีชีวิตการเรียนที่ยากลำบากจะมีต้นร้ายปลายดีได้อย่างไร ไป่ิสกุลของเ้ามีวาสนานัก ได้รับความทุกข์ยากเล็กน้อยต่อไปก็จะมีโชคที่ยิ่งใหญ่ เ้าน่ะแค่รอเสวยสุขเถิด!” เจี่ยงซื่อหัวเราะแล้วสรรเสริญเยินยอ เป็ประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านวั้งหลินที่มีบัณฑิตเด็กที่อายุน้อยที่สุด ได้ไปเล่าเรียนยังหอสมุดที่ดีที่สุดในเมือง ผ่านไปอีกไม่นานอาจจะเปลี่ยนเป็ซิ่วฉายที่อายุน้อยที่สุด วางไว้อยู่ครอบครัวผู้ใดก็ล้วนเป็เื่น่ายินดีอย่างยิ่งใหญ่ จนควันแห่งความสุขผุดลอยขึ้นจากสุสานบรรพบุรุษเลยเชียว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็ครอบครัวของหัวหน้าหมู่บ้านอีกด้วย
“ดูเ้ากล่าว จะง่ายดายเพียงนั้นที่ไหนกัน บัณฑิตตั้งเท่าไรที่สอบกันจนหนวดเคราขาวแล้วก็ยังสอบให้สำเร็จไม่ได้” หวงซื่อถอนหายใจหนึ่งเสียง หลังจากนั้นบนใบหน้าก็ฉาบไปด้วยความปีติยินดีปรากฏออกมาอีกครั้ง และกล่าวต่อด้วยเสียงเบาและต่ำลง “ท่านอาจารย์จี้ของพวกเขากล่าวว่าไป่ิมีพร์ไม่เลว เล่าเรียนก็ขยันหมั่นเพียร ดังนั้นสนามสอบฤดูใบไม้ร่วงปีนี้จะให้เขาลงสนามสอบด้วย ไม่ว่าจะได้หรือไม่ก็สามารถสั่งสมประสบการณ์ได้สักหน่อย”
“โห นี่เป็เื่ดีเลย! อาจารย์กล่าวว่าได้ก็รับรองได้ว่าไม่เลวแล้ว แม้ไม่ได้ก็เป็ประสบการณ์ครั้งแรกที่หาได้ยากยิ่ง ปีนี้ไป่ิเพิ่งสิบห้า ผ่านไปอีกสามปีค่อยสอบอีกครั้งก็ยังไม่สาย” ความอิจฉากระจายทั่วใบหน้าของหวังซื่อ หากบ้านตนเองเอื้ออำนวย ผิงอันและผิงซุ่นก็ควรได้ไปโรงเรียนส่วนตัวเช่นกัน เสียเวลามาปีสองปีก็ไม่รู้ว่าจะสามารถตามบัณฑิตอื่นทันหรือไม่ เฮ้อ!
“ข้าก็คิดเช่นนั้น ไป่ิอายุน้อยไม่เคยประสบเื่เช่นนี้ สอบมากเสียสองรอบวันข้างหน้าก็นับได้ว่ามีประสบการณ์มากหน่อย” หวงซื่ออมยิ้มแล้วกล่าว
ฟู่เหรินที่นั่งอยู่บนโต๊ะ หวังซื่อ หวงซื่อกับเจี่ยงซื่อล้วนกล่าวไปด้วยหัวเราะไปด้วยอย่างปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ หลี่ซื่อกับจางซื่อก็มีใบหน้ายิ้มแย้มอย่างเห็นด้วยอยู่เป็ระยะๆ บรรยากาศบนโต๊ะเข้ากันได้ดีมากนัก
เจินจูในปากทานอาหาร หูฟังคำซุบซิบนินทาและยังคีบเนื้อสองสามชิ้นให้ซานนีอยู่บางครั้งบางคราว หนึ่งค่ำคืนแสร้งเป็ดอกไม้ขาว [3] ที่สุขุมและเงียบสงบ ร่วมยิ้มและหัวเราะไปกับทุกคนอยู่บ่อยๆ
หวงซื่อที่มองอยู่อดกล่าวชมเชยไม่ได้ กล่าวตามตรงออกมาว่าสองสาวพี่น้องสกุลหูล้วนเป็เด็กดีที่สวยสุภาพและเยือกเย็น ไม่รู้ว่าต่อไปครอบครัวสกุลไหนจะดวงดีได้ไปสู่ขอเด็กสาวของสกุลหูกัน!
