“ขืนเป็แบบนี้ปาจี๋จะต้องเสียเปรียบอย่างมาก” หลิ่วหว่านอวี๋รู้สึกกังวลแทนปาจี๋ ท่าร่างและทักษะการต่อสู้ของคนแคระนั้นแปลกประหลาดมาก ความว่องไวที่รวดเร็วเป็พิเศษและอาวุธฉาบยาพิษร้ายแรง ทำให้ยอดฝีมือป้องกันตัวยากลำบาก ถึงแม้พวกเขาต่างก็เป็ปรมาจารย์นักยุทธ์ระดับเจ็ด แต่คนแคระไม่ยอมประมือกับปาจี๋ซึ่งๆ หน้า จึงสะกดข่มพลังของปาจี๋โดยสิ้นเชิง
จ้านอู๋มิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พวกเราขึ้นไปมิได้เด็ดขาด ถ้าใช้คนมากรังแกคนน้อย เกรงว่าข้างกายคนแคระนั่นจะมียอดฝีมืออื่นอีก กลับจะย่ำแย่กว่าเดิม แต่ว่าเ้าวางใจได้ คอยดูฝีมือข้าสิ”
ขณะที่หลิ่วหว่านอวี๋ไม่ทราบว่าจ้านอู๋มิ่งหมายถึงสิ่งใดนั่นเอง พลันจ้านอู๋มิ่งก็หัวเราะขึ้นมาแล้ว หัวเราะเสียงดังลั่นจนกระหืดกระหอบหายใจแทบมิทัน ขณะสายตาของผู้คนทั้งถนนล้วนถูกดึงดูดโดยการต่อสู้ระหว่างคนสองคน เสียงหัวเราะดังลั่นอย่างกะทันหันนี้จึงดึงดูดสายตาที่แสนสงสัยของทุกคนอย่างรวดเร็ว
“น่าขบขันนัก น่าขบขันแทบตายแล้ว เ้าดูไอ้เตี้ยนั่นสิ ะโขึ้นะโลงเหมือนลิงใหญ่ตัวหนึ่ง ยังวิ่งวนไปรอบชายร่างใหญ่ไม่มีสิ้นสุด พวกเ้าว่าก้นของมันวิ่งจนแดงหรือยัง ถ้ากลายเป็สีแดงแล้ว ก็แสดงว่ากลายเป็ลิงไปแล้วจริงๆ…” จ้านอู๋มิ่งหัวเราะดังลั่นไปพลาง ชี้ไปที่ถูเหยียนฉีไปพลาง
ทุกคนต้องประหลาดใจ ไอ้หนูคนนี้หัวเราะเสียงดังลั่นจนกลายเป็สภาพนี้ก็เพราะเื่นี้ แต่พอทุกคนมองดูอีกที เพ้ย ดูแล้วเหมือนจะเป็เช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย คนแคระผู้นั้นะโขึ้นะโลง ดูเหมือนลิงตัวใหญ่วิ่งวนรอบตอไม้จริงๆ นั่นแหละ คราวนี้ทุกคนล้วนพากันหัวเราะครืนตามขึ้นมาบ้างแล้ว
พอทุกคนหัวเราะครืนแบบนี้ขึ้นมา ทำให้ถูเหยียนฉีรับไม่ได้ที่ถูกเย้าแหย่จนโมโหแทบสิ้นสติ ตัวเองแสดงกระบวนท่าการต่อสู้ขั้นสูงสุดที่เห็นว่าน่าภาคภูมิใจ กลับถูกวิจารณ์ว่าเป็ลิงตัวใหญ่ะโขึ้นะโลง เดิมจิตใจของคนแคระก็ค่อนข้างบิดเบี้ยวอยู่แล้ว ยามนี้กำลังถูกถากถางเยาะเย้ยโดยจ้านอู๋มิ่งท่ามกลางฝูงชนในที่สาธารณะ แล้วยังถูกทุกคนหัวเราะเยาะใส่พร้อมกัน เืลมพุ่งปรี๊ดขึ้นมาทันที ใบหน้าน้อยๆ เปลี่ยนเป็แดงก่ำ เพียงแต่ยังไม่ได้กระอักโลหิตออกมา เดือดดาลจนแทบรอไม่ได้ที่จะเลาะหนัง กระชากเส้นเอ็นจ้านอู๋มิ่งออกมา
