“ใต้สะพานใหญ่หน้าประตู เป็ดหนึ่งฝูงว่ายน้ำผ่านไป รีบมานับกันเร็ว สอง สี่ หก เจ็ด แปด ก้าบๆๆ มากมายจริงๆ นับได้ไม่นิ่งแท้ที่จริงมีเป็ดกี่ตัว…”
เจินจูอุ้มซิ่วจูนั่งอยู่ในศาลาหกเหลี่ยมริมฝั่งแม่น้ำ สอนนางร้องเพลงเด็กที่ตอนยังเล็กร้องบ่อยที่สุด
“ท่านพี่ เป็ดคืออะไร?” ซิ่วจูกะพริบดวงตากลมโตถามด้วยความสงสัย
“เอ่อ เป็ดน่ะหรือ ก็เหมือนกับไก่บ้านเรา แต่ปากพวกมันจะแบน แล้วยังสามารถว่ายน้ำอยู่ในแม่น้ำได้ ส่วนไก่ปากจะแหลม และว่ายน้ำไม่ได้” หมู่บ้านวั้งหลินแทบทุกครัวเรือนล้วนเลี้ยงไก่กันทั้งสิ้น แต่เป็ดกลับมีน้อยคนมากที่จะเลี้ยง
นางเคยถามสาเหตุกับหวังซื่อ หวังซื่อกล่าวว่าเป็ดหนวกหูเกินไป ทานก็มาก แล้วยังสกปรกอีกด้วย ขนเป็ดก็ยากที่จะถอนอีกต่างหาก คนในหมู่บ้านจึงยินดีที่จะเลี้ยงไก่มากกว่าเลี้ยงเป็ด
เจินจูเคยคิด บ้านตนเองอยู่ติดริมฝั่งแม่น้ำ เลี้ยงเป็ดขึ้นมาหนึ่งรุ่น ทั้งมีเนื้อเป็ดทานแล้วยังมีไข่เป็ดให้เก็บได้อีก แต่ไม่คิดเลยว่าหวังซื่อกับหลี่ซื่อต่างก็แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยทั้งคู่ นางเลยทำได้เพียงยกเลิกไป ที่จริงก็ถูก หากจะเลี้ยงเป็ดก็ต้องเลี้ยงแบบปล่อย เป็ดก็จะวิ่งเพ่นพ่านไปทั่วทุกทิศ มูลเป็ดก็จะทำความสะอาดไม่ง่าย
“อ๋อ เ้าเป็ดคล้ายกับเ้าห่านตัวใหญ่ ว่ายไปบนผิวน้ำได้” ซิ่วจูเฉลียวฉลาดอย่างมาก ในหมู่บ้านมีคนเลี้ยงห่านอยู่เล็กน้อย มักมาว่ายน้ำเล่นอยู่ในแม่น้ำ เป็ธรรมดามากที่ซิ่วจูจะเชื่อมโยงสัตว์สองชนิดนี้ขึ้นมา
“ใช่ ซิ่วจูฉลาดจริงๆ เ้าเป็ดคล้ายกับเ้าห่านตัวใหญ่ แต่รูปร่างจะเล็กกว่าห่านตัวใหญ่เล็กน้อย” เจินจูบีบใบหน้าเล็กรูปไข่ของนาง “มา ร้องตามพี่ ...ใต้สะพานใหญ่หน้าประตู เป็ดหนึ่งฝูงว่ายน้ำผ่านไป…”
ซิ่วจูร้องตามด้วยเสียงเด็กน้อยดังเจื้อยแจ้ว
หลี่ซื่อกำลังช่วยจ้าวหงยู่เร่งทำเสื้อผ้าใหม่ที่ต้องใช้สำหรับวันแต่งงาน หลายวันมานี้จึงเป็เจินจูที่ดูแลซิ่วจู
เจินจูก็เต็มใจอย่างยิ่ง เด็กน้อยผู้นี้อยู่ต่อหน้านางยังค่อนข้างประพฤติตัวดีอยู่มาก สอนอะไรให้นางก็ล้วนเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
นั่งอยู่ในศาลาพักหนึ่ง บริเวณปากทางเข้าหมู่บ้าน เงากายคนหนึ่งเดินเข้ามา พอเจินจูมองอย่างละเอียดก็เห็นว่าเป็จ้าวไป่ิที่เพิ่งได้รับการเลื่อนขึ้นเป็ซิ่วฉายนั่นเอง
ไม่ใช่ว่าเขากำลังเรียนหนังสืออยู่ในอำเภอหรือ? ทำไมกลับมาในหมู่บ้านอย่างกะทันหันได้
เจินจูคิดถึงใบหน้าเขินอายของชุ่ยจูที่มีความขลาดกลัวแฝงอยู่ อดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ “ปะ พวกเราไปเยี่ยมท่านย่าที่บ้านเก่ากันเถอะ”
นางวางซิ่วจูลงบนพื้น วิ่งไปข้างหน้าด้วยฝีเท้ากระฉับกระเฉง “เร็ว พวกเรามาแข่งกัน ดูว่าผู้ใดจะไปถึงบ้านท่านย่าก่อน”
“อ๊ะ ท่านพี่… รอข้าด้วย ฮ่าๆ…”
ซิ่วจูหัวเราะเบาๆ เคลื่อนไหวขาสั้นป้อมไล่ตามไปทันที
เจินจูเย้าหยอกนางอยู่ตลอดทาง สองคนจึงมาถึงบ้านเก่าอย่างรวดเร็ว
ผู้ที่มาเปิดประตูให้คือชุ่ยจู หญิงสาวรูปโฉมงดงามอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์เกิดรัศมีสว่างระยิบระยับ ยิ้มส่งมาให้พวกนางสว่างไสว