ได้ฟังคำนี้ ใบหน้าขาวนวลของชุ่ยจูก็เปื้อนสีแดงฝาดอย่างเขินอายขึ้น เจินจูเห็นสภาพเช่นนั้นก็ถือโอกาสก้มศีรษะลงแสร้งว่าเขินอายไปด้วย แต่ในใจนางนั้นมีมารเล็กๆ กำลังแผดเสียงเดือดดาลว่า ปีนี้เจ้เพิ่งสิบเอ็ด… สิบเอ็ด…
บรรยากาศคึกคักร่าเริงต่อเนื่องมาเกือบจะหนึ่งชั่วยาม จนกระทั่งเฉิงเกอเอ่อร์ที่อายุสี่ขวบกับซานนีอายุสามขวบล้วนง่วงจนท่าทางสะลึมสะลือ โต๊ะงานเลี้ยงจึงแยกย้าย ต่างคนต่างกลับบ้านตนเอง
...หวงซื่อส่งเฉิงเกอเอ่อร์ที่หลับสนิทให้ลูกสะใภ้ ทันทีหลังจากนั้นก็ยกอ่างน้ำร้อนหนึ่งอ่างมาเช็ดหน้าและแช่เท้าให้กับจ้าวเหวินเฉียง
เมื่อค่ำจ้าวเหวินเฉียงดื่มสุราไป ยามนี้กำลังอยู่ในอารมณ์มึนเมา เขาใช้ผ้าร้อนเช็ดใบหน้าแล้วจึงโพล่งออกมา “ฝีมือครัวของพี่สะใภ้หูดียิ่งขึ้นอีกแล้ว อาหารจำพวกเนื้อที่อยู่เต็มโต๊ะไม่มีสักอย่างที่ไม่อร่อย โดยเฉพาะหม่าล่าต้มปลาผักกาดดองหม้อนั้น จุ๊ๆ เดิมทีตอนทานคำแรกทั้งชาทั้งเผ็ด รู้สึกว่ารสชาติเข้มไป แต่พอทานอีกคำหนึ่งก็รู้สึกนุ่มลื่นมีรสชาติกลิ่นหอมสดชื่นของหม่าล่า อร่อยเกินไปแล้ว สุดท้ายหม่าล่าปลาหนึ่งหม้อใหญ่เต็มๆ ก็ล้วนทานกันจนเกลี้ยงแม้แต่น้ำแกงก็ไม่เหลือสักหยด”
ขณะกล่าวก็ลูบท้องที่นูนขึ้นเพราะทานมากเกินไป จ้าวเหวินเฉียงเรอออกมาอย่างมีความสุข
“…พ่อเ้า เ้าก็เคยชินกับการไปทานโต๊ะเลี้ยงแขกมาหลายรูปแบบ เ้าเหลือบดูตนเองในตอนนี้สิว่าเป็อย่างไร” หวงซื่อมองเขาตาขาวแวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ “ครอบครัวสกุลหูทำอาหารได้ดีจริงๆ ไม่เช่นนั้นจะติดต่อค้าขายไปมากับโรงเตี๊ยมใหญ่ในเมืองได้อย่างไร แค่กุนเชียงนั่นอย่างเดียว รสชาติก็โดดเด่นมากแล้ว ทั้งหอมทั้งอร่อย เหมาะทานเป็กับข้าวโดยเฉพาะ”
“อื้ม ถูก แค่กุนเชียงชนิดนั้นที่สกุลหูทำการหมักและตากแดดดีแล้วส่งให้แก่โรงเตี๊ยม ทั้งหอมทั้งหนึบ น่าจะหาเงินได้ไม่น้อยเลย” จ้าวเหวินเฉียงจุ๊ปาก นึกถึงรสชาติหอมกรุ่นที่ยังติดอยู่เต็มปาก
