หลังจากเอ่ยเตือน มู่จื่อหลิงไม่แม้แต่จะหันมองพวกเขาอีก นางย่อกายลงสงบสติอารมณ์ แล้วใช้ระบบซิงเฉินตรวจสอบสาเหตุการตายของคนเหล่านี้
เมื่อพิจารณาจากเศษเนื้อเน่าบนร่างกายแล้ว พวกเขาต้องถูกบางอย่างกินเข้าไปเป็แน่
บางที อาจมีสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้จักอย่างที่หลินเกาฮั่นกล่าวถึงในถ้ำนี้จริงก็เป็ได้
ราวกับว่าร่างกายของพวกเขาถูกทุบเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย เืไหลนองไปทั่ว แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตายไม่ใช่เพราะร่างกายของพวกเขาถูกทุบ แต่เป็เืพิษสีดำบนร่างกายของพวกเขา
พวกเขาถูกพิษจนเสียชีวิต จากนั้นศพก็ถูกทำลาย
พิษนี้เป็พิษที่ระบบซิงเฉินไม่สามารถตรวจจับได้ มู่จื่อหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าของนางเคร่งขรึม มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในดวงตาของนาง
แม้จะไม่สามารถตรวจจับได้ แต่พิษนั้นไวต่ออุณหภูมิอย่างมาก
ทันใดนั้น ประกายแห่งแรงบันดาลใจก็แวบเข้ามาในความคิดของมู่จื่อหลิง ยาที่นางกลั่นขึ้นเพื่อต่อสู้กับกู่ซากศพในยามนี้มีฤทธิ์แรงเกินไป สิ่งที่ขาดหายไปคือยาฤทธิ์อ่อนแต่กลับสามารถเสริมจนอันตรายถึงตายได้
ยามนี้ไม่รู้ว่าพิษนี้จะได้ผลหรือไม่...มู่จื่อหลิงเดาอยู่ในใจเงียบๆ แต่สถานที่ในยามนี้ไม่เหมาะแก่การค้นคว้าเลย ดังนั้นควรกลับไปพักก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“หวางเฟย คนเหล่านี้ดูเหมือนถูกหนูกัด” กุ่ยเม่ยมองดูซากศพที่กระจัดกระจายด้วยใบหน้าตึงเครียด และอดคาดเดาไม่ได้
เนื้อละเอียดนี้ดูเหมือนถูกหนูกัด แต่มู่จื่อหลิงกลับส่ายหัวปฏิเสธทันที
นางมองไปรอบๆ อย่างแ่เบา ก่อนพูดอย่างจริงจังว่า “ไม่ใช่ ดูผนังถ้ำนี้สิ ไม่มีซอกมุม ที่นี่ไม่มีแม้แต่รูเล็กๆ ไม่มีที่ให้หนูหลบซ่อน”
การจ้องมองที่เฉียบคมของกุ่ยเม่ยกวาดไปทั่วถ้ำ ไม่พลาดจุดที่น่าสงสัยแม้เพียงเล็กน้อย
ก็ใช่ ถ้ำขนาดใหญ่นี้แทบไม่มีสิ่งกีดขวาง
