Chapter 2
เ้าของร้านเหล้าอย่างเป้ที่ยังไม่ได้กลับบ้านั้แ่เมื่อคืนเดินถือแก้วกระเบื้องสีขาวที่มีน้ำสะอาดอุ่น ๆ ไปยังห้องทำงานของตัวเอง แล้วระหว่างนั้นโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นแจ้งเตือนขึ้น เป้จึงล้วงหยิบมันออกมา ชื่อที่ระบุอยู่บนหน้าจอทำให้เขาลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะฮึบกดรับสาย
“ว่าไงคะที่รัก?”
[พี่เป้!]
เป้รีบเอาโทรศัพท์ออกห่างจากใบหูทันที เมื่อ ‘เมียที่เคารพรัก’ แผดเสียงใส่ “จ๋า...หนูมีอะไรจ๊ะ?”
[เมื่อไหร่พี่จะกลับบ้าน? ...นี่ก็บ่ายแล้วนะ]
“ก็ไอ้เรียวมันยังไม่มารับเพื่อนมันเลย พี่ก็ต้องอยู่เฝ้าก่อนไง”
[พี่เป้ หนูเริ่มระแวงพี่แล้วนะ เื่ที่พี่บอกว่าต้องอยู่เฝ้าเพื่อนสนิทเรียว มันเป็เื่จริงหรือเปล่า?]
“หนูขา...เื่จริงสิ ถ้าไม่เชื่อพี่ หนูลองโทรถามไอ้เรียวเลยก็ได้”
ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งอย่างที่ไม่ค่อยเคยเป็นัก
[หนูจะให้เวลาพี่อีกหนึ่งชั่วโมง ถ้าพี่ยังไม่กลับบ้าน หนูจะโทรไปถามเรียวจริง ๆ]
“โอเคเลยค่ะ”
[…]
“หนู...ถึงพี่จะเคยเ้าชู้มาก่อน แต่พอพี่มาเจอหนู พี่ก็หยุดเลยนะ”
[พี่เป้ จำไว้นะ...ว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด]
พอเมียที่เคารพรักพูดประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นจบ อีกฝ่ายก็กดวางสายไปโดยไม่เอ่ยคำลา เป้เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม ก่อนจะยกมือขึ้นเกาหัวแกรก ๆ
ถ้าไม่ติดว่าไอ้เรียวเป็คนแนะนำ ‘น้องยี่หวา’ ซึ่งเป็เพื่อนในคณะของมันให้เขารู้จัก เป้อยากจะโทรไปด่ารุ่นน้องคนสนิทให้ยับ เพราะมันกำลังสร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวเขา ใจหนึ่งเป้ก็อยากให้ยี่หวาโทรไปถามเรียวให้รู้ความจริง แต่เขาก็เข้าใจว่าคนรักคงจะเกรงใจเรียว เ้าตัวถึงยอมต่อเวลาให้เขาอีกหนึ่งชั่วโมง
คนตัวสูงเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องทำงานของตัวเอง ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างอยู่ผลักประตูเปิด พอเข้ามาภายในห้องก็เห็นเฮียนั่งทำหน้าพะอืดพะอมอยู่บนโซฟาหนังตัวยาวเหมือนเดิม เพราะเ้าตัวตื่นมาด้วยอาการแฮงก์อย่างหนัก เขาจึงจะให้รุ่นน้องดื่มเครื่องดื่มแก้อาการแฮงก์ หากแต่รุ่นน้องบอกแค่ว่า ‘ผมขอแค่น้ำอุ่นก็พอพี่’ เป้เลยต้องออกไปต้มน้ำอุ่น ๆ ให้แทน
“อะ น้ำอุ่น ๆ” เป้ยื่นแก้วกระเบื้องสีขาวให้เฮีย อีกฝ่ายรับไปแล้วพยักหน้าเบา ๆ
“ขอบคุณครับพี่”
“ไม่เป็ไร ๆ”
เป้ลากเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งมาตั้งตรงหน้ารุ่นน้อง ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ เขาวางมือทั้งสองข้างลงบนขาตัวเอง แล้วจ้องมองเฮียที่กำลังดื่มน้ำอุ่น
เมื่อเช้าไอ้เรียวโทรมาบอกว่าได้เที่ยวบินมาถึงกรุงเทพฯ ได้เร็วที่สุดแล้ว และน่าจะถึงร้านของเขาตอนบ่าย เพราะเป้รู้ดีว่ารุ่นน้องพยายามจะมารับเพื่อนสนิทให้เร็วที่สุดอยู่แล้ว เขาจึงไม่อยากโทรเร่งอีกฝ่ายให้รู้สึกร้อนใจไปมากกว่านี้
“เมื่อคืนภาพตัดไม่รู้ตัวเลยพี่...มารู้สึกตัวอีกทีก็บ่ายเลย” เฮียเอ่ย หลังจากดื่มน้ำอุ่นเสร็จ
“ไม่ภาพตัดได้ไงอะ ดื่มไปเยอะขนาดนั้น”
“ขอโทษนะพี่...” เฮียทำหน้ารู้สึกผิดพลางก้มศีรษะลงเป็เชิงขอโทษ “...ผมรบกวนพี่มากเลย”
“เออ ๆ ไม่เป็ไรหรอก”
“เดี๋ยวผมกินน้ำหมดแก้วก็จะรีบกลับแล้ว...” เฮียพูดแบบนั้นด้วยเสียงแ่เบา แล้วก็ยกแก้วกระเบื้องขึ้นจรดริมฝีปาก
“เออ พี่ลืมบอกไป”
“...”
