หลังฝนหยุดตกสาวน้อยในชุดนักบวชสีเทาทั้งสองก็ประคองกันเดินไปตามเส้นทางกลางเขาเหอตังกุยเดินไปพลางบ่นเหนื่อยในใจไปด้วย สมดังที่สุภาษิตที่ว่า เดินลงเขานั้นง่ายทว่าขึ้นมาช่างยากนัก ในตอนแรกนางเพียงอยากออกมาสูดอากาศข้างนอกและเก็บสมุนไพรบำรุงร่างกายกลับไปด้วยเท่านั้นนึกไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเื่ที่ไม่คาดคิดมากมายเช่นนี้
ตอนนี้เป็อย่างไรเล่านอกจากอาการาเ็ที่ขาจะสาหัสขึ้นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น...เสื้อบุนวมและเสื้อผ้าที่สวมอยู่ภายในก็ไม่มีเหลืออีกเมื่อลมหนาวยามพลบค่ำพัดมาก็ยิ่งทำให้รู้สึกหนาวจับใจ ไม่ต่างจากการแช่น้ำเย็นในเดือนสิบสองเลย
ทว่าเจินจิ้งกลับยิ้มแย้มแจ่มใสทั้งยังมีท่าทีภาคภูมิใจในตัวเองยิ่งนัก เดินไปพลางกล่าวชื่นชมเหอตังกุยไปด้วย“เสี่ยวอี้ ท่านไม่เพียงแต่มีความสามารถเท่านั้น ทั้งยังมีจิตใจที่ดีงามอีกด้วยการที่เขาได้มาเจอกับท่านถือเป็บุญของเขายิ่งนัก หากรอดตายมาได้ท่านก็ถือเป็ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขา...”
“จำเอาไว้ล่ะคำพูดพวกนี้ พูดได้แค่ตอนนี้เท่านั้นเมื่อกลับไปแล้วห้ามพูดถึงเื่นี้อีกเด็ดขาด! ” เหอตังกุยสั่งย้ำอีกครั้ง
เจินจิ้งยิ้มจนดวงตาหรี่โค้งราวกับพระจันทร์เสี้ยวนางเอียงหัวไปมาอย่างทะเล้นพลางกล่าวขึ้น “ข้ารู้แล้ว!ท่านบอกข้าจวนจะแปดร้อยรอบแล้ว บอกว่าข้าขี้บ่น ท่านเองก็เหมือนกันนั่นล่ะ...”
ย้อนกลับไปเมื่อ่เที่ยง...
เหอตังกุยและเจินจิ้งแบกกระบุงสะพายหลังเอาไว้คนละใบพวกนางลักลอบออกมาจากวัดอย่างเงียบ ๆ เหอตังกุยมองหายาสมุนไพร ส่วนเจินจิ้งรับหน้าที่ขุดผักป่ากับเห็ดบนเขา
บริเวณเขาที่วัดสุ่ยซังตั้งอยู่นั้นเคยถูกกองทัพมองโกลจุดไฟเผาเมื่อหลายปีก่อน ส่งผลให้ต้นไม้ใบหญ้าบนเขามีอยู่บางตาทั้งสองเดินวนหารอบวัดนานหลายรอบ ทว่าได้สิ่งที่้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อหาไปเรื่อย ๆ เหอตังกุยและเจินจิ้งก็เผลอเดินลงจากเขาโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเดินต่อไปเจินจิ้งก็พบว่าบนต้นไม้บางต้นมีรังนกอยู่ นางจึงปีนขึ้นไปดูในนั้นมีไข่นกอยู่ประมาณเจ็ดแปดฟองด้วยกันเหอตังกุยบอกกับเจินจิ้งว่าให้เหลือไข่เอาไว้สักสองฟองจากนั้นจึงช่วยนางลงมาจากต้นไม้ ทั้งสองเดินต่อไปได้เพียงไม่กี่ก้าวเหอตังกุยก็พบรังนกอีก เจินจิ้งจึงรับหน้าที่ปีนขึ้นไปบนนั้นได้อย่างง่ายดายพวกนางทำเช่นเดิมคือนำไข่ในรังนกออกมา โดยเหลือไข่เอาไว้บนนั้นสองฟอง