“สกุลหูอาศัยส่วนนี้หาเงินได้ไม่น้อยเลยจริงๆ ก่อนที่ปีใหม่จะมาถึงครอบครัวนางมิใช่ว่าเก็บหมูเป็ๆ ไว้ไม่น้อยหรือ หลังเชือดทั้งหมดแล้วก็ทำเป็อาหารหมัก เนื้อตากแห้งชนิดนั้นที่สกุลหูทำพอดูแล้วก็มีความคล้ายคลึงกับเนื้อดองเกลืออยู่เล็กน้อย แน่นอนว่าเนื้อตากแห้งอร่อยกว่า อีกอย่างเมื่อทานแล้วมีกลิ่นเครื่องเทศจางๆ พวกพี่สะใภ้หูนางลงแรงไปไม่น้อยเลยจริงๆ” หวงซื่อวิจารณ์ “ไม่ใช่แค่สิ่งเหล่านี้ แต่ในอาหารหนึ่งโต๊ะนั้น เนื้อพะโล้รสชาติก็อร่อยสุดๆ ไปเลย”
“ใช่แล้ว รสชาติพะโล้ของครอบครัวสกุลหูอร่อยกว่ารสชาติพะโล้ที่ขายในเมืองมากนัก ยิ่งเข้ารสและยิ่งมีความหนึบ” จ้าวเหวินเฉียงที่แช่เท้าอยู่ เอามือลูบหนังท้องอย่างสบายแล้วเอาแต่งึมงำในลำคอ
“เฮ้อ…” หวงซื่อมองเขาแวบหนึ่ง หัวเราะแล้วกล่าวเสียงเบา “วันนี้บนโต๊ะเลี้ยง โผเหนียงของสกุลหลิ่วผู้นั้นอาศัยสายสัมพันธ์ทางญาติพี่น้อง จึงถามพี่สะใภ้หูว่าพะโล้ของบ้านนางทำอย่างไร กล่าวว่ากลับไปจะทำเลียนแบบให้พวกเด็กๆ ทาน เ้าเดาสิพี่สะใภ้หูตอบอย่างไร?”
“ต้องบอกไม่ได้อย่างแน่นอน น้องสะใภ้สกุลหลิ่วช่างไม่รู้เื่นัก สกุลหูอาศัยทำอาหารการกินให้ร่ำรวยขึ้นมาได้ คนเขาจะเอาวิธีหาเงินมาบอกให้ฟังหรือ ช่างไม่รู้อะไรเลยจริงๆ” จ้าวเหวินเฉียงส่ายหน้ากล่าว
“นางไม่รู้เื่ที่ไหนกัน เช่นนี่เป็นางที่ริษยา แสร้งทึ่มเต็มไปด้วยความงงงวย ที่จริงนางฉลาดเฉียบแหลมมากเลยล่ะ” หวงซื่อเบะปากกล่าวด้วยความเหยียดหยาม “พี่สะใภ้หูได้ยินแล้วก็ตะลึงไปเล็กน้อยเช่นกัน เดาว่าน่าจะคาดไม่ถึงที่โผเหนียงสกุลหลิ่วจะถามเช่นนี้ ต่อมานางจึงกล่าวว่าสูตรของพะโล้ได้จัดการขายให้สือหลี่เซียงไปแล้ว ครอบครัวนางทำได้แค่ทำออกมาทานเองเท่านั้น สูตรนี้ไม่สามารถรั่วไหลไปข้างนอกได้เด็ดขาด”
“กล่าวเช่นนี้ สกุลหูยังขายส่วนประกอบของพะโล้อีกด้วย อื้ม ไม่รู้เลยว่า ราคาที่ให้เป็เท่าไร และเป็่นี้พอดีกับที่สกุลหูซื้อที่ดินปลูกบ้านอย่างยิ่งใหญ่ กล่าวไม่ออกเลยว่าคงอาศัยทรัพย์สินเงินทองเหล่านี้เป็แน่ โอ้... ปีนี้สกุลหูได้เปลี่ยนแปลงฐานะยากจนมาร่ำรวยอย่างยิ่งใหญ่แล้วล่ะ” จ้าวเหวินเฉียงที่แช่เท้าอยู่กลับมีความง่วงงุน จึงขึ้นไปนอนเอกเขนกบนเตียง
