ตอนที่ 5 ตามหาขุนพลคู่บัลลังก์
บรรยากาศในออฟฟิศของ จินเฟิง ไฟแนนเชียล ช่างน่าอึดอัดราวกับอยู่ใต้แรงกดดันของน้ำลึก เสียงคีย์บอร์ดที่เคยดังอย่างคึกคัก บัดนี้กลับแ่เบาและเต็มไปด้วยความกังวล พนักงานทุกคนต่างรู้ดีว่าเรือที่ชื่อจินเฟิงลำนี้กำลังจะจม ข่าวลือเื่การเลย์ออฟพนักงานแพร่สะพัดไปทั่วเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง
แต่ท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น ยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยังคงนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ของเขาด้วยสมาธิแน่วแน่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หวังเทียนซาน นักวิเคราะห์การเงินจบใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงปี เขามีแว่นตากรอบหนาเตอะและทรงผมที่ดูไม่เคยเข้าร้านตัดผม แต่ดวงตาหลังเลนส์แว่นนั้นกลับฉายแววหลักแหลมและซื่อตรงอย่างหาได้ยาก
เขากำลังทำรายงานบทวิเคราะห์ฉบับสุดท้ายเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่ง บทวิเคราะห์ที่เขาใช้เวลาทำมาตลอดทั้งสัปดาห์ และเป็บทวิเคราะห์ที่จะตัดสินอนาคตของเขาในบริษัทนี้
“หวังเทียนซาน! รายงานเสร็จรึยัง!”
เสียงตะคอกดังลั่นมาจากหัวหน้าแผนกจางเหว่ยชายร่างท้วมกลางคนที่เพิ่งเดินอุ้ยอ้ายออกมาจากห้องทำงาน
“เสร็จแล้วครับหัวหน้าจาง”
เทียนซานลุกขึ้นยืน ตอบกลับอย่างสุภาพแต่หนักแน่น เขายื่นเอกสารในมือให้
จางเหว่ยกระชากรายงานไปจากมือของเขา กวาดตาอ่านผ่านๆ เพียงไม่กี่วินาที คิ้วหนาของเขาก็ขมวดเข้าหากันจนเป็ปม ก่อนที่ใบหน้าจะแดงก่ำด้วยความโกรธ
“นี่มันอะไรกันหา!” เขาตวาดลั่นจนพนักงานคนอื่นๆ ต้องหันมามอง
“ฉันสั่งให้นายทำรายงานสรุป จุดแข็งของบริษัทลูกค้าไม่ใช่เหรอ! ทำไมในนี้มันมีแต่ตัวเลขขาดทุน ความเสี่ยงล้มละลาย แล้วก็หลักฐานการตกแต่งบัญชีละ! นี่นายทำงานเป็หรือเปล่าเนี่ย”
หวังเทียนซานยังคงยืนตัวตรง เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง
“ก็เพราะนั่นคือความจริงที่ผมพบจากการตรวจสอบครับ บริษัทนั้นกำลังจะล้มละลายภายในหกเดือนข้างหน้า หากเรายังแนะนำให้นักลงทุนคนอื่นเข้าไปซื้อหุ้นของพวกเขา นั่นไม่ต่างอะไรกับการหลอกลวง”
คำว่าหลอกลวงเหมือนไปจี้ใจดำของจางเหว่ยเข้าอย่างจัง เขาโยนรายงานฉบับนั้นลงบนโต๊ะของเทียนซานอย่างแรง
“ความจริงเหรอ? ในโลกธุรกิจน่ะไม่มีหรอกความจริง! มีแต่ผลประโยชน์! ลูกค้ารายนี้จ่ายเงินให้เรามหาศาลเพื่อให้เราเขียนรายงานสวยๆ หน้าที่ของนายคือทำให้ลูกค้ามีความสุข ไม่ใช่ไปขุดคุ้ยหาความจริงบ้าบออะไรนั่น!”
“หน้าที่ของผมคือการวิเคราะห์ข้อมูลตามความเป็จริงครับ” เทียนซานสวนกลับอย่างไม่ยอมแพ้
“ความสุขของลูกค้าไม่ได้เป็ปัจจัยหนึ่งในงบดุลบัญชี”
“แก!” จางเหว่ยชี้หน้าเขา
“ปากดีนักนะ! ฉันจะให้โอกาสแกครั้งสุดท้าย กลับไปทำรายงานมาใหม่ เขียนเฉพาะสิ่งที่ฉันอยากเห็น เข้าใจไหม!”