เนื่องจากได้ของดีมามากด้วยเวลาเพียงครู่เดียวทั้งสองจึงรู้สึกดีใจเป็อย่างยิ่ง เดินคุยกันไปพลางแหงนหน้ามองบนต้นไม้ซ้ายทีขวาทีเพื่อหารังนกไปด้วย
“เสี่ยวอี้ข้าอาศัยอยู่ในวัดมาสี่ห้าปีแล้วแต่ไม่เคยรู้เลยว่าใต้กำแพงของอาคารปีกตะวันตกมีช่องให้มุดออกมาได้ด้วยท่านรู้ได้อย่างไรกัน? ”
“เราสองคนไปพบช่องนั้นด้วยกันในชาติก่อนน่ะ”เหอตังกุยพูดเช่นนั้นในใจ ทว่าปากกลับพูดเป็เชิงเย้าแหย่ออกมาแทน “อ้อเพราะข้าเห็นหนูหลายตัววิ่งออกมาจากทางนั้นน่ะ”นางกล่าวเช่นนั้นเพราะรู้ดีว่าเจินจิ้งกลัวหนูมากที่สุดแล้ว
เป็จริงดังว่าเจินจิ้งร้องเสียงหลงด้วยความใ จากนั้นนางจึงปิดหูแล้ววิ่งหนีออกไปทันที
เหอตังกุยได้รับาเ็ที่ข้อเท้าจึงเดินเร็วๆ ไม่ได้ นางไม่ได้วิ่งตามไป เพียงกำชับไล่หลังไปเท่านั้น “ระวังลื่นด้วยนะ! ”สิ้นเสียงกล่าวเตือน เจินจิ้งก็ล้มโครมลงบนพื้นดินเสียแล้วเหอตังกุยรีบวิ่งกะเผลกเข้าไปดูอาการนางด้วยความร้อนใจเมื่อเห็นร่างของเจินจิ้งที่กำลังคลานอยู่บนพื้นดิน เหอตังกุยจึงเร่งถามอาการ“ไม่เป็ไรใช่หรือไม่? ”
เจินจิ้งมีสีหน้าตื่นตระหนกและหวาดกลัวเป็อย่างมากนางลุกขึ้นมาจากพื้นดินด้วยความสั่นเทาจากนั้นก็ถอยหลังกลับมาพร้อมกับร้องเสียงหลง “ใน...ในพงหญ้า มีคนตายอยู่ด้วย! ”
เหอตังกุยเดินตรงเข้าไปยังจุดที่นางชี้ด้วยความสงสัยพบว่าบนใบหญ้ารอบ ๆ มีสีแดงเลอะอยู่ ดูเหมือนจะเป็รอยเืเมื่อเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นจึงเห็นร่างคนนอนอยู่ในพงหญ้าจริง ๆเป็เด็กชายร่างโชกเืคนหนึ่ง เหอตังกุยมองสำรวจร่างนั้นอย่างละเอียดจากนั้นจึงหันกลับไปดึงมือเจินจิ้งแล้วเดินจากไปในทันที
“คนตายมีคนตายอยู่ตรงนั้น! ” เจินจิ้งยังคงจมอยู่ในภวังค์ของความใ