“เอ็งไม่ต้องกลับเองนะ เดี๋ยวไอ้เรียวมารับ...”
พรูด!!!
เหมือนว่าประโยคคำพูดของเขาจะสร้างความตื่นใให้อีกฝ่ายเป็อย่างมาก เฮียถึงกับเบิกตาโตแล้วพ่นน้ำอุ่น ๆ ที่เพิ่งดื่มไปใส่หน้าเขา แล้วคงเป็เพราะเป้นั่งอยู่ตรงหน้ารุ่นน้องพอดี น้ำอุ่นจากปากของเฮียจึงกระเด็นเลอะเต็มใบหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กระเด็นเข้าตาเข้าปากหมดเลย
ไอ้ห่าเอ๊ย!!
เมียกูยังไม่เคยทำกับกูขนาดนี้เลย
“พะ พี่เป้ ผมไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษนะพี่...”
“เออ แค่น้ำไม่เป็ไร ขอแค่อย่าเป็อ้วกก็แล้วกัน”
“เดี๋ยวผมไปหาผ้ามาเช็ดหน้าให้นะ” เฮียพูดพลางวางแก้วกระเบื้องลงบนชั้นข้างโซฟาหนัง แล้วกำลังจะลุกขึ้นไปหาผ้ามาเช็ดหน้าให้ เพราะเป้เห็นว่าอีกฝ่ายยังดูไม่ค่อยดีนัก เ้าตัวยังมีอาการแฮงก์อยู่ บวกกับเขาไม่ได้คิดถือสาอะไร จึงยกมือขึ้นเป็เชิงห้ามอีกฝ่าย “ไม่ต้อง ๆ ...เดี๋ยวพี่จัดการเอง”
เป้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปาดคราบหยดน้ำั้แ่หน้าผากลงมาจนถึง่ปลายคาง แล้วค่อยยกแขนเสื้อขึ้นมาซับใบหน้าที่เปียกชื้น ก่อนเอ่ยด้วยเสียงแ่เบา
“ดื่มน้ำทีละเยอะ ๆ เหมือนกันนะเอ็งอะ...”
“…”
“น้ำเลอะเต็มหน้ากูไปหมดเลย”
“ฮืออ...พี่เป้ น้องผิดไปแล้ว”
“เฮ้ย ไม่เป็ไร...” เป้ที่เช็ดหน้าตัวเองเสร็จแล้วเผยรอยยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นโบกไปมา “...พี่แค่พูดเล่น”
เฮียกลืนน้ำลายลงคอแล้วจ้องมองรุ่นพี่ ก่อนเอ่ย “ไอ้เรียวรู้เื่ที่ผมมาเมาเละที่ร้านพี่ด้วยเหรอ?”
“เออดิ พี่โทรไปบอกมันเองอะ แล้วมันก็เป็คนบอกให้พี่อยู่เฝ้าเอ็ง เดี๋ยวมันจะมารับเอ็งเอง”
“ตาย กูตายแน่ ๆ”
“ทำไม? เอ็งคิดว่าทั้งหมดนี้เป็ความคิดของพี่เหรอ?”
“อือ...ผมคิดว่าพี่ช่วยผมเอง”
“ไอ้น้อง ถึงพี่จะหล่อแล้วรวยมาก แต่พี่ก็ไม่ได้เป็คนจิตใจดีมีเมตตาขนาดนั้นหรอกนะ”
“ผมเริ่มเข้าใจที่ไอ้เรียวมันพูดแล้ว...มันบอกว่าบางครั้งพี่ก็ชอบพูดจาหน้าไม่อาย”
“ไอ้สัด!” เป้พูดปนหัวเราะ
ในขณะที่เป้ยังพอมีอารมณ์ขันได้ ทั้งที่เหลือเวลาอีกแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ทว่ารุ่นน้องอย่างเฮียกลับแสดงสีหน้าเป็กังวลอย่างเห็นได้ชัด เ้าตัวส่ายหน้าพลางลอบถอนหายใจหลายครั้ง ก่อนที่เสียงเปิดประตูจะเรียกความสนใจของเฮียให้หันไปมอง เป้ขมวดคิ้วอย่างสงสัยเมื่อเห็นดวงตาเรียวรีเบิกกว้างขึ้น พอเขาหันมองตามอีกฝ่ายไปทางประตูบานใหญ่ จึงเห็นการปรากฏตัวของ...
“ไอ้เรียว!”