“พวกเ้ารีบดู ใบหน้าของเ้าเตี้ยคนนั้นแดงแล้ว เดิมข้านึกว่าตูดของมันจะแดง ไม่คิดว่าจะเป็ใบหน้าที่แดงแล้ว…ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าทราบแล้ว ไม่น่าแปลกใจที่มือและเท้ามันหยาบกร้าน แต่มีใบหน้าอ่อนนุ่ม ที่แท้ใบหน้านั่นก็คือตูดนั่นเอง ลิงตัวนี้…โอ้ ไม่นะ องค์ชายผู้นี้เป็ลิงจริงๆ” จ้านอู๋มิ่งะโโหวกเหวกอย่างไร้ยางอายมากยิ่งขึ้น หัวเราะลั่นอย่างดื้อด้านที่สุด
ทุกคนโดยรอบได้ยินก็หัวเราะดังลั่นฮาครืนขึ้นมา แต่ยามนี้หลายคนทราบแล้วว่าจ้านอู๋มิ่งมิใช่้าเยาะเย้ยจริงๆ แต่้ารบกวนสมาธิของอีกฝ่าย ่เวลาอันใกล้นี้ ชนชั้นสูงส่วนใหญ่มารวมตัวกันที่เมืองหนานเจา มิมีคนที่โง่งม แต่ว่าได้ยินเขาพูดได้สนุกน่าขบขันก็เลยพากันหัวเราะขึ้นมา ที่นี่มิมีผู้ใดรักตัวกลัวตาย นอกจากนี้ความหยิ่งผยองของถูเหยียนฉีเมื่อครู่ มีคนจำนวนมากที่ไม่สบอารมณ์ เพียงแต่มิมีผู้ใดหัวเราะเยาะเขาอย่างเปิดเผยโดยไม่สนใจภาพลักษณ์แม้แต่น้อยเหมือนกับจ้านอู๋มิ่ง
“ถ้าไม่อยากตายก็จงหุบปากเสีย!” หลังรถเทียมสัตว์พาหนะ ราชันาผู้หนึ่งยืนขึ้นตะคอกใส่ พวกเขาดูออกถึงเจตนาไม่ดีและความตั้งใจคิดร้ายของจ้านอู๋มิ่ง แต่ติดตรงขัดกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ไม่ได้ ในฐานะราชันา พวกเขากลับมิกล้าลงมือ ได้แต่ตวาดด่าอย่างโกรธเคือง
“ว้าว คนรับใช้ของเ้าเตี้ยนั่นอับอายกลายเป็โทสะแล้ว ฮ่าฮ่า ดูเหมือนข้าจะพูดตรงจุดสำคัญยิ่งของเ้าเตี้ยคนนี้แล้วจริงๆ หรือว่าจะมีเื่เช่นนี้จริง มารดาและลิงให้กำเนิดเขามาหรือเนี่ย?”
“อุ๊บ…” ในที่สุดหลิ่วหว่านอวี๋ก็อดหัวเราะขึ้นมามิได้แล้ว การแสดงออกของจ้านอู๋มิ่งร้ายกาจเกินไปแล้ว ะโขึ้นะโลงและชี้มือชี้ไม้ ท่าทางเหมือนกับมีเื่เช่นนี้จริงๆ ทำให้ผู้คนทั่วทั้งถนนอดหัวเราะขึ้นมามิได้
“ข้าโกรธแทบตายแล้ว ฆ่ามันให้ข้า!” ถูเหยียนฉีบันดาลโทสะแล้ว เืลมพลุ่งพล่านตีขึ้น จิตสมาธิก็สับสนขึ้นมาทันที เ้ามดปลวกตัวนี้น่าเกลียดชังเกินไปแล้ว เดิมเขาเตรียมจะฆ่าปาจี๋ก่อนแล้วจึงค่อยสังหารจ้านอู๋มิ่งอย่างทารุณ คิดมิถึงว่าเ้ามดปลวกนี่ช่างอุกอาจปากคอเราะราย อีกทั้งเผ็ดร้อนถึงเพียงนี้ ด่ากราดั้แ่ตัวมันลามปามไปถึงมารดาและลามปามไปถึงบิดาอีกด้วย การแสดงออกนั่นทำให้ใครๆ ก็อยากจะกระทืบสักเท้าสองเท้า
“ตูมมม…” ถูเหยียนฉีจิตใจสับสน ปาจี๋ฉวยโอกาสโจมตีใส่ทันที พลันกระบวนท่ารุกของถูเหยียนฉีก็ถูกขัดจังหวะไป นี่เป็การลงมือสุดพลังที่รวบรวมขึ้นของปาจี๋ กระหน่ำจนถูเหยียนฉีกระเด็นลอยออกไปตรงๆ ชนเข้าไปในเรือนริมถนนหลังหนึ่ง