ไม่รู้ว่าเป็เพราะศพอยู่ในถ้ำมีมากเกินไปหรือไม่ แม้แต่หญ้าก็ไม่มีสักต้น นอกจากทะเลสาบใหญ่และน้ำตกอันยิ่งใหญ่แล้ว ที่นี่ไม่มีแม้แต่ก้อนกรวด
แม้ว่าผนังด้านในจะไม่สม่ำเสมอ แต่มันแ่าเสียจนไม่มีแม้แต่รูเล็กๆ ให้หนูวิ่งผ่าน จะมีหนูได้อย่างไร หากมีจริงๆ ก็ต้องเป็หนูที่สามารถบินบนฟ้าหรืออยู่ในน้ำได้เท่านั้น
มู่จื่อหลิงสกัดเืพิษสีดำจากคนตายเ่าั้ แล้วใส่เข้าไปในระบบซิงเฉิน จากนั้นจึงยืนขึ้น พูดเบาๆ “ไม่ว่าจะเป็อะไรก็ตาม สถานที่นี้อยู่ไม่ได้นาน ไปดูตรงนั้น เราจะออกไปทันทีที่เราพบเบาะแสเพิ่มเติม”
สัญชาตญาณบอกนางว่า ยิ่งสถานการณ์แปลกประหลาดมากเพียงใด ก็ยิ่งอันตรายมากเพียงนั้น...มู่จื่อหลิงเม้มริมฝีปากของนางด้วยความคิดที่ยังคลุมเครือ
กุ่ยเม่ยพยักหน้า เดินตามรอยเท้ามู่จื่อหลิง ระมัดระวังอยู่เสมอ
ในทางกลับกัน ด้านพวกหมอหลวงหลินทั้งสามคน
หลังจากได้รับคำเตือนอย่างดุดันและเข้มงวดจากมู่จื่อหลิง นอกจากจะใกับเหตุการณ์ในตอนนี้แล้ว ผ่านมาสักพักใหญ่หมอหลวงหลินก็ยังไม่อาจคืนสติกลับมาได้
เมื่อเขากลับมามีสติอีกครั้ง พวกมู่จื่อหลิงก็เดินเข้าไปข้างในแล้ว
หมอหลวงหลินแสร้งทำเป็สงบ มองพวกมู่จื่อหลิง ด้วยสายตามืดมน
เหตุที่เขายอมตามเข้าไป เป็เพราะเขาอยากรู้ในสิ่งที่เขาอยากรู้มาตลอด ยามนี้ยายตัวแสบผู้นี้เข้ามาเพื่อหาเบาะแส เขาจึงต้องทำตาม ไม่เช่นนั้นความอดกลั้นทั้งหมดที่ใช้ไปก่อนหน้านี้จะสูญเปล่า
นอกจากนี้ พวกเขาอยู่ตรงนี้มานานโดยไม่มีปัญหา ดังนั้นที่นี่ไม่น่าจะมีอะไรอันตรายใดอีก
นอกจากนี้ จากที่มู่จื่อหลิงกล่าวมา เป็ที่ชัดเจนว่าในถ้ำนี้ไม่มีอะไรซ่อนอยู่เลย
หมอหลวงหลินแอบคิดแง่ดีอยู่ในใจ
ในยามนี้ ใจของหมอหลวงหลินไม่มีวันยอมรับ ว่าตนถูกบังคับโดยกลิ่นอายอันสง่างามของมู่จื่อหลิง ชั่วขณะหนึ่งเขาคิดว่าเหตุผลที่เขาเข้ามาก็เพื่อ้าทราบเกี่ยวกับโรคระบาดเท่านั้น
แม้ในใจจะยังกลัว แต่ยามนี้เขาไม่สามารถถอยได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงเข้าไปเท่านั้น ดังนั้นหมอหลวงหลินจึงกัดฟันแน่น อดทนต่อความเ็ปอย่างต่อเนื่องที่มือของตน ให้เด็กหนุ่มทั้งสองพยุงพาเขาตามเข้าไป
......