“เออ กูเอง”
เป็ในตอนนี้เองที่เป้รีบลุกออกจากเก้าอี้ แล้วก้าวถอยห่างจากบริเวณนั้นมาหลายก้าว เพื่อให้ ‘เพื่อนสนิท’ ได้เคลียร์ปัญหากันเอง
เป้คิดว่าถ้าวันนี้เราไม่ต้องเจอกันด้วยสถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้ เขาอยากจะเอ่ยชมความหล่อของรุ่นน้องคนสนิทสักหน่อย
ไอ้เรียวเซตเรือนผมสีดำนิลเปิดหน้าผาก ทำให้เห็นคิ้วสีเข้มที่ถูกบากเป็เส้นตรงสองเส้นบริเวณหางคิ้วข้างขวา นั่นช่างรับกับดวงตาเรียวยาวคล้ายเหยี่ยว และเพราะมันยังมีจมูกโด่งเป็สันกับริมฝีปากบางเป็รูปกระจับอีก เขาเลยชอบคิดว่า ‘ไอ้เรียวแม่งเป็ลูกรักของพระเ้า’ มันถึงได้มีหน้าตาหล่อ ๆ แบบนี้
แต่ไม่ใช่หรอก ไอ้เป้
มึงต้องมองพ่อแม่เขาด้วย
พ่อแม่เขาก็หน้าตาดีเว้ย
ไม่เกี่ยวกับพระเ้าหรอก
และบวกกับวันนี้ที่มันแต่งตัวดูดีโคตร ๆ ด้วยการสวมเสื้อเชิ้ตคอจีนสีขาวแขนยาว แล้วพับแขนขึ้นมาจนถึงใต้ข้อศอก จึงเผยให้เห็นรอยสักรูปปลาสีแดงกับดอกบัวสีชมพูที่ท่อนแขนข้างขวา ชายเสื้อถูกสอดทับเข้าในกางเกงสแล็กสีกรม และสวมรองเท้าหนังสีน้ำตาลหัวตัด
ไอ้เรียวสาวเท้าไปหยุดยืนตรงหน้าเพื่อนสนิท มันจ้องมองเฮียที่นั่งทำหน้าพะอืดพะอมอยู่ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงเข้ม
“มึงมีอะไรจะแก้ตัวไหม อีน้ำแดง?”
เฮียไม่ตอบอะไรอีกฝ่าย แต่เ้าตัวทำแค่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเป็เชิงห้าม ไอ้เรียวทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้าเพื่อนสนิท ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าถังขยะใบเล็กที่วางอยู่ไม่ไกลจากโซฟาตัวยาวมาถือไว้
“อ้วกให้เรียบร้อย แล้วเราค่อยเคลียร์กัน”
พอไอ้เรียวพูดแบบนั้น เฮียก็ก้มหน้าลงไปกับถังขยะ แล้วปล่อยทุกอย่างออกมาทันที เป้ยืนมองภาพรุ่นน้องคนสนิทยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบหลังให้เพื่อนของมัน
ถ้ามันไม่ใช่ ‘ความรัก’ แล้วการที่คนคนหนึ่งรีบกลับมาหาอีกคน ทั้งที่ตัวเองก็อยู่ไกลมาก ๆ แล้วการที่คนคนหนึ่งยอมทำทุกอย่างให้โดยไม่รังเกียจแบบนี้ ทั้งหมดนี้มันเรียกว่าอะไรวะ?
เรียกว่า ‘เพื่อนสนิท ฉัน (แอบ) รักเธอ’ เหรอ?
“เมื่อวานก่อนมึงจะมาแดกเหล้า มึงแดกข้าวมาหรือยัง?”
คนที่โก่งคออ้วกจนแทบหมดไส้หมดพุงตอบด้วยการส่ายหน้า ทว่าหน้าของเฮียยังคงจ่ออยู่ที่ปากถังขยะ แล้วเป้ก็ส่ายหน้าเมื่อเห็นไอ้เรียวฟาดฝ่ามือลงบนศีรษะของเฮีย
ผัวะ!!
“มึงนี่มัน...ไม่ตบไม่ตีไม่ดีขึ้นเลยนะ ไอ้เหี้ย!”
“ฮืออ...อย่าตบหัวกู กูยังมึนหัวอยู่”
ไอ้เรียวส่ายหน้าอย่างเอือมระอาพลางเคลื่อนมือข้างที่ใช้ตบสั่งสอนเพื่อนสนิทลงไปลูบแผ่นหลังอีกฝ่ายเบา ๆ ส่วนมืออีกข้างยังคงถือถังขยะไว้ให้เฮียอยู่
วันนี้ทั้งสองคนทำให้เป้เห็นตัวอย่างของสำนวน ‘ตบหัวแล้วลูบหลัง’ ได้อย่างชัดเจน แล้วเขาก็คิดว่าควรจะปล่อยให้ ‘เพื่อนสนิท’ ทั้งสองคนได้อยู่กันเพียงลำพัง ส่วนเป้ก็ต้องรีบกลับไปรายงานตัวกับเมียที่เคารพรักแล้ว
เป้จึงเดินไปหยุดยืนข้าง ๆ รุ่นน้องคนสนิทที่นั่งลูบหลังให้เพื่อนอยู่ “มึง...”
ไอ้เรียวเงยหน้าขึ้นมองเขา ก่อนเอ่ย “ขอบคุณอีกครั้งนะพี่เป้”
“เออ ไม่เป็ไร”
“...”
“เดี๋ยวกูขอกลับบ้านก่อนนะ มึงก็อยู่ในห้องทำงานกูไปก่อนก็ได้ ถ้าเฮียดีขึ้นแล้วก็ค่อยกลับ”
ไอ้เรียวพยักหน้ารับ “…”
“แต่ถ้ามึงจะกลับกันแล้ว มึงช่วยไปบอกผู้จัดการร้านให้มาล็อกห้องให้กูหน่อยนะ”
“ได้พี่เป้”
“กูไปละ”
“ขับรถดี ๆ พี่”
“เออ”
เป้พยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะสาวเท้าเดินออกมาจากบริเวณนั้น ทว่าบทสนทนาของไอ้เรียวกับเพื่อนของมันทำให้หลุดยิ้มออกมาขณะผลักประตูเปิด
“เดี๋ยวมึงไปอาบน้ำที่เพนเฮาส์กูทีเดียวเลย”
“...”