ถูเหยียนฉีทนมิไหวอีกต่อไปแล้ว เืลมพลุ่งพล่านขึ้นบนคำหนึ่ง กระอักพ่นพรวดขึ้นไปบนท้องฟ้า ผู้ติดตามที่เป็ปรมาจารย์นักยุทธ์ของถูเหยียนฉีทะยานร่างมาทางจ้านอู๋มิ่ง หลิ่วหว่านอวี๋ลุกขึ้นยืนบังอยู่เบื้องหน้าจ้านอู๋มิ่ง ถึงแม้ถูเหยียนฉีจะนำราชันาสี่คนและคนรับใช้ปรมาจารย์นักยุทธ์สี่คน แต่กล่าวถึงที่สุดแล้วผู้ตัดสินใจคือราชันา ปรมาจารย์นักยุทธ์คนรับใช้ดูแลเื่ในชีวิตประจำวันของพวกเขาเท่านั้น ดังนั้นพลังบ่มเพาะทั้งหมดล้วนต่ำกว่าสี่ดาว จะทำลายการป้องกันของหลิ่วหว่านอวี๋ ปรมาจารย์นักยุทธ์ระดับห้าดาวได้อย่างไร แต่เนื่องจากหลิ่วหว่านอวี๋มิมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากนัก จึงไม่ได้ลงมือสังหารอย่างเฉียบขาด
“ตูมมม…” หลิ่วหว่านอวี๋ไม่ได้ลงมือสังหารอย่างเฉียบขาด แต่ปาจี๋กลับไม่เกรงใจแม้แต่น้อยแล้ว ถูเหยียนฉียังมิออกมาจากภายในเรือนที่ถูกชนจนพัง เขากระหน่ำตีหน้าผากของปรมาจารย์นักยุทธ์สี่ดาวผู้หนึ่งด้วยกระบองเหมือนูเาไท่ซาน เหมือนเอาค้อนเหล็กทุบใส่ไข่ ปรมาจารย์นักยุทธ์ระดับเจ็ดดาวผู้หนึ่งถูกตีกระหน่ำ คนผู้นั้นกลายเป็เพียงขนมเปี๊ยะเนื้อก้อนหนึ่ง
“ตูมมม…” ปาจี๋กวาดกระบองขวางอีกครั้ง ผู้ติดตามอีกคนได้รับาเ็สาหัสล้มกระเด็นออกไป รับมือกับความว่องไวแปลกประหลาดของถูเหยียนฉี ปาจี๋กระหน่ำตีอย่างทรงพลังไม่ได้ผล แต่รับมือกับคนเหล่านี้ที่อันดับต่ำกว่าสามหรือสี่ระดับ อีกทั้งความเร็วไม่ว่องไวมากนัก การโจมตีของเขาแทบจะเป็ทำลายล้างด้วยพลังต่อพลังจนไร้ผู้ทัดเทียม
จ้านอู๋มิ่งยิ้มอย่างสงบ ไม่แม้แต่กะพริบตา หลิ่วหว่านอวี๋สะบัดกระบี่ตัดแขนของปรมาจารย์นักยุทธ์ผู้หนึ่งขาด เวลานี้เองถูเหยียนฉีคำรามอย่างโกรธเคืองทะยานออกมาจากเรือน
“ตาย!” ความเร็วของถูเหยียนฉียังคงว่องไวยิ่งนัก กลับมิใช่ทะยานไปทางปาจี๋ แต่เป็จ้านอู๋มิ่ง คนที่ในใจตนเกลียดชังมากที่สุดไม่ใช่ปาจี๋ แต่เป็จ้านอู๋มิ่งที่ปากคอเราะราย ถ้ามิใช่เพราะคารมที่ทำให้คนโกรธจนตายมิยอมชดใช้ของจ้านอู๋มิ่ง เขาจะถูกรบกวนจนจิตสมาธิจนสับสนได้อย่างไร และจะถูกปาจี๋กระหน่ำตีจนรับาเ็ได้อย่างไร หากมิใช่เพราะจ้านอู๋มิ่ง เกรงแต่ว่ายามนี้คนที่าเ็สาหัสก็คือปาจี๋แล้ว นอกจากนี้ปกติเขาเกลียดชังคนที่เปิดเผยจุดด้อยของตนเองมากที่สุด จ้านอู๋มิ่งมิเพียงแต่เปิดเผยแล้ว ยังหัวเราะเยาะเย้ย ถากถางตนอย่างเต็มที่ต่อหน้าทุกๆ คน ในสายตาของถูเหยียนฉี จ้านอู๋มิ่งคือคนที่จะต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว
“ไร้ยางอาย…” เมื่อปาจี๋เห็นถูเหยียนฉีถึงกับละทิ้งเขาแล้วไปโจมตีจ้านอู๋มิ่งผู้ที่แม้แต่พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ก็ไม่มี อดไม่ได้ที่จะโกรธจัด แต่ความเร็วของเขาแตกต่างกับถูเหยียนฉีอยู่ไม่น้อย สายเกินไปที่จะหยุดถูเหยียนฉีแล้วจริงๆ หลิ่วหว่านอวี๋ตวาดเสียงสดใสคราหนึ่ง กลับถูกปรมาจารย์นักยุทธ์ผู้หนึ่งพัวพันไว้ ยามนี้กะทันหัน ปลีกตัวไปไม่ได้
สายตาจ้านอู๋มิ่งฉายแววเยาะเย้ยวูบหนึ่ง แสงสีดำสายนั้นขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ เบื้องหน้าเขา จากนั้นเขาก็เห็นแววตาโเี้ในดวงตาของถูเหยียนฉี อีกฝ่ายเกลียดชังเขาจนเข้ากระดูก
ทุกคนล้วนแอบทอดถอนใจ คนธรรมดาที่ไม่มีพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ผู้หนึ่งต้องมาเผชิญกับการโจมตีของปรมาจารย์นักยุทธ์ระดับเจ็ดดาว ผลลัพธ์จึงเป็ที่สามารถจินตนาการได้ ถึงแม้พวกเขาจะปรบมือให้จ้านอู๋มิ่งสำหรับความตั้งใจพยายามก่อนหน้านี้ และก็ชื่นชมในความกล้าหาญของจ้านอู๋มิ่ง แต่ว่าเวลานี้ กลับมิมีผู้ใด้าล่วงเกินแคว้นถูเหยียน เพียงเพราะคนธรรมดาผู้หนึ่ง
“ตาย!” สายตาถูเหยียนฉีฉายแววยิ้มเยาะวูบหนึ่ง ชอบมองดูสายตาที่แสดงออกถึงความสิ้นหวัง แต่ยามที่สายตาประสานกับสายตาของจ้านอู๋มิ่ง เขาจึงได้ตระหนักว่าในสายตาอีกฝ่ายมีแต่ความดูแคลนและเหยียดหยาม พลันในใจของตนเพิ่งจะเกิดลางสังหรณ์มิดีขึ้นมาสายหนึ่ง มือที่คล้ายคีมเหล็กข้างหนึ่งก็จับแขนที่ถือดาบของเขาจนแน่นแล้ว
ถูเหยียนฉีรู้สึกว่าตนว่องไวและรวดเร็วมากอย่างยิ่งแล้ว แต่ว่าชั่วพริบตาที่มือถูกจับ เขาพบว่ามือขาวของชายหนุ่มที่ดุจดั่งมดปลวกในสายตามิได้ช้ากว่าเขาแม้แต่น้อย และเขาคำนวณการโจมตีของตนไว้อย่างถูกต้องแต่แรกแล้ว จึงจับข้อมือได้อย่างแม่นยำ สิ่งที่ทำให้ใยิ่งกว่าก็คือ เวลานี้คิดจะขยับนิ้วมือสักครั้งก็ยังทำมิได้ ตอนที่มือข้างนั้นจับข้อมือเขาไว้ มือของเขาดูเหมือนจะมิใช่ของตนอีกต่อไปแล้ว จากนั้นก็เห็นเท้าข้างหนึ่ง เคลื่อนจากล่างขึ้นบน ลูกเตะเสยขึ้นอย่างสง่างามยิ่งนักเท้าหนึ่ง เป็กระบวนท่าธรรมดาๆ ไม่มีการพลิกแพลงใดๆ ทั้งสิ้น และไร้ซึ่งพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ ภายใต้สภาพที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต่อต้านจึงเตะถูกคางของเขาเข้าอย่างจัง