ก้าวข้ามซากศพน่าขยะแขยงบนพื้นอย่างระมัดระวัง มู่จื่อหลิงเดินไปที่ริมทะเลสาบขนาดใหญ่ หรี่ตาลงเล็กน้อย สังเกตสถานการณ์ของ ‘น้ำตกกำแพงมนุษย์’
เพราะระยะทางเมื่อครู่ทำให้เห็นไม่ชัด แต่ยามนี้มองเห็นได้ชัดเจนแล้ว
กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวเหนือ ‘น้ำตกใหญ่’ นี้ไหลบ่ามาจากไหนไม่อาจทราบ แต่ยามนี้มู่จื่อหลิงแน่ใจแล้วว่า แหล่งน้ำที่นี่จะไหลไปถึงเมืองหลงอัน เป็น้ำดื่มที่จำเป็สำหรับชีวิตประจำวันของผู้คนในเมืองหลงอัน
เนื่องจากในอีกทางหนึ่งของทะเลสาบในถ้ำแห่งนี้มีรูเล็กๆ ที่ขนาดหนึ่งคนนอน สิ่งปฏิกูลเน่าเหม็น รวมถึงโคลนในทะเลสาบไหลเชี่ยวออกไปตามรูเล็กๆ นี้ ซึ่งทิศทางนี้เป็ทิศทางไปยังเมืองหลงอันพอดี
เหตุที่มู่จื่อหลิงมั่นใจเช่นนั้นก็เพราะกุ่ยเม่ยได้สังเกตสภาพแวดล้อมภายนอกถ้ำมาก่อน และมีธารน้ำใสไหลยาวอยู่นอกถ้ำที่ทอดยาวไปยังเมืองหลงอัน
เมื่อสำรวจโครงกระดูก รวมถึงซากศพเน่าเปื่อยอย่างใกล้ชิด
แม้ว่าศพเ่าั้ส่วนใหญ่จะกลายเป็ซากไปแล้ว แต่ก็ยังมีที่เป็เนื้อหลงเหลืออยู่เลือนราง
เนื่องจากการแช่น้ำทำให้เน่าเหม็น เนื้อเปื่อยจนมองไม่เห็นใบหน้าเดิม แต่จากเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดของคนเ่าั้ เห็นได้ว่า...
“คนเหล่านี้...” มู่จื่อหลิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเล็กน้อย
ศพนับพันเหล่านี้มีทั้งชายและหญิง แต่ส่วนใหญ่เป็ผู้หญิง มองจากเครื่องประดับตกแต่งบนศพของพวกนาง สามารถบอกได้ว่าเป็หญิงสาวที่มีฐานะดี
ผู้หญิง...ใครกันที่ใจร้ายได้ถึงเพียงนี้? ไร้มนุษยธรรม? ร่องรอยของความประหลาดใจฉายแววในดวงตาของมู่จื่อหลิง
ยามเห็นภาพนี้ ใบหน้าของกุ่ยเม่ยก็จริงจังมากขึ้น ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบางสิ่ง ร่องรอยความซับซ้อนปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
เมื่อเห็นความสงสัยในดวงตาของมู่จื่อหลิง กุ่ยเม่ยจึงกระซิบข้างหูนาง “ตำหนักหลักขององค์ชายใหญ่อยู่ในเมืองหลงอันพอดีพ่ะย่ะค่ะ”
ประโยคง่ายๆ แต่กลับเปิดเผยข้อมูลมากมาย
องค์ชายใหญ่? หลงเซี่ยวหลี!
ยามนึกถึงชื่อนี้ ดวงตามู่จื่อหลิงก็เป็ประกาย ทันใดนั้นดวงตาของนางก็เบิกกว้าง นางเข้าใจทุกอย่างในทันที จึงร้องอุทานว่า “เป็เขา!”
หลงเซี่ยวหลี! ที่แท้ก็คือหลงเซี่ยวหลี! เ้าสวะบ้ากามผู้นั้น!
ในยามนี้ มู่จื่อหลิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป
นางยังจำได้ว่ายามนั้นนางวางยาพิษหลงเซี่ยวหลี กีดกันไม่ให้เข้าใกล้ผู้หญิงได้อีก ในตอนท้ายยังได้ยินหลงเซี่ยวหลีกล่าวว่าเป็เพราะเหตุนี้ เหล่าสนมในตำหนักของหลงเซี่ยวหลีจึงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วข้ามคืน
คาดไม่ถึงว่าคนเหล่านี้จะ...
ใบหน้ามู่จื่อหลิงซีดลงทันที เช่นนี้ก็สามารถกล่าวได้ว่า นางฆ่าคนเหล่านี้ทางอ้อม
เดิมทีนางคิดว่าการหายตัวไปของผู้คนจำนวนมากอาจเป็เพราะการถูกไล่ออกไป แต่นางไม่คิดว่า...หัวใจของมู่จื่อหลิงเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและความโกรธตลอดเวลา
มู่จื่อหลิงขมวดคิ้วถามอย่างใจเย็น “โครงกระดูกด้านล่างดูเหมือนว่าจะมาจาก่เวลานั้น แต่เห็นได้ชัดว่าซากศพ้านั้นเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน คนผู้นั้น เขาคงไม่ได้...เป็ไปได้อย่างไรที่เขา...”