“เพราะก่อนมาที่นี่ กูแวะไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านมึงมาให้แล้ว”
“จ้า...”
เฮ้อออออ...
รัก...ยังไงมันก็คือรักละวะ
ต่อให้เก็บซ่อนกันให้ตายยังไง
กลิ่นของความรักมันก็อบอวลขึ้นมาอยู่ดี
แต่!!!
ตอนนี้...กลิ่นอ้วกแทบจะกลบกลิ่นความรักหมดแล้ว!!!
#รักแท้ของผมคือคุณ
ปึ้ง!!
“อีน้ำแดง ปิดเบา ๆ หน่อย นี่รถเบนซ์ไม่ใช่รถสิบล้อ”
“ขอโทษจ้า”
เ้าของฉายา ‘อีน้ำแดง’ หรือ ‘อีน้ำส้วม’ กล่าวคำขอโทษกับเ้าของรถเบนซ์เบา ๆ ก่อนจะเอี้ยวตัวหันไปดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดลำตัว
ฉายา ‘อีน้ำแดง’ ของเฮียได้มาจากเมื่อหลายปีก่อน เขาเคยเล่าประวัติของไอ้ฟ้าตอนที่มันเรียนมัธยมให้น้องที่รัก ซึ่งเป็แฟนสุดที่รักของมันฟัง เฮียพูดประโยคหนึ่งที่เป็จุดเริ่มต้นของฉายานี้ว่า...
‘น้องรักเคยดูซีรีส์เื่ฮอร์โมนส์ไหม? ...พี่ฟ้าของน้องรักเหมือนพี่ไผ่เลยนะเวลามีเื่’
แต่มีอีกหนึ่งคนที่ร่วมสร้างฉายา ‘อีน้ำแดง’ ให้เขาโดยไม่รู้ตัว คนคนนั้นคือ ‘พันลี้’ เป็น้องชายเพียงคนเดียวของหมื่นฟ้า ในประโยคสนทนานั้น ไอ้ห่าพันลี้ดันถามขึ้นมาว่า...
‘แล้วใครเป็สไปรท์?’
อ่า...
เฮียเข้าใจคำถามนั้นดี...ว่าถ้ามีผู้ชายหล่อ ๆ อย่างพี่ไผ่แล้ว ก็ต้องมีผู้หญิงสวย ๆ อย่างสไปรท์อยู่เคียงข้าง แต่เพราะเขาก็รู้ดีว่า...พันลี้ตั้งใจตั้งคำถามกวนตีนกัน เฮียจึงตอบกลับไปอย่างกวนบาทาเหมือนกัน
‘ไม่มีหรอก...มีแต่อีน้ำแดงอย่างกูที่อยู่เคียงข้างมันตลอด’
และนี่ก็เป็ที่มาที่ไปของฉายา ‘อีน้ำแดง’ ที่หลังจากนั้นมา ทั้งตัวเขาเองและเพื่อน ๆ ก็พากันเรียกติดปากมาตลอด แต่อีกฉายาอย่าง ‘อีน้ำส้วม’ นั้นเกิดจาก ‘ผู้ชายปากร้าย’ อย่างไอ้เรียว
มันชอบสรรหาคำด่ามามอบให้เขาเสมอ และไอ้เรียวที่คอยแต่จะมอบคำด่าที่แสนสร้างสรรค์ให้กันก็เปลี่ยนฉายาของเขาจาก ‘อีน้ำแดง’ เป็ ‘อีน้ำส้วม’
แล้วก็...จ้ะ
ยินดีน้อมรับจ้ะ
ขอแค่ให้ทุกคนมีเสียงหัวเราะก็พอ
แต่ทว่าหลังจากเรียนจบมานี้ ไอ้เรียวแทบไม่สรรหาคำด่าใหม่ ๆ เลย มันกลับวนใช้แค่คำด่าเดิม ๆ อย่างเช่น ไอ้เหี้ย ไอ้สัด ไอ้ควาย เท่านั้น เฮียคิดว่าสาเหตุที่ทำให้ไอ้เรียวแ่ลงเกิดจาก...การที่มันต้องรับผิดชอบงานหลายอย่างมากขึ้น ทั้งธุรกิจส่วนตัวที่ทำร่วมกับไอ้ฟ้ามาั้แ่เรียนมหา’ ลัย และ่หลังยังต้องไปทำงานกับพ่อมันด้วย
ไอ้เรียวคงคิดว่าเก็บสมองไว้คิดเื่งานดีกว่าละมั้ง...
แล้วในระหว่างที่เฮียกำลังคิดเื่ของอีกฝ่ายอยู่นั้น เขาก็ได้กลิ่นหอมเหมือนสมุนไพรจีนลอยอยู่ใต้จมูก คนที่นั่งอยู่ข้างเรียวขยับจมูกฟุดฟิดคล้ายกำลังดมกลิ่นบางอย่าง ทว่ายังไม่ทันหันไปมองข้างหลังรถ คนข้างกายก็เอ่ยขึ้นก่อน...
