เมื่อส่งิเยี่ยออกเดินทางแล้ว ิหยวนจึงตั้งใจจะกลับบ้าน แต่ทว่าเห็นซื่อเอ๋อร์ บ่าวรับใช้ของโหวอิงควบม้ามาตามหาเขาเสียก่อน ท่าทางเร่งรีบมากจนเกือบหยุดม้าไม่ทัน แถมยังเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้าทั้งที่ยังหอบหายใจแรง “หยวนเก้อเอ๋อร์ นายท่านเรียกท่านไปหา…”
ิหยวนเห็นเขารีบรายงานทั้งที่ยังหอบหายใจ ก็พลันคิดว่าอาจเกิดเื่ใหญ่ จึงะโขึ้นม้ารีบมุ่งหน้าไปสำนักศึกษาด้วยความเร็วราวกับเหาะ
มาถึงประตูสำนักศึกษา เขาก็ะโลงจากหลังม้า ด้านซื่อเอ๋อร์ควบม้าตามหลังมาติดๆ เพื่อบอกสองคำสุดท้ายแก่ิหยวน “...เพื่อกินข้าว”
ิหยวนชะงักงัน หมดคำจะเอื้อนเอ่ย “เื่แค่นี้เอง จำเป็ต้องรีบร้อนพูดเหมือนเป็เื่ใหญ่ด้วยหรือ?”
“ผู้น้อย… ก็เพราะผู้น้อยปวดท้องน่ะสิขอรับ!” ซื่อเอ๋อร์หน้านิ่วคิ้วขมวด พูดจบก็รีบวิ่งเข้าไปก่อน ไม่สนใจแล้วมารยาท
ิหยวนถึงกับทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ควรทำอย่างไรต่อดี
“ท่านอาจารย์” ่นี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว ข้างในจึงปิดม่านไม้ไผ่เพื่อบดบังไอร้อน พอิหยวนเปิดม่านเข้าไปก็เห็นว่ามีคนตัวเล็กกว่าเขากำลังนั่งฝนหมึกอยู่ที่โต๊ะเขียนอักษร อีกฝ่ายเห็นเขาเข้ามากะทันหันก็ใ จนเผลอปล่อยแท่งหมึกในมือหล่นกระทบแท่นฝนหมึกเสียงดังแก๊ก ก่อนจะรีบลุกเดินเข้าไปในห้องด้านหลัง
“โธ่เอ๊ย คนกันเองแท้ๆ ไยต้องหลบหน้าด้วย?” โหวอิงกับิหยวนหันมองหน้ากัน สองปีก่อน เคยร่วมโต๊ะกันแล้ว เหตุใด จู่ๆ พวกเขาถึงทำท่าห่างเหินกันถึงเพียงนั้น เด็กหญิงชายเติบใหญ่กันแล้ว วันๆ ไม่รู้คิดสิ่งใดอยู่
“เป็ท่านพ่อมิใช่หรือที่พูดว่าชายหญิงมิควรใกล้ชิดกัน?”
เสียงใสๆ ดังมาจากข้างใน โหวอิงเกือบหลุดขำ “แล้วผู้ใดกันที่แอบแต่งตัวเป็ชาย ออกไปขี่ม้าแข่งกับคนอื่น?
“นั่นมันไม่เหมือนกันเสียหน่อย” คนข้างในบ่นพึมพำแล้วเงียบไป
โหวอิงหันมาถามไถ่ิหยวน “เหตุใดเ้ามาถึงเร็วเพียงนี้ ยังไม่ถึงเวลาเลย”
ิหยวน "ข้าเองก็ไม่คิดว่าจะถึงเร็วขนาดนี้ขอรับ"
ิหยวนไม่ได้อธิบายอะไร เดินไปนั่งแทนที่ๆ คุณหนูสกุลโหวเคยอยู่ แล้วลงมือฝนหมึกต่อ ด้านโหวอิงก็ไม่ได้เขียนสิ่งใด เพียงนั่งมองเขานิ่งๆ
หลังจากรับเขาเป็ศิษย์แล้ว สิ่งแรกที่โหวอิงให้เขาฝึกก็คือการฝนหมึก ฝนหมึกไม่ควรใช้แรงมากหรือเบาเกินไป และไม่ควรฝนเร็วหรือช้าจนเกินไป ที่สำคัญต้องไม่เลอะเทอะ โหวอิงกล่าวว่า การฝนหมึกก็เหมือนการฝึกจิตใจ ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายลงตรงหน้า สีหน้าก็ไม่เปลี่ยนแปลง
“วันนี้ิเยี่ยออกเดินทางไปเมืองหลวง เ้าคิดเห็นอย่างไร?”
“เขาไปเมืองหลวง ข้าจะคิดเห็นอย่างไรได้” ิหยวนแปลกใจ “นอกจากหวังว่าเขาจะไม่ก่อเื่”
โหวอิงมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ “พูดอย่างกับเ้าไม่ชอบก่อเื่”
“ศิษย์ก่อเื่ที่ไหน...”
“เ้าอยากไปหรือไม่?”
“ไปที่ใดขอรับ?”
ถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ “เจี้ยนคัง”
ิหยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หากมีโอกาสได้ไปหาประสบการณ์ก็ถือเป็เื่ที่ดีขอรับ”
“หยวนเก้อเอ๋อร์เอ๋ย” โหวอิงวางมือลงบนโต๊ะ พลางมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน “หากคิดมากไปจะใช้ชีวิตลำบาก”
ิหยวนใที่ถูกอีกฝ่ายจับได้ พลันทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ควรตอบอย่างไร
“ใคร่ครวญให้ดี ฝนหมึกเสร็จค่อยตอบข้า” โหวอิงลุกเดินไปห้องตำรา
ิหยวนมองตามแผ่นหลังโหวอิงจนลับสายตา นั่งจมอยู่กับความสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยายามจดจ่ออยู่กับการฝนหมึก วนแท่งหมึก วนแล้ววนอีก วนอยู่อย่างนั้นจนหมึกดำค่อยๆ ไหลออกมาพร้อมกับกลิ่นอันเป็เอกลักษณ์ ิหยวนจึงหวนนึกถึงประสบการณ์ชีวิตใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา
หากไม่นับชีวิตในชาติที่แล้ว ชาตินี้ถือว่าเขาเกิดมาโชคดีไม่น้อย เป็แค่บุตรชายคนงานที่อพยพจากทางเหนือลงมาตั้งรกรากทางใต้ ได้พบิหลานผู้ที่ชื่นชมเอ็นดูเขา ให้โอกาสได้เล่าเรียนในสำนักศึกษาตระกูลิ มีโหวอิงเป็อาจารย์ ไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้เลื่อนฐานะจากครอบครัวคนงานยากจน ต้องเช่าที่นาคนอื่นทำกิน บัดนี้กลายเป็ครอบครัวชาวนาฐานะปานกลาง มีที่ดินเป็ของตนเอง แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
เขาเข้าศึกษาเพียงเพราะ้าทำความเข้าใจยุคสมัยที่ตนอาศัยอยู่ และใน่หลายร้อยปีที่ผ่านมา เกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง เขายังตั้งใจไว้ว่าจะลืมอดีตให้สิ้นซาก ใช้ชีวิตในฐานะบุตรชายคนงานให้ดี
เกิดเป็ลูกคนงานไม่ดีตรงไหน? ไม่มีการประจบสอพลอ ต่อหน้าพูดดีแต่ลับหลังว่าร้าย ไม่มีการเข่นฆ่าชิงบัลลังก์ ไม่มีความขัดแย้งระหว่างพ่อลูก แม้ิเฉียวและมารดาของเขาจะไม่รู้หนังสือ ไม่รู้แม้กระทั่งวิธีทำให้ตนเป็ชาวนา แต่พวกเขาก็มีใจรักจริงต่อลูกๆ พยายามหาสิ่งที่ดีที่สุดให้พวกเขา
แต่พอได้รู้จักสังคมนี้มากขึ้น เขาก็เริ่มเข้าใจว่าลูกคนงานไม่มีทางมีอนาคตที่ดีขึ้นได้ คนรวยก็รวยขึ้น คนจนก็จนลง ผู้คนอดอยาก ขาดแคลนเสื้อผ้าอาหาร บางคนโชคดีที่บิดามารดากรุณา ไม่ปล่อยให้ลูกน้อยต้องอดอยาก ทว่าความสามัคคีในครอบครัวอาจถูกทำลายได้ทุกเมื่อ
เขาใช้ชีวิตในฐานะองค์รัชทายาทมาตั้งสามสิบปี ทุกคืนวันเฝ้าคิดถึงแต่เื่บริหารบ้านเมืองและทุกข์สุขของราษฎร ความห่วงใยในชีวิตความเป็อยู่ของปวงประชาจึงฝังลึกลงกระดูก จนเขาไม่อาจลืมได้ง่ายๆ
ยิ่งเห็นชีวิตที่แตกต่างระหว่างพวกคนมีอำนาจเรียกเก็บภาษี เ้าของที่ดิน และทาส ิหยวนก็อดนึกถึงความทุกข์ทรมานของราษฎรไม่ได้ เหตุใดพวกที่ชอบขูดรีดผู้อื่นถึงได้ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย ในขณะที่ผู้คนรากหญ้าต้องเผชิญกับการหิวตายและหนาวตาย?
หลายปีมานี้ เขาตั้งใจศึกษาเล่าเรียน หาเงิน ช่วยเหลือผู้คน แก้ปัญหาบางอย่าง บรรลุเป้าหมายบางอย่าง แล้วต่อไปเล่า?
ปกครองตนเอง ปกครองครอบครัว ปกครองบ้านเมืองแล้วใต้หล้าจึงจะสงบสุข
เขาในชาตินี้ไม่ได้มีภาระหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของราษฎร แล้วเขาจะอ่านตำราปรัชญามากมาย ทั้งคำสอนขงจื่อ แิเต๋า แิพุทธ และอีกมากมายไปเพื่อสิ่งใดกัน?
ิหยวนจ้องหมึกสีเข้มพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ คำนับแท่งหมึก หยัดกายลุกขึ้นเพื่อเดินออกไป
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้