ถูเหยียนฉียังไม่ทันได้มีเวลาส่งเสียงครางน่าสังเวชออกมา ฟันทั้งปากก็กระเด็นออก ดุจดั่งถูกกระทิงดุร้ายจากาพุ่งเข้าชนใส่ก็มิปาน รู้สึกว่าลำคอไม่สามารถทนทานต่อแรงกระแทกของพลังประหลาดนั้นได้ เขาถึงกับได้ยินเสียงลำคอแตกหัก มิได้รู้สึกว่าร่างลอยออกไปได้อย่างไร เวลาที่ราชันาทั้งสี่บินเข้ามารับตัวมันไว้ เขาก็สลบไสลหมดสติไปแล้ว
จ้านอู๋มิ่งยื่นมือหยิบขวดหยกออกมาอย่างสง่างาม รับโลหิตที่ถูเหยียนฉีกระอักพ่นออกมาเก็บไว้ส่วนหนึ่ง จากนั้นเก็บไว้ในแหวนจักรวาลอย่างระมัดระวัง ทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วค่อยปัดฝุ่นละอองที่ปนเปื้อนบนเสื้อผ้า เหมือนดั่งมิมีสิ่งใดเกิดขึ้นมาก่อน
ความเงียบปกคลุมท้องถนนใหญ่ ความเงียบสงัดที่ดุจความตายก็ไม่ปาน ปรมาจารย์นักยุทธ์ที่พัวพันหลิ่วหว่านอวี๋ไว้ยืนนิ่งอย่างมึนงง ไม่มีการตอบสนองใดๆ แม้แต่ตอนที่กระบี่หลิ่วหว่านอวี๋แทงทะลุหัวใจของมัน ปาจี๋มองดูจ้านอู๋มิ่งจนโง่งมไปแล้ว
กระบวนท่าโจมตีแสนเรียบง่ายและประณีตบรรจงสุดเปรียบปานหนึ่งครั้ง โจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ยกมือขึ้นหนึ่งครั้ง ่เวลายกขาขึ้นครั้งหนึ่ง ถูเหยียนฉีที่เย่อหยิ่งถือว่าตนเองเก่งที่สุดก็สิ้นสติไปแล้ว ทักษะฝีมือแสนเรียบง่ายชนิดนี้ ทำให้ทุกคนใจนตะลึงแล้ว พวกเขามิรู้สึกถึงความผันผวนของพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้แม้แต่น้อย ใช้พลังของกายเนื้อล้วนๆ ทุบตีปรมาจารย์นักยุทธ์เจ็ดดาวผู้หนึ่งเหมือนกับบดขยี้มดปลวก
หลายคนอดที่จะคาดเดาไม่ได้ จ้านอู๋มิ่งใช่สัตว์อสูรตัวหนึ่งที่แปลงกายมาหรือไม่ ความแข็งแกร่งของพลังที่ะเิจากร่างกาย เหนือกว่าจินตนาการของผู้คนโดยสิ้นเชิง ในใต้หล้ามีคนฝึกฌานบ่มเพาะพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ มีคนฝึกฌานบ่มเพาะพลังพิษร้าย มีคนฝึกฌานบ่มเพาะพลังิญญาปฐมภูมิแก่นแท้ของชีวิต ยังมีคนฝึกฌานบ่มเพาะพลังสาปแช่งอันชั่วร้าย แต่กลับมิเคยได้ยินว่ามีผู้ใดฝึกฌานบ่มเพาะพลังกายเนื้อจนแข็งแกร่งถึงระดับน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้
หลิ่วหว่านอวี๋จ้องมองจ้านอู๋มิ่งอย่างมึนงง เดิมนางคิดว่าจ้านอู๋มิ่งจะต้องตายแน่นอนแล้ว ดังนั้นนางจึงฆ่าปรมาจารย์นักยุทธ์ที่พัวพันนางด้วยความโกรธเคือง คิดไม่ถึงว่าผลที่ออกมากลับตรงกันข้าม จ้านอู๋มิ่งยังคงมีชีวิตอยู่เช่นเดิม นอกจากนี้เทียบกับจินตนาการของนาง นางคาดไม่ถึงมาก่อนว่าจ้านอู๋มิ่งจะมีพลังการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ พลังที่ะเิออกมาอย่างกะทันหันนั้น