เนื่องจากคนชราอย่างหมอหลวงหลินอยู่ มู่จื่อหลิงจึงไม่พูดสิ่งที่อยากพูดจนจบ
แต่สิ่งที่นาง้าจะพูดก็คือ ในครั้งต่อจากนั้น เนื่องจากหลงเซี่ยวหลีถูกนางวางยาอีกครั้ง การวางยาพิษจากนางอีกครั้งนั้นนางทำให้เขาแผดเผาตนเองด้วย ‘ความปรารถนา’ ในซ่องโสเภณี จนถูกฮ่องเต้เหวินอิ้นคุมขังเป็เวลานานถึงหกเดือน เขาจะสังหารคนมากมายได้อย่างไร?
แม้ว่านางจะพูดไม่จบ แต่กุ่ยเม่ยเข้าใจ เขาจึงกระซิบคำไม่กี่คำข้างหูของนางอีกครั้ง
หมายความว่าฮ่องเต้เหวินอิ้นทรงสั่งกักบริเวณพวกหลงเซี่ยวหลีไว้ในตำหนัก แต่พระองค์ย่อมไม่สามารถยับยั้งสันดานแสนอุบาทว์ของเขาได้
สันดานหมาชอบกลับไปกินขี้ไม่อาจเปลี่ยนได้ [1]
หลังจากได้ยินคำพูดของกุ่ยเม่ย ดวงตาของมู่จื่อหลิงก็ฉายแววประหลาดใจ จากนั้นนางจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ใช่แล้ว สำหรับคนอย่างหลงเซี่ยวหลี การกักบริเวณในตำหนักเป็เพียงการทำให้เขาไม่อาจออกไปไหนได้ ไม่ได้หมายความว่านิสัยของเขาจะหายไป ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ทำสิ่งชั่วร้ายอีก
เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังพูดถึงปริศนาที่เขาไม่เข้าใจ หมอหลวงหลินรู้สึกรำคาญอยู่พักหนึ่ง!
ไม่เข้าใจ จะเข้าไปถามตรงๆ ก็ไม่ได้ หมอหลวงหลินทำได้เพียงแอบสังเกตโดยพยายามมองให้เห็นอะไรบางอย่างจากดวงตาของพวกเขา...
ศพนับพันกองทับซ้อนกันเป็ชั้นๆ กระดูกที่อยู่ล่างสุดนั้นเหมือนจะเกิดขึ้นก่อนหน้า ส่วนที่อยู่้าราวกับเพิ่งเน่าเปื่อยเมื่อไม่นานมานี้ คาดไม่ถึงว่าหลงเซี่ยวหลีจะไร้มโนธรรมได้ถึงเพียงนี้
ยามมองขึ้นไปบนน้ำตกสูง มู่จื่อหลิงก็ต้องใซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้ว่าคนเ่าั้จะติดตามหลงเซี่ยวหลี แต่พวกเขาส่วนใหญ่ไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน มีกี่พันชีวิตอยู่ตรงหน้า...หมัดของมู่จื่อหลิงที่อยู่ใต้แขนเสื้อกำแน่น ร่างกายสั่นน้อยๆ
ยามเห็นความผิดปกติของมู่จื่อหลิง ความไม่พอใจปรากฏขึ้นในดวงตาของกุ่ยเม่ย
นายท่านขอให้เขากับกุ่ยหยิ่งตรวจสอบเื่นี้ก่อนหน้า แต่พวกเขาไม่พบเบาะแสใดๆ เลยว่าคนเหล่านี้หายไปไหน อีกทั้งนายท่านยังสั่งไม่ให้พวกเขาบอกเื่นี้กับหวางเฟย
แต่ยามนี้ ทั้งหมดเป็เพราะคำพูดไม่รู้จักคิดของเขา...กุ่ยเม่ยมองมู่จื่อหลิงอย่างกังวลใจ อยากอธิบายต่อ “หวางเฟย คือเื่นี้...”
