ล่วงเกิน?
เสิ่นม่านลูบก้นกับศีรษะที่บวมโนจากการกระแทก อดไม่ได้ที่จะด่า “เป็บ้าอะไรเนี่ย? ใครล่วงเกินเ้ากัน?”
ชายคนนั้นแสดงท่าทีรังเกียจ ขณะกวาดตามองรูปร่างใหญ่หนาของเสิ่นม่าน คิ้วเข้มขมวดเป็ปม “เ้าเป็สตรี มานอนเตียงเดียวกับข้า แล้วยังััผิวกายข้าอีก ยังกล้าบอกว่าไม่ได้ล่วงเกินข้าหรือ?”
เสิ่นม่าน “…”
แม้ว่าชายคนนี้จะรูปงามคมเข้ม ผิวพรรณผุดผ่อง แต่ร่างกายแบบนี้ ดูอย่างไรก็เหมือนนางเอกซุปตาร์ในร่างผู้ชายมากกว่า แค่ลมพัดเอวก็น่าจะหักได้ทีเดียว
นางขมวดคิ้วพลางส่ายศีรษะ “เ้าเลิกคิดมากได้แล้ว ชายที่ข้าจะหลงใหลต้องเป็ลูกสนบนเขาไท่ซาน หาใช่ถั่วงอกสี่ฤดูที่เหี่ยวแห้งอย่างเ้า! ยิ่งไปกว่านั้น บ้านข้ามีเตียงแค่อันเดียว ข้าช่วยเ้ากลับมา หรือจะให้โยนเ้าไว้บนพื้น?”
“เ้าว่าใครเป็ถั่วงอกสี่ฤดู?”
หนิงโม่โมโหไม่เบา แม้ว่าเขาจะผอมไปสักหน่อย แต่ยามออกไปไหนมาไหนก็มีคนมาห้อมล้อมมากมาย
สตรีที่ตบเท้ามาเข้าแถวอยากแต่งงานกับเขา สามารถต่อแถวล้อมสองรอบเมืองหลวง ทว่าตอนนี้เขากลับถูกสตรีชนบทคนหนึ่งหยามว่าเป็ถั่วงอกสี่ฤดูที่แห้งเหี่ยว?!
คำเปรียบเปรยที่ดูิ่กันเช่นนี้ ช่างทำร้ายเส้นประสาทของเขาจนเจ็บจี๊ด หนิงโม่กัดฟันกรอดราวกับสิงโตที่กำลังพองแผงขนที่ต้นคอ จากนั้นเค้นคำพูดผ่านไรฟัน
“ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!”
เสิ่นม่านหาได้สนใจไม่ กลับกัน นางยกสองมือกอดอกและหัวเราะขบขัน “นี่ พี่ชาย บ้านนี้คือบ้านข้า หากต้องมีใครออกไป เช่นนั้นก็ควรเป็เ้า”
คราวนี้ เขานิ่งเงียบ ดูเหมือนว่าจะเป็ความจริง
หนิงโม่เม้มปากแน่น เขาพลิกผ้าห่มเตรียมตัวลงจากเตียง
เสิ่นม่านกำลังจะอ้าปากพูดอะไร ทว่าอีกฝ่ายกลับล้มฟุบลงไปบนพื้นและหมดสติไป
เสิ่นม่านรู้สึกเหมือนมีอีกาบินผ่านไปหลายตัว ใครใช้ให้ฝืนกันเล่า เป็ลมอีกแล้วเห็นหรือไม่?
เสิ่นม่านพาหนิงโม่กลับขึ้นเตียงและฟังลมหายใจ โชคดียังไม่ตาย เป็ชายอกสามศอก แต่กลับผอมบางจนต้านลมไม่อยู่เช่นนี้ ช่างคล้ายกับพวกขี้ยานัก คงไม่ใช่ว่ามีโรคประจำตัวอะไรหรอกนะ
เพื่อเป็การป้องกัน นางไม่อยากสูญเสียแหล่งพลังงานไปทั้งแบบนี้ นางจึงเริ่มใช้ระบบช่วยเขาตรวจร่างกาย
หากไม่ตรวจอาจจะยังไม่ทราบ แต่พอได้ตรวจ… ปรากฏว่าที่ชายคนนี้ผอมโซเช่นนี้ หาใช่เพราะมีโรคร้ายอะไร หากแต่เป็เพราะการเลือกกิน
หมอนี่มีอาการที่พบเจอได้ยาก สาเหตุที่เลือกกินก็เพราะการรับรสของลิ้นเขาอ่อนไหวกว่าคนทั่วไปหลายเท่า ร่างกายไม่อาจยอมรับอาหารทั่วไปได้ ดังนั้นจึงได้ผอมบางเช่นนี้
โรคนี้ หากเปลี่ยนเป็คนอื่นคงรู้สึกว่าหมดทางเยียวยา เพียงแต่ เสิ่นม่านคือใครกัน?