“กลิ่นซุป...ซุปไก่ตุ๋นยาจีนที่มึงชอบกินแก้แฮงก์”
คนที่อยู่หลังพวงมาลัยเอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่ง ก่อนจะขับรถออกจากลานจอดรถ พอเฮียได้ยินแบบนั้นก็เบิกตาโตเล็กน้อย พร้อมยื่นมือไปตีที่ท่อนแขนของเพื่อนสนิท
แปะ!
“ไอ้เรียว นี่มึงไปรบกวนให้อาม่าต้มซุปไก่ให้กูเหรอ?”
“เออ!”
“ห่าเรียว กูเกรงใจอาม่า~” แม้เฮียจะรู้ดีว่าอาม่าของเพื่อนสนิทใจดีมากแค่ไหน และท่านก็เอ็นดูเขามาก ๆ แต่เฮียก็อดเกรงใจไม่ได้
“ถ้ามึงอยากหายแฮงก์เร็ว ๆ มึงก็ต้องแดกซุปของอาม่านี่แหละ”
“...”
“ไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้หรอก”
“สัดเอ๊ย...กูนี่แม่งแย่ว่ะ เดือดร้อนไปยันอาม่าเลย”
เฮียสบถด่าเสียงแ่อย่างรู้สึกผิดจริง ๆ เขาลอบถอนหายใจพลางต่อว่าตัวเองซ้ำ ๆ ก่อนจะเอนศีรษะพิงกับเบาะรถ แล้วคนที่ทอดสายตามองออกข้างนอกกระจกรถก็กำลังคิดว่า...
กูก็ไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อนเพราะกูหรอก
แต่เื่ที่เจอมาเมื่อวาน...แม่งสุดจะทนจริง ๆ
“ด่าตัวเองเสร็จหรือยัง?” ไอ้เรียวถามขึ้นเหมือนอ่านความคิดเขาได้
“ยัง”
“พอ...เลิกด่าตัวเองได้แล้ว”
“…”
“แล้วก็เล่าให้กูฟังว่าเกิดอะไรขึ้น มึงถึงต้องไปแดกเหล้าจนเมาเละขนาดนั้น”
“ถ้ากูเล่าให้มึงฟัง มึงต้องด่ากูเละแน่ ๆ”
“สภาพมึงยังเละได้มากกว่านี้อีกเหรอ?”
โอ้โห...
พ่อด่ามาแมตช์แรก
กูก็แสบหน้าไปหมดแล้ว
“เฮีย...เวลากูด่ามึง กูก็ไม่เคยด่าแบบไร้สาระเลยนะ ที่กูด่า ๆ มึงไปอะ ก็เพราะเป็ห่วงทั้งนั้น”
“กูรู้...กูถึงรู้สึกผิดอยู่นี่ไง”
“ขนาดรู้สึกผิดนะไอ้เหี้ย...”
“...”
“ถึงกูจะด่ามึงตลอด แต่ก็ไม่มีสักครั้งเลยที่กูจะไม่รับฟังมึง”
“…”
“ขอแค่มึงบอกกู...” เรียวละสายตาจากท้องถนนข้างหน้าแวบหนึ่ง แล้วหันมามองเขา “...ว่ามึงเป็อะไร ว่าใครทำอะไรมึง”
สิ่งที่เฮียรู้มาเมื่อวานนับเป็เื่ที่น่าเสียใจที่สุดแล้ว ทว่านั่นเทียบไม่ได้กับประโยคคำพูดของเพื่อนสนิทที่กรีดลึกลงไปในใจ แล้วทำให้รู้สึกเจ็บจุกมากกว่าหลายเท่า ไอ้เรียวหันกลับไปมองถนนข้างหน้าเหมือนเดิม ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
สาเหตุที่ทำให้เฮียรู้สึกเจ็บหัวใจเพราะเพื่อนสนิทเกิดจากความรู้สึกผิด ไอ้เรียวชอบบอกให้เขา ‘รักษาตัวเองดี ๆ’ แต่เขาก็ไม่เคยทำได้เลย อีกทั้งยังปล่อยให้ใครบางคนเข้ามาทำร้ายความรู้สึกได้อีก
ั้แ่เกิดมาบนโลกใบนี้ เฮียเคยมีความรักมานับครั้งได้ เขาเคยคบกับผู้หญิงตอนเรียนมัธยมปลายหนึ่งคน และคบกับแฟนผู้หญิงตอนเรียนมหา’ ลัยปีหนึ่งอีกหนึ่งคน และทุกครั้งเฮียก็จะโดนบอกเลิกก่อนตลอด หลังจากนั้นเฮียจึงครองโสดั้แ่ปีสองมาจนเรียนจบ
ระหว่างนั้นเขาไม่ได้รู้สึกโหยหาความรักมากมาย เพราะเฮียรู้สึกว่า ‘อยู่กับครอบครัว อยู่กับเพื่อนก็มีความสุขดีอยู่แล้ว’ แต่บางครั้งที่เห็นเพื่อนทยอยสละโสดกันไป แล้วได้เห็นคู่รักหวานชื่นอย่างหมื่นฟ้ากับที่รักจู๋จี๋กัน คนโสดอย่างเขาก็รู้สึกอิจฉาบ้าง แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาอยากรีบสละโสดตามไป
แต่เมื่อปีที่แล้ว...ความรักก็ได้เข้ามาทักทายเขาอีกครั้ง