หวังเทียนซานมองหน้านายจ้างของเขา ก่อนจะก้มลงหยิบรายงานฉบับนั้นขึ้นมาถือไว้ในมืออย่างทะนุถนอม เขามองมันราวกับเป็ผลงานชิ้นเอก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาจางเหว่ยโดยตรง แววตาของเขาไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
“ความจริงก็เหมือนตัวเลขศูนย์ในสมการ จะย้ายไปไว้ตรงไหน ค่าของมันก็ยังเป็ศูนย์วันยังค่ำ คุณปลอมแปลงเอกสารได้ แต่คุณปลอมแปลงความจริงไม่ได้หรอกครับ”
ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วทั้งแผนก ทุกสายตาจับจ้องมาที่พวกเขา จางเหว่ยอ้าปากค้าง ก่อนจะะเิเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ฮ่าๆๆๆ! ดี! ดีมาก! ในเมื่อแกยึดมั่นในความจริงอันสูงส่งของแกนัก ก็เก็บความจริงของแกออกไปไกลๆ จากบริษัทของฉันเลย! หวังเทียนซาน... แกถูกไล่ออก! กลับไปกินอุดมการณ์ของแกที่บ้านเลยไป”
คำประกาศิตนั้นไม่ได้ทำให้หวังเทียนซานใเลยแม้แต่น้อย เขาก้มศีรษะให้เล็กน้อยราวกับเป็การขอบคุณ ก่อนจะหันหลังกลับไปเก็บของบนโต๊ะทำงานของตัวเองอย่างเงียบๆ เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจที่ถูกไล่ออก แต่เสียดายที่ความสามารถและความซื่อสัตย์ของเขาไม่มีค่าเลยในที่แห่งนี้
ขณะที่เขากำลังเก็บข้าวของลงในกล่องกระดาษ สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นคลิปข่าวเก่าๆ ที่เขาเคยตัดแปะไว้ข้างจอคอมพิวเตอร์ มันเป็ข่าวเกี่ยวกับเด็กสาวมัธยมปลายคนหนึ่งที่ชนะการแข่งขันเขียนโปรแกรมระดับประเทศเมื่อหลายปีก่อน ด้วยอัลกอริทึมการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีความซับซ้อนและงดงามราวกับบทกวี ชื่อของเด็กสาวคนนั้นคือ...ซูเหม่ยหลิน
เขายังจำความรู้สึกทึ่งในวันนั้นได้ดี... อัจฉริยะที่งดงามราวกับบทกวีในโลกของตัวเลข... ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอไปอยู่ที่ไหนแล้ว
หวังเทียนซานถอนหายใจยาว เฮือกสุดท้ายที่ทิ้งความฝันและความหวังไว้ในตึกระฟ้าเื้ั เขากระชับกล่องกระดาษในอ้อมแขน... ซากปรักหักพังของอาชีพการงานที่จบสิ้นลงด้วยความซื่อสัตย์ของตัวเอง แล้วก้าวเดินออกจากประตูหมุนของอาคารไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
เขาก้าวออกจากแอร์เย็นเฉียบ สู่ไอร้อนระอุของมหานครเซี่ยงไฮ้ยามบ่าย
เขาก้าวออกจากตำแหน่งนักวิเคราะห์ สู่ความว่างเปล่าของคนตกงาน
เขาก้าวออกจากชีวิตเก่าๆ ที่น่าผิดหวัง และกำลังจะก้าวสู่ความเวิ้งว้างที่มองไม่เห็นอนาคต
เสียงจอแจของผู้คนและเสียงบีบแตรของรถยนต์ถาโถมเข้าใส่ราวกับคลื่นั์ เขาเป็เพียงเศษธุลีในมหานครแห่งนี้ อีกหนึ่งความล้มเหลวที่ไม่มีใครจดจำ
แต่แล้ว ทันทีที่ปลายรองเท้าหนังเก่าๆ ของเขาัักับขอบฟุตบาท... ทุกสรรพเสียงรอบกายพลันเงียบสงัดลงราวกับมีใครบางคนกดปุ่มปิดเสียงของโลกทั้งใบ...
รถยนต์ซีดานสีดำสนิทราวกับเงาที่สกัดออกมาจากรัตติกาลคันหนึ่ง ได้เคลื่อนตัวออกจากกระแสจราจรที่วุ่นวายและร่อนเข้ามาจอดเทียบข้างๆ เขาอย่างนุ่มนวลและเงียบเชียบจนน่าประหลาด มันไม่มีเสียงเครื่องยนต์ ไม่มีเสียงเสียดสีของยางกับพื้นถนน มันคือการปรากฏตัวของนักล่าที่สมบูรณ์แบบ
หวังเทียนซานหยุดชะงัก... รังสีแห่งอำนาจบางอย่างที่แผ่ออกมาจากรถคันนั้นทำให้เขาขยับตัวไม่ได้
ซือออออ...
กระจกหลังที่ติดฟิล์มทึบจนมองไม่เห็นด้านใน ถูกเลื่อนลงมาอย่างเชื่องช้าและราบรื่น... เผยให้เห็นช่องว่างเพียงเล็กน้อย ช่องว่างที่ปลดปล่อยไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศออกมาปะทะกับความร้อนภายนอกราวกับลมหายใจของูเาน้ำแข็ง
ภายในเงามืดนั้น... เขาเห็นเพียงเค้าโครงใบหน้าด้านข้างของสตรีคนหนึ่ง... สันกรามที่คมคาย... สันจมูกที่โด่งตรง... และประกายแสงวาบหนึ่งที่สะท้อนจากตุ้มหูเพชรเม็ดเล็กๆ เธอนั่งนิ่งสงบราวกับรูปสลัก เป็ความงดงามที่เยือกเย็นและอยู่เหนือโลกีย์
แล้วเสียงที่เยือกเย็นและทรงอำนาจก็ดังออกมาจากในรถ น้ำเสียงนั้นไม่ดัง แต่กลับคมชัดทุกถ้อยคำ เหมือนผลึกน้ำแข็งที่กรีดผ่านความวุ่นวายของท้องถนนเข้ามาถึงโสตประสาทของเขาโดยตรง
“คุณหวังเทียนซานใช่ไหมคะ?”
หัวใจของเทียนซานกระตุกวูบ! เขากำลังจะอ้าปากถามว่าเธอเป็ใคร แต่ประโยคต่อมาของเธอก็ชิงสะกดทุกคำพูดของเขาเอาไว้
“...ฉันมีข้อเสนอทางธุรกิจที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ...”
เธอหยุดไปชั่วลมหายใจ... ปล่อยให้ความหวังที่สิ้นสูญไปแล้วของเขาก่อตัวขึ้นมาใหม่อย่างบ้าคลั่ง...
“...ถ้าคุณกล้าพอที่จะรับฟัง”
****ขวัญใจแม่ยกมาแล้ว พี่หวังเทียนซาน ไปกับไรท์ทุกเื่ ***
พี่หวังเทียนซาน