นางคือแม่ครัวเทพ!
โรคเลือกกิน? นางไม่กลัวแม้แต่น้อย!
จากนั้นเสิ่นม่านก็ไม่รีรอ นางหยิบเงินในบ้านแล้วรีบพุ่งออกจากบ้านไป
ระหว่างทางที่ผ่านบ้านผู้ใหญ่บ้าน เห็นเกวียนวัวของพวกเขากลับจากตำบล จึงถามเื่นางโจวกับเด็กๆ ทว่ายังคงไม่มีข่าวคราว
เมื่อยังไม่เจอเด็ก ในใจนางก็กระวนกระวาย เพียงแต่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ นอกจากไหว้วานให้ผู้อื่นตามหาหลานของตน ดูเหมือนนางเองก็ไม่มีหนทางที่ดีกว่านี้
หวังเพียงว่าเด็กๆ จะไม่เป็ไร
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เสิ่นม่านก็กลับมา มีวัตถุดิบที่ซื้อมาจากในหมู่บ้านเต็มไม้เต็มมือ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปขลุกอยู่ในครัว
ครู่ต่อมา เสิ่นม่านก็ออกมาพร้อมชามน้ำแกงที่มีกลิ่นหอมหวานน่าซด
นางเดินไปข้างกายหนิงโม่ จากนั้นใช้ช้อนตักน้ำแกงและป้อนใส่ปากของเขา
หนิงโม่ยังคงหลับตา ขณะนี้เขาขมวดคิ้วแน่น เพราะเป็โรคเลือกกินมานานร่างกายจึงมีอาการต่อต้าน ปฏิกิริยาแรกคือพยายามอาเจียนออกมา ทว่าเสิ่นม่านออกแรงยื้อและยัดใส่ปากของเขา
เมื่อมีการเริ่มที่ดี ช้อนต่อไปก็ไหลลื่นขึ้นเยอะ
เสิ่นม่านถือชามและป้อนน้ำแกงทีละช้อนจวบจนถึงก้นชาม เมื่อเห็นว่าเขาดื่มลงไปทั้งหมด เสิ่นม่านก็วางใจขึ้นมาก ขณะกำลังจะลุกขึ้น ทันใดนั้นหนิงโม่ก็ไอ
เขาลืมตาขึ้นช้าๆ ในปากยังคงมีรสชาติหอมหวานของผักลอยอยู่ สายตาจดจ้องที่หลังคาดำทมิฬ จากนั้นค่อยๆ เคลื่อนไปทางเสิ่นม่าน สุดท้ายสายตาก็จดจ้องอยู่ที่ชามใบนั้น
“เ้าป้อนอะไรให้ข้า?”
เสิ่นม่านยักไหล่ “น้ำแกงผัก วางใจได้ ร่างกายของเ้าไม่ต่อต้าน ตอนนี้ไม่มีท่าทีจะอาเจียน”
“น้ำแกงผัก?” เห็นได้ชัดว่าหนิงโม่ไม่เชื่อ
เขาไม่มีทางยอมรับรสชาติผักหรือเนื้อสัตว์ใดได้ ขอเพียงได้กินก็จะอาเจียนออกมา
แววตาหนิงโม่ไหววูบ มือข้างหนึ่งคว้าแขนอวบของเสิ่นม่านไว้และใช้น้ำเสียงที่เกือบจะเหมือนข่มขู่ “ตกลงเ้าให้ข้าดื่มอะไร? เหตุใดในนี้จึงไม่มีกลิ่นผักแม้แต่น้อย!”
เสิ่นม่านถูกกระชากจนเจ็บจึงออกแรงกระชากกลับมา นางสูดหายใจ เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “จะหมายความอย่างไรได้? ก็เพราะว่าเ้าไม่เคยเปิดหูเปิดตาดูโลกกว้างมาก่อนก็เท่านั้น”
ใบหน้าของหนิงโม่มืดมนทั้งยังมีความคลางแคลงใจ “เ้าช่วยข้าตักมาอีกชามสิ”
เสิ่นม่านประหลาดใจเล็กน้อย แต่พอคิดถึงแหล่งพลังงานบนตัวหนิงโม่ นางจึงยอมฝืนเดินไปข้างเตาและตักน้ำแกงในหม้อมาอีกหนึ่งชาม
เขารับชามไว้ไม่ได้รีบร้อนเอาใส่ปาก หากแต่เอาจมูกไปทาบและดอมดม
ไม่มีกลิ่นที่ทําให้เขาอึดอัด กลับกัน เขายังได้กลิ่นหอมหวานที่ชัดเจนของผักที่ไม่รู้ว่าคือผักอะไร เขาหยิบช้อนและตักขึ้นมาหนึ่งคำ จากนั้นซดคำเล็กๆ
“!” อร่อยอย่างน่าประหลาด!