‘อิม’ หนุ่มน้อยหน้าหล่อที่เรียนอยู่มหา’ ลัยชั้นปีที่สองได้เข้ามาทักทายเขา เราสองคนมักจะบังเอิญเจอกันที่ร้านกาแฟแถวบ้านเป็ประจำ ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยคุยกันเลยสักครั้ง แต่กลับรู้สึกคุ้นหน้ากันเพราะความบังเอิญนี้
เพราะความที่เราคุยกันถูกคอ เฮียจึงตัดสินใจให้ไลน์กับน้องไปทันทีที่เ้าตัวเอ่ยปากขอ หลังจากนั้นเราสองคนก็คุยกันมาเรื่อย ๆ เขาใช้เวลาศึกษาอีกฝ่ายมาสักระยะ ก่อนจะเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์จนกลายเป็คนรัก
การคบแฟนผู้ชายคนแรกนั้นไม่ได้ทำให้เฮียรู้สึกตัดสินใจยากอะไร เพราะเพื่อนสนิทของเขาอย่างหมื่นฟ้าก็มีคนรักเป็ผู้ชายเหมือนกัน แล้วความรักของหมื่นฟ้ากับที่รักก็แน่วแน่และมั่นคงมาตลอด แต่เฮียไม่ได้หมายความว่า...เมื่อเพื่อนมีแฟนเป็ผู้ชาย และมีความรักที่ดีแบบนั้นแล้วเขาจะอยากมีแฟนเป็ผู้ชายบ้าง
แต่เขากลับมองลึกลงไปกว่านั้น พร้อมตกตะกอนความคิดว่า...กรอบของความรักนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ ‘ผู้ชายกับผู้หญิง’ หากแต่ความจริงแล้ว ความรักไม่มีกรอบหรือขอบเขตเลยต่างหาก
ความรักให้อิสระแก่เรา และทำให้ ‘เรารู้จักรัก’ ความรักจึงเกิดได้ทั้งกับ ‘ผู้ชายกับผู้ชาย’ และ ‘ผู้หญิงกับผู้หญิง’ มันเกิดขึ้นได้หมด...เท่าที่ใจเราปรารถนาที่จะรัก
แต่สิ่งที่ใจไม่ปรารถนาก็ได้เกิดขึ้นหลังจากที่เขาคบกับอิมไปได้ครึ่งปี เพราะเฮียจับได้ว่าอีกฝ่ายนอกใจไปคุยกับคนอื่น ทั้งยังเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้วหลายครั้ง นั่นจึงทำให้เขาตัดสินใจเลิกกับอิมทันที ทั้ง ๆ ที่ยังรักอีกฝ่ายอยู่เต็มหัวใจ
เฮียใช้เวลาเยียวยาหัวใจตัวเองอยู่นานหลายเดือน โดยมีเพื่อน ๆ และครอบครัวคอยเป็กำลังใจให้ตลอด แล้วก็มีไอ้เรียวที่เป็คนคอยพูดเตือนสติเขาในหลาย ๆ ครั้ง
จนกระทั่งเมื่อวานซืนที่คนรักเก่าโทรมาหาเขา อิมโทรมาขอโทษกับเื่ทั้งหมดอีกครั้ง และบอกว่ายังรักเขาอยู่เหมือนเดิม แต่เพราะเขาคิดถึงคำพูดหนึ่งของไอ้เรียวขึ้นมา มันเคยบอกเขาว่า ‘อย่าปล่อยให้เขากลับมาทำร้ายมึงอีก เพราะเขาจะไม่ได้ทำร้ายแค่มึงคนเดียว แต่เขาจะทำร้ายทุกคนที่รักมึงด้วย’
เพราะประโยคคำพูดของเพื่อนสนิทที่ทำให้เฮียตัดสินใจกดวางสายไปโดยไม่ตอบอะไรอีกฝ่ายเลย แล้วเมื่อวานไอ้โก้ที่เป็หนึ่งในเพื่อนสนิทก็ส่งรูปของอิมกับผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งกอดกันอยู่ในร้านเหล้ามาให้เขาดูทางไลน์ มันเป็ตอนนั้นเองที่ทำให้เฮียรู้สึกว่า...
“เขาแม่ง...ยังคิดว่ากูโง่อยู่เหมือนเดิม”
“เพราะไอ้เด็กเหี้ยอีกแล้วเหรอ? ...ที่ทำให้มึงกลับไปแดกเหล้าหนัก ๆ อีก”
เฮียยังคงเอาศีรษะพิงเบาะเหมือนเดิม แล้วมองรถหลายคันวิ่งผ่านไปด้วยความรวดเร็วจนกลายเป็ภาพเบลอ “เออ...เมื่อวานซืนอิมโทรมาหากู”
“...”
“เพราะว่าเขาเอาเบอร์ใหม่โทรมาหากู กูไม่รู้ก็เลยรับสายไป”
“มันโทรมาหามึงทำไม?”
“ถ้ากูพูดไป...กูก็กลัวมึงอ้วกจะพุ่ง”
“มึงอย่าบอกนะ...ว่ามันพูดว่ายังรักมึงอยู่”
เฮียหัวเราะเบา ๆ ก่อนเอ่ย “จะเดาเก่งไปไหน...”