“เอาล่ะ ๆเลิกะโได้แล้ว ข้าเห็นแล้ว” เหอตังกุยเขกหัวเจินจิ้งเบา ๆ “ประการที่หนึ่งไม่ว่าเ้าจะะโเสียงดังแค่ไหนคนที่ตายไปแล้วย่อมไม่มีทางฟื้นขึ้นมาได้อย่างแน่นอน ทั้งยังไม่มีทางตื่นมาทำร้ายเ้าด้วยเ้าจึงไม่จำเป็ต้องกลัวเขา ผิดกับคนเป็ ๆที่มักจะทำร้ายเ้าโดยอ้างเหตุผลนั่นนี่อยู่เสมอดังนั้นคนเป็น่ากลัวกว่าคนตายหลายเท่า และประการที่สอง...คนคนนั้นยังไม่ตายเสียหน่อย”
“หา?! ท่านบอกว่าเขายังไม่ตายงั้นหรือ? ท่านรู้ได้อย่างไร!” เจินจิ้งเบิกตากว้าง
เหอตังกุยพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง“พี่สาวจ๋า ข้าก็ใช้สายตามองน่ะสิ ข้าเห็นว่าเขายังหายใจอยู่ ขมวดคิ้วได้แผลของเขาก็ยังมีเืไหลอยู่เลยคงเป็เพราะเมื่อครู่เ้าไปเหยียบโดนแผลของเขาแน่”
เจินจิ้งหน้าแดงก่ำนางเข้าใจในที่สุด “ก็...ก็ข้าไม่เคยเห็นเืเยอะขนาดนั้นนี่ข้ากล้ามองเขาเสียที่ไหนกันเล่า... เอ๋? เดี๋ยวก่อนนะเสี่ยวอี้ในเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ แล้วทำไมท่านถึงต้องลากข้าออกมาด้วยล่ะ? เหตุใดพวกเราไม่ช่วยเขาก่อน? ”
เหอตังกุยส่ายหน้า จากนั้นก็ไม่ได้พูดอันใดอีกเพียงดึงให้เจินจิ้งเดินต่อไปเท่านั้น
ทว่าเจินจิ้งไม่ยอมเดินตามมาอีกแล้วนางกล่าวระคนขอร้อง “เสี่ยวอี้ พวกเราไปช่วยเขากันเถอะนะ! ”
เหอตังกุยผายมือออกไปข้างๆ “จะช่วยได้อย่างไร? เ้าเป็คนช่วยหรือจะให้ข้าช่วย? พวกเราไม่ใช่สามมหาเทพที่ถูกสักการะอยู่ในวัดสุ่ยซังนะที่เพียงประทานน้ำศักดิ์สิทธิ์แค่ไม่กี่หยดให้กินยาวิเศษแค่เม็ดเดียวก็จะช่วยชีวิตคนได้น่ะ”
“แต่ว่า...นั่นเป็ชีวิตคนคนหนึ่งเลยนะทำไมท่านถึงได้เืเย็นแบบนี้! ” เจินจิ้งดวงตาแดงก่ำ “ข้าไม่สนหรอกไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องช่วยเขา! ข้าเป็นักบวชจะปล่อยให้คนตายโดยไม่ช่วยเหลือได้อย่างไร หากทวยเทพทั้งหลายรู้เข้าพวกท่านต้องเลิกคุ้มครองข้าแน่! ” หลังพูดจบนางก็สะบัดมือออกจากพันธนาการของเหอตังกุย แล้วหมุนตัวเดินกลับไปทันที
เหอตังกุยมองตามแผ่นหลังของเจินจิ้งเงียบๆ เพียงไม่นานนางก็ถอนหายใจออกมา แล้ววิ่งตามออกไปพร้อมกับะโไล่หลังไปด้วย“เจินจิ้ง ฟังข้าก่อนสิ หากเ้าอยากจะช่วยเขา ข้าก็จะไม่ห้ามเ้าการช่วยเหลือคนเป็เื่ดีที่ข้าเห็นเ้าเป็เพื่อนคนสำคัญก็เพราะจิตใจที่ดีงามของเ้าแต่เื่นี้มันน่าแปลก ข้าจึงไม่อยากให้เ้าทำผิดเพราะความใจดีนี้! ”