จากนั้นหนิงโม่ก็ยกน้ำแกงผักขึ้นซดต่อหน้านางจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
หลังจากดื่มหมด เขาเลียริมฝีปากและเอ่ยถามอย่างลังเล “ยังมีอีกหรือไม่?”
เสิ่นม่านเพิ่งเคยเห็นคนดื่มน้ำแกงได้มีสง่าราศีเช่นเขาเป็หนแรก ชั่วขณะนั้นจึงตาค้างและพยักหน้า
“มีหนึ่งหม้อใหญ่ เตรียมไว้ให้เ้าโดยเฉพาะ”
นางไปที่เตาและยกกลับมาอีกหนึ่งชาม หนิงโม่ดื่มชามแล้วชามเล่า จนในที่สุดเมื่อชามที่สี่ลงท้องไปหมด สีหน้าของเขาก็เริ่มมีเืฝาด ใบหน้าเผยความพึงพอใจออกมา
“อิ่มแล้ว”
เป็เวลากว่ายี่สิบปีที่เขาไม่รู้ว่าการกินอิ่มเป็อย่างไร เนื่องจากร่างกายของเขามีความไวต่อรสชาติของส่วนผสมต่างๆ เป็พิเศษ ส่งผลให้เมื่อเขากินอาหารพวกนั้นเป็ต้องอาเจียนทุกครั้งไป
พ่อครัวแม่ครัวที่มาจากทั่วสารทิศแดนไกลต้องเปลี่ยนออกไปคนแล้วคนเล่า เนื่องจากไม่มีผู้ใดที่ทำอาหารให้เหมาะกับรสปากของเขาได้
น้ำแกงวันนี้ราวกับเปิดโลกใบใหม่ให้แก่เขา ทำให้เขามองเห็นความหวังครั้งใหม่ หนิงโม่ระงับความตื่นเต้นและพยายามรักษาภาพลักษณ์ของคุณชาย แล้วเอ่ยถามนาง
“น้ำแกงของเ้านั้นต้มอย่างไรกัน? เหตุใดจึงต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง?”
เสิ่นม่านเลิกคิ้วขึ้น “อยากรู้หรือ?”
หนิงโม่พยักหน้า แต่เสิ่นม่านกลับหลอกล่อความอยากรู้อยากเห็นของเขา
“โรคของเ้ารักษายากสินะ? เ้าต้องปวดหัวกับเื่นี้มากแน่ๆ แต่ข้าจะบอกเ้าให้ว่า ข้ามีหนทางรักษาเ้าได้ เพียงแต่…” ทันทีที่ทิศทางคำพูดเปลี่ยนไป นางจึงจับจ้องใบหน้าของหนิงโม่แน่นิ่ง
“เ้าต้องสัญญากับข้าหนึ่งเื่”
หนิงโม่ขนลุกกับการจ้องของนาง ดวงตาคู่สวยหรี่เล็กลง “เ้าว่ามา ขอเพียงเป็สิ่งที่ข้าทำได้ ข้าจะทำเต็มที่”
ใจป้ำถึงเพียงนี้เชียว?
เสิ่นม่านเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาดำขลับราวนิลจับจ้องเขาไม่วางตา แต่วาจากลับรวดเร็วยิ่งนัก “ข้า้าให้เ้าเป็ทาสรับใช้ข้า”
“ทาสรับใช้เ้า?”
หนิงโม่หรี่ตาลง ดวงตาแฝงความแข็งกร้าวน่าหวั่นเกรง
“เ้าช่างอวดดีนัก”
เสิ่นม่านได้พบเห็นวิธีแสร้งหมูเพื่อหลอกกินเสือมามากมายหลายแบบ ชายอ่อนแอผู้นี้สถานะไม่ชัดเจน นางจึงค่อนข้างมั่นใจ
“ไม่ยินดีหรือ? เช่นนั้นข้าก็ไม่ส่ง ทว่าร่างกายของเ้าที่ขาดสารอาหารเช่นนี้ เกรงว่าคงอยู่ไม่พ้นอายุสามสิบ”
ใบหน้าของหนิงโม่ดำมืดอย่างไม่อาจสาธยาย เขายื่นมือมาบีบคอนางและพ่นออกมาทีละคํา
“เ้ารนหาที่ตาย!”
-----