“ไอ้สัด! กูรู้สึกเหมือนอ้วกจะพุ่งจริง ๆ”
“...”
“มันทำกับมึงขนาดนั้นแล้วยังกล้ามาบอกว่ารัก ไม่เรียกว่าตอแหลแล้วเรียกว่าอะไร?”
“เรียกว่า ‘เหี้ย’ ...เหี้ยที่ไม่ได้หมายถึงชื่อกูอะ”
ไอ้เรียวหัวเราะหึ ก่อนเอ่ย “มึง...ไม่ต้องตลกตลอดเวลาหรอก”
“…”
“มึงแค่เป็คนตลก ไม่ใช่ตัวตลก”
“...”
“ถ้าคนอื่นจะเห็นมุมเศร้า ๆ ของมึงบ้างก็ไม่เป็ไรหรอก”
เฮียหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเพื่อนสนิท ก่อนเอ่ย “เพราะว่ากูคิดถึงคำพูดของมึง กูถึงไม่กลับไปเป็ไอ้โง่ให้เขาหลอกอีก”
“...”
“กูกดวางสายไปเลย...”
“แล้วมันโทรมาหามึงอีกไหม?”
“ไม่โทร...แต่ไอ้เหี้ยโก้นี่สิ เหมือนรู้ว่าอิมกลับมาหากูอีก เมื่อวานแม่งถ่ายรูปอิมกับผู้ชายที่ไหนไม่รู้มาให้กูดู” เฮียแค่นหัวเราะเบา ๆ ก่อนเอ่ยต่อ “...แม่งกอดกันกลมเลย ไอ้สัด”
“เฮีย...กูถามจริง ๆ มึงยังรักมันอยู่ไหม?”
“กูไม่ได้รักเขาแล้ว”
“...”
“...ที่มึงถามว่าเพราะอะไรที่ทำให้กูแดกเหล้าจนเมาเหมือนหมาขนาดนั้น มันไม่ใช่เพราะกูยังรักเขาอยู่หรอก แต่มันเป็เพราะกูรู้สึกเจ็บใจมากกว่า”
“...”
“เจ็บใจที่ถูกหลอกมาตั้งนาน แล้วเขาก็ยังคิดจะกลับมาหลอกกูอีก เขาแม่งไม่สำนึกผิดอะไรเลย”
“...”
“จะให้กูบุกไปต่อยหน้าเขาถึงคอนโดให้หายเจ็บใจก็กลัวเขาสวนกลับแล้วจะสู้ไม่ได้ กูก็เลยเลือกไปแดกเหล้าแทน”
“ขนาดโดนกูกระทืบหน้าไปตั้งหลายทีนะ มันยังไม่สำนึกอีก”
เป็ตอนนี้ที่เฮียยื่นมือไปฟาดที่ท่อนแขนของเพื่อนสนิทอีกครั้งจนดัง ‘แปะ’ ก่อนเอ่ย “ไอ้เรียว”
“อะไร?”
“มึงอย่าไปกระทืบเขาอีกนะ”
“...”
“กูไม่ได้เป็ห่วงเขาหรอก แต่กูกลัวเขาจะแค้นฝังหุ่นแล้วกลับมาเอาคืนมึง”
“ก็ถ้ามึงห้ามกูเพราะเป็ห่วงไอ้เด็กเหี้ยนั่นนะ กูจะกระทืบมึงแทน”
เฮียหัวเราะเบา ๆ แล้วเอ่ย “มึง...”
“ไร?”
“กูขอโทษนะ...”
“...”
“ขอโทษที่ทำให้เป็ห่วง”
“ไม่เป็ไร ครั้งนี้กูฟังเหตุผลของมึงแล้วก็พอเข้าใจได้”
“…”
“แต่ทีหลังไม่ต้องทนเจ็บใจหรอก ขอแค่มึงบอกกู...เดี๋ยวกูไปจัดการให้ถึงที่เลย”
“ใจเย็นเถอะพ่อ...อายุก็เพิ่งเท่านี้เอง จะรีบด่วนจากไปไหนอะ”
“ไอ้สัด...” เรียวพูดปนหัวเราะ ก่อนเอ่ยต่อ “...ตอนกูแวะไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านมึง พ่อมึงบอกว่า...ถ้ามึงยังไม่สร่างเมา ก็ยังไม่ต้องพาไปส่งบ้าน”
“บ่งบอกเลยว่าป๊ารักกูมากกก”
“...”
“แล้วมึงตอบเขาไปว่าอะไร? ...ไม่ปฏิเสธเขาอีกดิ”
“เออ...กูก็บอกไปว่าจะพามึงไปอยู่เพนเฮาส์กูก่อน”
“ป๊าไม่รู้หรอก...ว่ากำลังฝากลูกไว้กับผู้ชายร้ายกาจอย่างมึง”
ไอ้เรียวหัวเราะในลำคอ ก่อนจะละมือข้างหนึ่งออกจากพวงมาลัย แล้วยื่นมือมาผลักหัวเขาเบา ๆ “ปากดี อีน้ำแดง”
“อย่างอื่นก็ดีนะ ลองไหมจ๊ะ?”
“ตีนกูก็รสชาติดีนะ มึงอยากลองไหมล่ะ?”