เมื่อได้ยินดังนั้นเจินจิ้งก็หยุดฝีเท้าลง นางหันกลับมามองเหอตังกุยอีกครั้ง “แปลกตรงไหนหรือ? ”
เหอตังกุยวิ่งตามไปจนประชิดตัวจากนั้นจึงเอื้อมไปจับมือของเจินจิ้งเอาไว้ ก่อนจะอธิบายให้นางฟัง“ที่นี่ห่างจากถนนเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น หากเขาเป็คนธรรมดาเมื่อได้รับาเ็และ้าความช่วยเหลือ เหตุใดจึงไม่ไปรออยู่ที่ถนนจะเข้าไปหลบอยู่ในพงหญ้าที่มิดชิดแบบนั้นด้วยเหตุอันใดเล่า? เมื่อครู่ ข้าลองสำรวจรอยเืบริเวณรอบ ๆ ดูแล้วมีรอยเืมาจากทางทิศตะวันตกไปจนถึงพงหญ้าเห็นได้ชัดว่าคนผู้นั้นเดินผ่านถนนมาแล้วแต่กลับไม่ยอมหยุดเขาเลือกที่จะหอบร่างกายที่ได้รับาเ็หนักเดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆและซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้าแทน”
เจินจิ้งที่ฟังอยู่ไม่เข้าใจนัก“แล้วมันอย่างไรเล่า? ”
“แบบนั้นก็แสดงว่า...เขาไม่อยากให้มีคนมาพบน่ะสิ! ”
เจินจิ้งเบิกตากว้างแล้วร้องอุทานขึ้น“ไม่อยากให้ผู้อื่นมาพบ หรือว่า... หรือเขาอยากฆ่าตัวตาย? ”
เหอตังกุยแทบจะสำลักน้ำลายตัวเองนางใช้นิ้วเคาะลงบนหน้าผากของเจินจิ้งเบา ๆ พลางถามกลับ “หากเ้าอยากฆ่าตัวตายเ้าจะกรีดตัวเองจนเป็แผลมากกว่าสิบแห่งแล้วปล่อยให้เืค่อย ๆไหลออกมาจนตายอย่างช้า ๆ อย่างนั้นหรือ? ข้าเดาว่าเขาน่าจะกำลังหนีจากการไล่ล่าของศัตรูเป็แน่”
เจินจิ้งใช้มือปิดปากด้วยความในางขมวดคิ้วก่อนจะกล่าว “แล้ว...แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี? จะปล่อยให้เขาตายโดยไม่ทำอันใดเลยหรือ? ”
“ตอนนี้ก็คงต้องปล่อยให้เป็เช่นนั้นไปก่อนพวกเราเป็แค่เด็กสองคน ความสามารถของเรามีจำกัด” เหอตังกุยกล่าวพลางส่ายหน้าไปมา“หากผิดพลาดล่ะก็ นอกจากจะช่วยชีวิตเขาไม่ได้แล้วเรายังจะนำตัวเองเข้าไปสู่อันตรายอีกด้วย ลองคิดดูสิ หากเราเดินวนเวียนอยู่รอบ ๆจนดึงดูดให้ศัตรูของเขามาที่นี่ แล้วแกะรอยของเขาจากรอยเืจนเจอล่ะแบบนั้นก็เท่ากับว่าเราเป็คนทำร้ายเขานะ อีกอย่างคนผู้นั้นได้รับาเ็สาหัสมากหากเราไปแตะต้องตัวเขาโดยพลการ เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อาแของเขาทำให้เขามีอาการรุนแรงมากกว่าเดิม ข้ารู้ว่าเมื่อครู่เ้าคิดจะพาเขากลับไปที่วัดสุ่ยซังแต่วัดไม่ใช่ที่ลึกลับอันใด ใคร ๆ ก็หาวัดนั่นเจอกันทั้งนั้นหากศัตรูของเขาไปตามหาเขาถึงในวัดล่ะ เ้าคิดว่าแม่ชีไท่ซั่นอาจารย์ของเ้าจะจัดการอย่างไรกับคนนิรนามที่ไม่รู้ว่าเป็ใครมาจากไหนทั้งยังาเ็ใกล้ตายอีกด้วย? ”