นางยอมรับว่าตนเองมิใช่คู่ต่อสู้ของจ้านอู๋มิ่ง ยามนี้ในใจนางรู้สึกโล่งอก ถึงอย่างไรในฐานะที่นางเป็คุณหนูของตระกูลหลิ่ว เป็ไปไม่ได้ที่ตระกูลจะยอมให้นางแต่งงานกับคนธรรมดาที่ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะผูกขาไก่ผู้หนึ่ง ถึงแม้ภูมิปัญญาจะสูงส่งเทียมฟ้า ก็ยากยิ่งนักที่จะได้รับการยอมรับและความเคารพอย่างแท้จริง ดังนั้นนางกังวลอยู่เสมอว่าจ้านอู๋มิ่งจะมิได้รับการยอมรับจากตระกูลของนาง แต่เวลานี้พลังการต่อสู้ที่แสดงออกมาของจ้านอู๋มิ่งมิได้ด้อยกว่าภูมิปัญญาของเขาเลย อีกทั้งยังเยาว์วัยถึงเพียงนี้…
“ไปเถิดพี่ปาจี๋ พวกเราไปดื่มสุรากัน” จ้านอู๋มิ่งเป็ผู้ทำลายความเงียบลง
พลันปาจี๋ก็หัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดังลั่น เขาพิจารณาดูจ้านอู๋มิ่งอย่างใกล้ชิดคราหนึ่ง หัวเราะดังลั่นกล่าวว่า “สมใจนัก สมใจนัก ต้องขอบคุณท่านแล้วจริงๆ!”
“ทำร้ายองค์ชายถูเหยียนจนาเ็แล้ว แล้วยังคิดจะจากไปอีกหรือ?” ทันใดนั้น ราชันาที่อยู่ข้างๆ ถูเหยียนฉีพูดขึ้น
“เ้าคิดจะลงมือหรือ? ข้าจะรับไว้เอง เกรงแต่ว่าเ้าจะไม่กล้าลงมือ” จ้านอู๋มิ่งยังไม่ทันได้พูด ปาจี๋ชิงพูดขึ้นก่อน
ราชันาทั้งสี่นิ่งงันไป แหงนมองขึ้นไปกลางนภากาศ อดกลั้นขึ้นมาโดยไม่คาดคิด เมืองหนานเจาได้รับการเฝ้าตรวจสอบจากประสาทััของยอดฝีมือขอบเขตระดับจักรพรรดิาอยู่ตลอดเวลา หากผลีผลามลงมือก็คือรนหาที่ตาย ตอนนี้องค์ชายจะเป็หรือตายก็ยังมิทราบ พวกเขามิกล้าเคลื่อนไหวโดยพลการจริงๆ
“มันยังไม่ถึงกับตาย เพียงแต่จะไม่สามารถใช้พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ได้อีกต่อไป ต่อไปให้มันสงบเสงี่ยมเจียมตัวลงบ้าง เป็คนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง มิฉะนั้นครั้งต่อไปก็จะไม่โชคดีเช่นนี้แล้ว” จ้านอู๋มิ่งตอบอย่างเฉยชาคำหนึ่ง นำปาจี๋ไปที่ภัตตาคารที่อยู่ไม่ไกล ทิ้งฝูงชนที่ตกตะลึงเต็มถนนไว้
จ้านอู๋มิ่งถูกทุกคนระบุว่าเป็ผู้ที่ไม่สามารถตอแยได้เด็ดขาดอย่างรวดเร็ว คนผู้นี้ลงมือเหี้ยมโหดเกินไป ภายใต้การลงมือเพียงครั้งเดียว พลังการบ่มเพาะของถูเหยียนฉีถูกทำลายโดยตรงทันที นี่มันโเี้ยิ่งกว่าสังหารอีกฝ่าย ดังนั้นคนผู้นี้จะต้องแสนโเี้ไร้ปรานีอย่างแน่นอน เพียงแค่ดูตอนท้ายสุด เขายังใช้ขวดเก็บโลหิตที่อีกฝ่ายพ่นออกมาด้วย ทำให้ผู้คนต้องครุ่นคิดอย่างไม่สิ้นสุด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้