“ไม่ล่ะจ้ะ แฮงก์ ๆ แบบนี้...ขอกินซุปของอาม่าดีกว่า”
“มึงรู้ไหม? ...การที่มึงเป็ผู้ชายพูดจ๊ะจ๋าอะ มันทำให้มึงดูกวนตีนขึ้นหลายเท่าเลย”
“พอมึงพูดแบบนี้ กูก็รู้สึกปลดล็อกข้อสงสัยในใจเลย”
“ปลดล็อกอะไร?”
“ก็ตอนที่พวกเราเรียนมัธยมอะ กูสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงเรียกตีนเก่งที่สุดในกลุ่ม”
“...”
“ตอนนี้กูรู้แล้ว...มันเป็เพราะกูพูดจ๊ะจ๋านี่เอง”
ไอ้เรียวหัวเราะเบา ๆ พลางส่ายหน้า “กูปวดหัวกับมึงจริง ๆ เลยอีน้ำแดง”
เฮียมองใบหน้าของเพื่อนสนิทที่มีรอยยิ้มจาง ๆ ประดับอยู่บนใบหน้า เขาเผยรอยยิ้มบาง ๆ ตามอีกฝ่าย ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลงเพราะยังรู้สึกเวียนหัวอยู่บ้าง ทว่าเสียงเอ่ยเรียกของไอ้เรียวทำให้เขาเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง
“ไอ้เฮีย...”
“ว่าไง?”
“พอมึงพูดถึงตอนที่เราเรียนมัธยม มันก็ทำให้กูคิดถึงวันนั้น…”
“วันไหน?”
“วันที่มึงวิ่งไปช่วยไอ้โก้จนเกือบโดนไม้หน้าสามฟาดหน้าไง”
“...”
ไอ้เรียวนิ่งเงียบไปเพียงชั่วครู่ ก่อนจะละสายตาจากทางข้างหน้าแวบหนึ่ง แล้วหันมาสบสายตากับเขา แล้วมันก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “มึงช่วยรักตัวเองให้มากกว่านี้หน่อยได้ไหมวะ?”
“...”
“อย่ารักคนอื่นมากกว่าตัวเอง”
“...”
“กูเห็นมึงรักคนอื่นมากกว่าตัวเองตลอดเลย”
“...”
“ทั้งเพื่อน ทั้งแฟน”
“...”
“แล้วเวลาเกิดอะไรขึ้น...คนที่พังคนแรกก็คือมึงเอง”
“...”
“ไม่มีใครพังไปกับมึงด้วยหรอก”
“...”
“เพราะทุกคนก็รักตัวเองทั้งนั้น”
“มึงพูดเหี้ยอะไรเนี่ย...กูจุกไปหมดเลย”
เฮียพูดปนหัวเราะ เพราะสิ่งที่เพื่อนสนิทพูดนั้นช่างตลกร้าย คงเพราะเขาเป็คนที่ทุ่มเทให้ทุกความสัมพันธ์เสมอ ไม่ว่าจะเป็ความสัมพันธ์ในรูปแบบเพื่อนหรือคนรัก เฮียพร้อมจะเทความรักให้เต็มร้อยเสมอ แล้วสุดท้ายก็จบที่...ความรู้สึกพังทลายเพราะผิดใจกับเพื่อน หรือเจ็บเจียนตายเพราะโดนคนรักหลอกลวง
มันเป็จริงอย่างที่ไอ้เรียวพูด...
“กูไม่ตลก...”
“เออ กูรู้...”
“มึงจำที่กูเคยบอกว่ามึงเป็คนใจดี เป็คนง่าย ๆ อะไรก็ได้จนทำให้คนอื่นชอบเอาเปรียบมึงได้ปะ?”
“เออ จำได้”
“ครั้งนั้นกูบอกมึงว่า...การที่มึงเป็คนแบบนั้นมันไม่ผิดเลย มันดีด้วยซ้ำ แต่มึงแค่ต้องปรับใช้กับแต่ละคนเท่านั้นเอง คนไหนดูหัวหมอมึงก็ไม่ต้องใจดีด้วย ส่วนคนไหนพอโอเคก็ใจดีด้วยได้”
“แล้วมึงก็บอกกูอีกว่า...หัดปฏิเสธบ้าง ถ้ากูไม่อยากทำ ไม่ต้องตอบอะไรก็ได้ตลอด”
“เออ...แล้วมึงก็ทำตามที่กูแนะนำได้หมด”
“...”
“ครั้งนี้กูคิดว่ามึงก็น่าจะทำได้เหมือนกัน”
“…”
“เข้าใจที่กูพูดไหม?”
เฮียมองคนข้างกายที่มองท้องถนนข้างหน้า ก่อนจะพยักหน้ารับเบา ๆ “เออ...กูเข้าใจ”
“...”
“กูจะไม่กลับไปแดกเหล้าเมาเป็หมาแบบนั้นแล้ว ถ้าเขากลับมาทำให้กูเจ็บใจอีก กูจะเอาขี้ไปปาที่คอนโดเขา แล้วก็วิ่งหนีออกมา”
ไอ้เรียวหัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วพูดว่า “เออ ดี รู้ว่าสู้ไม่ได้ก็วิ่งหนีออกมา แล้วเดี๋ยวกูขับรถไปรับมึงเอง”
เฮียอมยิ้ม แล้วค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง “กูจะรักตัวเองให้มากขึ้น...อย่างที่มึงบอก”
TBC
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้