เจินจิ้งหน้าซีดลงเรื่อย ๆนางยกมือขึ้นมาปิดปาก “เกือบไปแล้ว! หากไม่ใช่เพราะท่านห้ามข้าเอาไว้เสียก่อนอีกนิดเดียวข้าก็จะทำให้คนคนหนึ่งต้องตายเสียแล้ว! ” หลังพูดจบนางก็ลากเหอตังกุยหมุนตัววิ่งกลับไปอีกด้านทันทีเมื่อวิ่งออกไปได้ไกลแล้วจึงหยุดพัก แม่ชีน้อยหายใจหอบพลางกล่าวถาม “เสี่ยวอี้ ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรกันดี? กลับไปที่วัดสุ่ยซังเลยหรือ? ”
เหอตังกุยพยักหน้าแล้วเดินต่อไปเพียงไม่กี่ก้าวก็ชะงักฝีเท้าลงอีกครั้งนางจ้องไปยังเจินจิ้งแล้วกล่าวถามขึ้น “อะไรติดอยู่ที่รองเท้าของเ้าน่ะ? ”
“หืม? ” เจินจิ้งก้มลงไปมองด้วยความสงสัย จึงพบว่าที่รองเท้าของตนมีเืติดอยู่“ต้องเปื้อนตอนนั้นแน่เลย! ”
เหอตังกุยขมวดคิ้วมุ่นนางหยุดคิดแวบหนึ่งแล้วจึงหยิบหินคมบนพื้นดินขึ้นมาบาดมือตัวเองแรง ๆ ทันใดนั้นเืสีแดงสดก็ไหลซึมออกมาทันที
“ท่านทำอันใดกัน! ”เจินจิ้งสะดุ้งใ
เหอตังกุยส่งสายตาเป็เชิงให้นางนิ่งเงียบเอาไว้จากนั้นก็ฉีกผ้าที่ชายเสื้อออกมาพันาแของตน พลางสั่งกับเจินจิ้งไปด้วย“หากมีคนถามว่าเืที่รองเท้าเ้ามาจากไหน ให้บอกว่าเพราะข้าได้รับาเ็ที่มือเืก็เลยหยดลงบนรองเท้าของเ้า”
เจินจิ้งอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจู่ ๆ นางก็ร้องไห้ออกมา “ฮือ ๆ ๆ ๆ ... ขอโทษนะเสี่ยวอี้เมื่อครู่ข้ายังสงสัยในตัวท่าน ทั้งยังคิดว่าท่านแล้งน้ำใจอีก...ข้าเป็คนสร้างเื่ขึ้นมาแท้ ๆ แต่ท่านกลับต้องมาทำให้ตัวเองาเ็ท่านจะโกรธและไม่สนใจข้าอีกแล้วหรือไม่? ”
“เอาล่ะ ๆเลิกร้องไห้ได้แล้ว” เหอตังกุยตบบ่าปลอบใจนาง “ดูสิ แผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้นไม่เจ็บมากหรอก อีกไม่กี่วันก็หายดีแล้ว ข้ายังยืนยันคำเดิมที่ข้าเห็นเ้าเป็เพื่อนคนสำคัญก็เพราะจิตใจที่ดีของเ้าเ้ามีหัวใจอันบริสุทธิ์ที่ข้าได้สูญเสียมันไปแล้ว เมื่อมองดูเ้าทำให้ข้านึกย้อนไปถึงตัวเองในอดีตเสมอ แล้วแบบนี้ข้าจะโกรธเ้าลงได้อย่างไรกัน?”