“นั่นน่ะสิ สกุลหูนี่พอหาเงินได้แล้วก็มีความมั่นใจขึ้น จิตใจกับใบหน้าล้วนไม่เหมือนกันแล้ว” หวงซื่อวิจารณ์ต่อ “กล่าวแค่พี่สะใภ้หูคนเดียว เมื่อก่อนตอนที่ความเป็อยู่ผ่านไปอย่างยากลำบาก เส้นผมสีขาวเต็มศีรษะ อายุเพิ่งห้าสิบกว่าปี มองแล้วคล้ายท่าทางหกสิบเจ็ดสิบได้ แล้วเ้าดูตอนนี้อีกที เส้นผมที่งอกขึ้นใหม่แต่ละเส้นกลับดำขลับ รอยย่นบนใบหน้าลดลงไปมาก ราวกับอายุน้อยลงไม่ต่ำกว่าสิบปี เปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ”
“นางอายุมากกว่าเ้าสองสามปี ทานอิ่มได้และนอนหลับสนิท จิตใจก็ย่อมดีด้วย” จ้าวเหวินเฉียงหาว กล่าวอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
หวงซื่อกวาดสายตามองเขาหนึ่งที ลูบจอนผมของตนเองอย่างไม่รู้ตัว ผมขาวไม่กี่เส้นที่นางซ่อนไว้ใต้ผมถูกเขาเห็นเข้าแล้ว? ไม่คิดเลยว่าจะหยิบนางไปเปรียบเทียบกับพี่สะใภ้หู หวงซื่อลูบคลำใบหน้าที่ยังนับได้ว่าขาวหมดจดของตนเองแล้ว จึงถลึงตาโกรธเป็ฟืนเป็ไฟหนึ่งทีใส่บุรุษที่นอนกรนขึ้นมาอยู่ตรงหน้า
...ยามราตรีครอบครัวสกุลหูที่ยุ่งมาทั้งวัน เมื่อส่งแขกไปแล้วก็จัดการทำความสะอาดห้องโถง เตาครัว ล้างหน้าแปรงฟันอย่างลวกๆ แล้วจากนั้นก็รีบพากันขึ้นเตียงนอน พรุ่งนี้ยังมีเื่ใหญ่รอให้ทำอยู่
วันนี้เจินจูยุ่งมาทั้งวัน รู้สึกเหนื่อยอยู่บ้างจริงๆ พอนอนหงายอยู่บนเตียงก็มีความง่วงงุนอย่างมาก
แต่อย่างไรก็ตามนางยังคงปลุกจิตใจตนเองขึ้น รอให้สามคนบนเตียงหลับสนิทกันหมดแล้ว จึงปรากฏกายเข้าไปในมิติช่องว่าง
พืชผลที่เพาะไว้ครั้งก่อน ไม่กี่วันมานี้น่าจะเก็บเกี่ยวได้แล้ว
เจินจูเอาเมล็ดพันธุ์พืชแต่ละชนิดของบ้านตนเองปลูกลงไปทีละอย่างหนึ่งรอบ หลังจากนั้นใช้เมล็ดพันธุ์ที่เพาะปลูกขึ้นในมิติช่องว่างไปสับเปลี่ยน เช่นนี้พอเริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิ พืชผลต่างๆ ที่เติบโตกับจำนวนผลผลิตแต่ละชนิดน่าจะดีขึ้นมาก
ไม่ใช่เพราะเหตุผลเช่นนั้นหรอกหรือ ถั่วเหลืองกับถั่วลิสงที่ปลูกในที่นาครั้งนี้เกือบจะถึง่เก็บเกี่ยวได้แล้ว นี่เป็ครั้งที่สองแล้วที่นางปลูกพืชผลสองชนิดนี้
ถั่วเหลืองกับถั่วลิสงลำต้นเตี้ย หลังเก็บเกี่ยวผลแล้วจึงนำลำต้นของพวกมันมาเก็บไว้ในลิ้นชักใหญ่ของตู้ติดผนังในกระท่อมฟาง เจินจูนำมาสับเป็ชิ้นเล็กๆ ไว้เลี้ยงไก่กับกระต่ายเป็บางครั้งคราว