“ไม่เป็ไร ควรทำเื่สำคัญก่อน” มู่จื่อหลิงขัดจังหวะเขา นางหายใจเข้าลึกๆ สงบสติอารมณ์ สีหน้ากลับมาเป็ปกติอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม หมอหลวงหลินผู้แอบสังเกตการณ์จากด้านข้าง เขาซึ่งจัดการกับเหล่าหญิงสาวในวังหลังตลอดทั้งปี ย่อมเก่งในการสังเกตคำพูดและท่าทางคน
ในเวลานี้เขายังสังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของมู่จื่อหลิง
หรือนางรู้เกี่ยวกับความตายของคนบางคน? หรือว่าเื่นี้เกี่ยวข้องกับยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้? หมอหลวงหลินแอบเดาในใจ
หากเป็เช่นนี้...หมอหลวงหลินแอบปลื้ม หากชีวิตนับพันเหล่านี้เกี่ยวข้องกับนางจริง แม้จะได้รับความคุ้มครองจากฉีอ๋อง มู่จื่อหลิงก็ยากที่จะหนีพ้น
“ศพเหล่านี้...” หมอหลวงหลินแสร้งทำเป็สงสัย เอ่ยถามอย่างสบายๆ “หรือว่าหวางเฟยทรงทราบที่มาและสาเหตุการตายของคนเหล่านี้?”
อารมณ์ของมู่จื่อหลิงฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว นางมองหมอหลวงหลินอย่างเฉยเมย ดวงตาเ็าสงบนิ่งราวกับทะเลสาบ ไม่มีสิ่งใดเลย
หลังจากนั้น นางจึงนั่งยองลงไปอีกครั้ง ตรวจดูน้ำสกปรกในทะเลสาบโดยไม่สนใจคนชรานั้นโดยตรง
เมื่อเห็นว่ามู่จื่อหลิงเพิกเฉยต่อเขา หมอหลวงหลินก็มั่นใจในการเดาของตนมากขึ้น เขาพยายามต่อไป “หวางเฟย ท่านรู้...”
“รู้แล้วอย่างไร? ไม่รู้แล้วอย่างไร? ท่านอยากได้ผลงานในเื่นี้หรือ?” มู่จื่อหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เงยหน้าขึ้น มองหมอหลวงหลินอย่างหมดความอดทน พูดเน้นทีละคำว่า “ขอบอกเ้า อย่าพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เ้าไม่มีคุณสมบัติรับรู้ด้วยซ้ำ!”
มู่จื่อหลิงทำให้หมอหลวงหลินแทบกระอักตายอีกครั้ง
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่า ดูเหมือนยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้จะรู้ว่าในใจเขากำลังคิดถึงสิ่งใด การค้นพบนี้ทำให้หมอหลวงหลินหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น
มู่จื่อหลิงคร้านเกินกว่าจะมองเขาอีก นางสวมถุงมือ นำภาชนะขนาดเล็กออกมา ก้มหน้าลงไปเล็กน้อย ตักสิ่งปฏิกูลบางส่วนมาเก็บไว้
สีหน้าของหมอหลวงหลินมืดมนมากขึ้นเรื่อยๆ ดวงตามืดมนคู่นี้จ้องมองร่างเล็กของมู่จื่อหลิงที่กำลังนั่งหมอบต่ำ ดวงตาช่างคิดมากเล่ห์แฝงแววเ็า
มู่จื่อหลิงเก็บสิ่งปฏิกูลสกปรกเข้าไปในระบบซิงเฉิน กำลังจะลุกขึ้น
แต่ในเวลานี้......
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] สันดานหมาชอบกลับไปกินขี้ไม่อาจเปลี่ยนได้ (狗,始终是改不了吃屎的) เป็วลี มีความหมายว่า คนที่มีนิสัยแย่ๆ แก้ไม่ได้