เจินจิ้งเช็ดน้ำตาพลางพูดด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น“ไม่เลย ท่านต่างหากที่มีจิตใจดีอย่างแท้จริง เมื่อครู่นอกจากข้าเกือบจะทำผิดเพราะความวู่วามแล้ว ข้ายังบอกว่าท่านเืเย็นอีกขอโทษนะ... แต่... เมื่อครู่ท่านพูดว่ากระไรนะ... ตัวท่านในอดีต? ฮึก ๆ ทำไมในบางครั้งท่านถึงพูดจาราวกับเป็ผู้ใหญ่นักเล่า ทั้ง ๆที่ท่านมีอายุน้อยกว่าข้าเสียอีก...”
ทั้งสองพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกกันระหว่างเดินกลับไปตามทางอย่างเชื่องช้า
เมื่อเห็นว่าเจินจิ้งมีท่าทางเคร่งเครียดและเสียใจที่ช่วยคนผู้นั้นไม่ได้เหอตังกุยจึงพยายามหาเื่คุยกับนางมาตลอดทางเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
“ดูสิ”เหอตังกุยชี้ไปที่ดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ซึ่งขึ้นอยู่ข้างทาง “เ้านี่ชื่อต้นโกฐเขมามีรสขมเฝื่อน เมื่อกินคู่กับตับและต้นชุมเห็ดจีนจะสามารถรักษาโรคทางดวงตาได้หากใช้คู่กับเชียงหัวและตู๋หัวก็จะมีฤทธิ์รักษาโรคมือเท้าเย็นหรือโรคที่เกิดจากความเย็นได้ทั้งยังลดอาการข้อเท้าบวมได้ด้วย ยาแบบนี้มีฤทธิ์ดีมากเลยรู้หรือไม่? สมุนไพรนี้ยังมีเื่เล่าอันแสนงดงามอยู่ด้วยนะ...”
“ฮ่า ๆ ๆ! ”
จู่ ๆก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากทางด้านหลัง เมื่อหันกลับไปมองจึงพบว่าห่างออกไปราวสิบฟุตมีชายร่างสูงใหญ่ประมาณสิบคนกำลังเดินมาคนเ่าั้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับชั้นดีจังหวะการก้าวขาล้วนพร้อมเพรียงกันดูคล้ายว่าชายในชุดคลุมสีฟ้าหนึ่งในนั้นจะเป็ผู้นำของคนกลุ่มนี้
เหอตังกุยมีสีหน้าราบเรียบทว่ากลับอดสะดุ้งในใจไม่ได้ นางลอบคาดเดาถึงตัวตนของคนเหล่านี้เงียบ ๆ
พวกเขามีจำนวนมากขนาดนั้นแต่กลับเดินอยู่บนทางแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยก้อนกรวดและใบไม้แห้งได้อย่างเงียบเชียบทั้งที่อยู่ไม่ห่างไปจากพวกนางสักเท่าไรแต่พวกนางกลับเพิ่งรู้ตัวว่ามีคนอื่นก็เมื่อหนึ่งในนั้นส่งเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเพ่งมองเป็รายบุคคลแล้ว แม้คนเหล่านี้จะแต่งกายแตกต่างกันออกไปแต่จังหวะการก้าวขาของแต่ละคนกลับพร้อมเพรียงและเท่ากันอย่างประหลาดนั่นไม่ใช่สิ่งที่จะฝึกได้ด้วยระยะเวลาเพียงไม่กี่วันแน่ นอกจากนี้ปลายเท้าใต้ชุดคลุมของพวกเขายังชี้เฉียงออกไปด้านหน้าทุกครั้งที่ก้าวเดินนั่นทำให้เหอตังกุยสังเกตเห็นว่าขนาดรัศมีและความเอียงของปลายเท้าคนเหล่านี้นั้นเหมือนกันทุกคนหรือว่า...