ลิ้นชักของตู้ติดผนัง ของที่เหมือนกันสามารถใส่ไว้ได้หลายครั้งและเป็จำนวนมาก เจินจูก็ไม่รู้แน่ชัดว่าสามารถวางเก็บไว้ได้จำนวนเท่าไร แต่ตราบใดที่สามารถเก็บผลผลิตไว้ได้เพื่อไม่ให้กินพื้นที่ว่างที่แต่เดิมแคบอยู่ นางก็พอใจกับสิ่งที่มีมากแล้ว
เจินจูเดินอ้อมรอบแปลงนาสองรอบ มองสัดส่วนฝักถั่วที่นูนขึ้นอย่างเท่าเทียมกันด้วยความพึงพอใจ ตามสภาพเช่นนี้ผ่านไปอีกสองสามวันก็สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว
เจินจูนอนหงายอยู่ในสนามหญ้าสีม่วงอย่างสบายใจ บิดี้เีด้วยความเซื่องซึม ดมกลิ่นหอมกรุ่นของหญ้าสงบจิตที่มีเอกลักษณ์ นางหายใจออกยาวๆ หนึ่งที รอยยิ้มบนใบหน้าก็สว่างไสวขึ้น
นอนอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงลุกขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
หิ้วถังไม้ขึ้น แปลงกายเป็ผึ้งงานที่ขยันขันแข็งรดน้ำให้พืชผลในแปลงนาหนึ่งรอบ
ดื่มน้ำแร่จิติญญาจากกระบวยน้ำเต้าหนึ่งอึกใหญ่ น้ำแร่จิติญญาที่เย็นสดชื่นและหวานอร่อยชโลมชุ่มชื้นหัวใจกับปอด เจินจูรู้สึกว่าร่างกายและจิตใจล้วนกระฉับกระเฉงขึ้นหลายส่วน
อืดอาดอยู่สักพักหนึ่ง นางจึงออกจากมิติช่องว่างอย่างไม่อยากจะจากไป
ค่ำคืนที่หนาวเหน็บของฤดูหนาว เงียบสงัดและเย็นะเื เจินจูขดเข้าไปในผ้านวมลายดอกผืนหนา ค่อยๆ จมลงสู่ห้วงนิทราช้าๆ
...ข้างเชิงเขา บริเวณใกล้เคียงกับบ้านของครอบครัวหูปรากฏเงาดำลับๆ ล่อๆ หนึ่งเงาออกมา
เชิงอรรถ
[1] กระแสลมและน้ำไหลเวียนผ่าน หมายถึง ความโชคดีจะไม่หยุดอยู่ที่คนหนึ่งคนได้ตลอดไป
[2] หนึ่งลูกพี่ลูกน้องฝ่ายมารดาห่างกันสามพันลี้ หมายถึง ระยะห่างที่ห่างเหินระหว่างลูกพี่ลูกน้องฝ่ายมารดา เพราะคนชนบทจีนสมัยก่อนมีลูกมาก ทำให้มีพี่น้องเยอะและพี่น้องต่างแต่งงานมีครอบครัวมีลูกหลาน โดยเฉพาะผู้หญิงจะแต่งงานออกห่างจากครอบครัวไป ทำให้บุตรที่กำเนิดมามีความสัมพันธ์โยงกันกับลูกพี่ลูกน้อง ยากที่จะรู้จักและอยู่กันอย่างชิดใกล้
[3] ดอกไม้ขาว เปรียบเปรยถึง หญิงสาวที่อ่อนเยาว์ สวยสะอาดบริสุทธิ์และงดงาม