ในขณะที่เหอตังกุยกำลังวิเคราะห์อยู่ในใจคนกลุ่มนั้นก็เดินใกล้เข้ามาแล้ว
เจินจิ้งที่ใช้ชีวิตอยู่แต่บนเขาไม่เคยเห็นผู้ชายจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน นางจึงใในความน่าเกรงขามของพวกเขาเป็อย่างมากด้วยเหตุนี้นางจึงดึงมือเหอตังกุยแล้วก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณไปสามก้าวใหญ่ ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ ๆแม่นางทั้งสอง อย่ากลัวไปเลย พวกเราไม่ใช่คนชั่วร้ายกระไร! ”ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบสามปีในชุดคลุมสีแดงปักลายด้วยด้ายสีทองส่งเสียงหัวเราะขึ้น“เมื่อครู่ เป็เพราะเห็นแม่นางรู้เื่สมุนไพรต่าง ๆ เป็อย่างดีทั้งยังบอกสรรพคุณออกมาได้คล่องแคล่วตลอดทาง ข้าจึงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้หวังว่าแม่นางจะไม่ถือสา! ”
เหอตังกุยหลุบสายตาลงต่ำพลางนึกใเล็กน้อยพวกเขาได้ยินมาตลอดทางเลยหรือ! เพราะความเหนื่อยล้า ตนจึงพูดด้วยน้ำเสียงแ่เบามาโดยตลอดพวกเขาเองก็ไม่ได้อยู่ใกล้จนถึงขนาดที่จะได้ยินด้วย... หูดีจริง ๆเขาต้องเป็ยอดฝีมือแน่
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้นางจึงดึงมือเจินจิ้งที่เหงื่อท่วมใบหน้าเพราะความตื่นตระหนกให้เอียงตัวหลบเปิดทางให้คนกลุ่มนั้นเดินผ่านไป “ข้าเพียงพูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น น่าละอายนักเชิญทุกท่านผ่านไปก่อนเถิด” นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ
ชายชุดฟ้าก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะก้าวไปตามทางคับแคบด้วยความรวดเร็ว เขาเดินผ่านร่างทั้งสองไปแล้วกลุ่มคนด้านหลังก็เดินตามหัวหน้าไปติด ๆ เหอตังกุยและเจินจิ้งก้มหน้าลงเล็กน้อยพวกนางเผลอกลั้นหายใจด้วยความตื่นเต้นขณะกำลังรอให้คนกลุ่มนั้นเดินผ่านไป
“เ้า!ทำไมรองเท้าของเ้าถึงมีรอยเื? เมื่อครู่พวกเ้าเดินมาจากที่ใดกัน?” ชายที่เดินอยู่ด้านหลังสุดของขบวนหยุดลงที่ข้างกายทั้งสองกะทันหันเขาเค้นถามด้วยท่าทีเ็าและดุดัน เหอตังกุยเงยหน้ามองคนเบื้องหน้าเล็กน้อยเขาอยู่ในชุดสีดำทั้งตัวทว่าบนผ้าสีดำนั้นกลับมีลายดอกไม้สีแดงประดับอยู่เต็มไปหมดดอกไม้มากมายที่ถูกปักอย่างไม่เป็ระเบียบ ทำให้ชุดสีดำนั้นแลดูสดใสงดงามทว่าก็ดูประหลาดเหลือเกิน
เมื่อได้ยินดังนั้นกลุ่มคนที่เดินผ่านไปก่อนหน้านี้จึงพากันหยุดชะงักแล้วหันกลับมามองสาวน้อยทั้งสองอีกครั้งเป็เหตุให้เจินจิ้งก้าวถอยหลังไปอีกสองก้าวอย่างลืมตัว
เหอตังกุยจับมือเจินจิ้งด้วยมือขวาก่อนจะแบมือซ้ายออก เผยให้เห็นาแที่มีผ้าพันอยู่จากนั้นจึงตอบคำถามกลับไปด้วยท่าทางนอบน้อม “เมื่อครู่ ขณะกำลังเก็บสมุนไพรข้าถูกกิ่งไม้บาดจนได้รับาเ็ที่มือจึงทำให้รองเท้าของเพื่อนที่มาด้วยต้องเปื้อนเืเช่นนี้”
ชายในชุดแดงส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาอีกครั้งและกล่าวขอโทษ“ต้องขออภัยด้วย เขาเป็คนมุทะลุ ตรงไปตรงมาคงไม่ได้ทำให้แม่นางทั้งสองใใช่หรือไม่? ”
เหอตังกุยส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นขณะหลุบตาลงต่ำ “คุณชายกล่าวเกินไปแล้ว”
ชายชุดแดงหันไปบอกกับชายชุดฟ้า“นายท่าน เมื่อครู่พวกนางเก็บสมุนไพรอยู่แถวนี้ เราลองถามพวกนางดูดีหรือไม่ขอรับ? ” ชายชุดฟ้าพยักหน้า ชายชุดแดงจึงมองมาทางพวกนางแล้วกล่าวถาม“ไม่ทราบว่าระหว่างทาง แม่นางทั้งสองพบเจอคนแปลกหน้าหรือเื่ประหลาดบ้างหรือไม่?”
เหอตังกุยทำท่าครุ่นคิดพลางพูดไปด้วย“คนแปลกหน้า... ก็คงจะมีแค่พวกท่านเท่านั้น ส่วนเื่ประหลาด...เื่ประหลาดที่เราได้พบในวันนี้คือการได้พบกับแขกในชุดเสื้อผ้าหรูหราและมีสำเนียงการพูดของคนเมืองกลุ่มหนึ่งระหว่างทาง ทั้งเก้าคนไม่ใช่พ่อค้าไม่ใช่ชาวนา ไม่ใช่ช่างตัดไม้ ไม่ใช่นายพรานไม่ใช่นักพรตและไม่ได้อาศัยอยู่ในป่าด้วยทว่าพวกเขากลับเดินไปตามทางในป่าอย่างใจเย็นเพื่อตามหาสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงทุกท่านเห็นว่าเื่นี้เป็เื่ประหลาดหรือไม่? ”
“ฮ่า ๆ ฮ่า ๆ ๆ! ”ชายชุดแดงปรบมือขณะหัวเราะเสียงดังลั่นคนที่เหลือเองก็มีประกายรอยยิ้มขึ้นทางแววตาเช่นกันชายชุดแดงจ้องมองมาที่เหอตังกุยด้วยสายตาเป็ประกายพลางขยับริมฝีปากกล่าว “น่าสนใจน่าสนใจจริง ๆ! คิดไม่ถึงเลยว่ากลางป่ากลางเขาเช่นนี้จะมีแม่ชีน้อยที่รู้เื่สมุนไพรเป็อย่างดีทั้งยังมีการพูดการจาที่น่าสนใจอยู่ด้วย! ”
เหอตังกุยส่งประกายรอยยิ้มบางๆ ออกมา “คุณชาย ท่านชมเกินไปแล้วไม่ทราบว่าทุกท่านยังมีเื่สงสัยประการใดอีกหรือไม่? ”
ชายในชุดแดงยกมือขึ้นกอดอกแล้วเอียงหน้าพลางหัวเราะขึ้น“แม่นาง อย่ากังวลใจไปเลย ความจริงแล้ว พวกเราล้วนเป็ขุนนางด้วยกันทั้งสิ้นเรากำลังตามจับคนร้ายที่อันตรายมากคนหนึ่ง ทว่าเมื่อตามมาถึงบนเขาคนผู้นั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยพวกเราจึงอยากจะลองถามแม่นางว่าเคยพบเจอคนที่มีท่าทางน่าสงสัยและได้รับาเ็หนักบ้างหรือไม่? ”
เหอตังกุยหัวใจกระตุกวูบพลันชื่อหนึ่งก็ปะทุขึ้นกลางใจ ‘จิ่นอีเว่ย’ องครักษ์เสื้อแพร!