“อ้าว ซิ่วจูมาแล้ว เข้ามาสิ พี่รองขออุ้มเ้าหน่อย”
“พี่รอง ผิงซั่นล่ะ?” ซิ่วจูยื่นมือออกไป นางวิ่งมาบนทาง่หนึ่ง รู้สึกเหนื่อยแล้วเช่นกัน
“ผิงซั่นอยู่หลังบ้านกับท่านย่าน่ะ พวกเ้ามาได้พอดีเลย ท่านย่าทำหงโต้วเกา [1] ไว้ มาชิมด้วยกันสิ” ชุ่ยจูอุ้มซิ่วจูเดินไปทางห้องโถง
“อื้ม ท่านปู่ล่ะ พาวัวไปเดินเล่นอีกแล้วหรือ?” ชายชราสกุลหูเป็คนที่อยู่ว่างไม่ได้ หลังจากมีที่นาของทางบ้านเพิ่มขึ้น วัวของตนเองจึงเป็สิ่งล้ำค่ามาก มักจูงวัวไปเดินเตร่ตรงตีนเขาด้วยตัวเองเป็ประจำ
“ฮ่าๆ ก็เป็เช่นนั้นอยู่แล้วสิ ทานอาหารเช้าแล้วก็แบกจอบจูงวัวออกไป น่าจะใกล้กลับมาแล้วล่ะ” ชุ่ยจูก็ส่ายหน้าระอาเช่นกัน
“ครั้งที่แล้ว ข้าบอกท่านปู่ว่าสิ้นปีไปจะซื้อแม่วัวมาเป็คู่ผสมพันธุ์ ต่อไปทุกปีจะได้มีลูกวัวเกิดออกมา เขาน่าจะดีใจแย่เลยล่ะ”
“ยังซื้ออีกหรือ เช่นนั้นท่านปู่ไม่ต้องจูงวัวสองตัวเลยหรือ?”
“ไม่เป็ไร เขาชอบก็ดี ตอนนี้การเคลื่อนไหวของท่านปู่คล่องแคล่ว ไปที่ไหนก็ไม่ต้องกลัว”
“อื้ม นั่นก็จริง สองปีมานี้ขาที่เอาแต่แข็งทื่อเวลาอากาศเย็นของท่านปู่ไม่เคยกำเริบขึ้นมาอีกเลย”
สองคนคุยเล่นกันพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือ นับั้แ่ที่บ้านเก่ารื้อสร้างใหม่และสร้างห้องเพิ่มขึ้น เครื่องเรือนภายในบ้านล้วนเปลี่ยนเป็เครื่องเรือนไม้แดงซวนจื่อ ดูสวยสง่า รูปลักษณ์มีเสน่ห์แปลกตา
เจินจูมองซ้ายขวาเล็กน้อยแล้วถามเสียงเบา “ท่านแม่ท่านล่ะ?”
นับั้แ่เหลียงซื่อถูกหวังซื่อจัดการไป ก็สำรวมประพฤติตัวดีอยู่่ระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นมาเพราะนางไม่ยอมตามไปเรียนรู้ตัวอักษร เลยถูกหูฉางหลินกับหวังซื่อตำหนิอยู่อีกพักหนึ่ง ตอนนี้ยังหนีบหางทำตัวเป็คนอยู่เลย [2]
“นางไปบ้านท่านยายแล้ว พี่ชายผู้เป็ลูกพี่ลูกน้องคนโตมีบุตรสาวขึ้นมา ท่านยายกลายเป็ย่าทวด ท่านแม่ข้าเลยไปอวยพร”
บนความเป็จริง เหลียงซื่อชื่นชอบการกลับบ้านบิดามารดาอย่างมากที่สุด แค่สกุลเหลียงส่งข่าวด้วยวาจามา เหลียงซื่อก็มีข้ออ้างในการออกจากบ้าน ไม่ว่าลมจะพัดฝนจะตกนางก็ต้องออกไปให้ได้ อาจเพราะการอยู่บ้านสกุลหูได้ถูกหวังซื่อกดไว้ตลอด ดังนั้นการกลับไปบ้านบิดามารดาจะสามารถปลดปล่อยความกดดันนี้ไปได้บ้าง
บ้านสกุลเหลียงอาศัยกำไรจากการเลี้ยงกระต่าย ความเป็อยู่เริ่มดีขึ้นช้าๆ ผนวกกับเหลียงซื่อแอบเพิ่มเติมเงินให้อยู่ตลอด กระเป๋าเงินติดตัวของเฝิงซื่อเลยนูนขึ้นมา จึงไม่จ้องเื่ราวเล็กใหญ่ของสกุลหูอีก
การกระทำของเหลียงซื่อนั้น หวังซื่อเปิดตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งมาตลอด เงินที่เพิ่มเติมให้เฝิงซื่อก็เป็หูฉางหลินที่มอบให้เป็การส่วนตัว ขอแค่พวกนางไม่เกิดความคิดไม่ดีอะไรออกมา ก็ปล่อยพวกนางไปเถอะ
“อ้อ นางไม่พาผิงซั่นไปด้วยหรือ?”
ผิงซั่นเป็สิ่งล้ำค่าต่อเหลียงซื่ออย่างมาก อยากเดินไปที่ไหนก็แทบจะอุ้มไปส่งที่นั่น
“นางอยากพาไปด้วย แต่ท่านย่าไม่ให้ บอกว่าคนมากจะทำให้เด็กใได้”
เื่ของผิงซั่น แต่ไหนแต่ไรมาหวังซื่อไม่เคยปล่อยไปตามนิสัยของเหลียงซื่อเลย
ชุ่ยจูอุ้มผิงซั่นมาจากหลังบ้าน เด็กสองคนจึงเล่นอยู่ด้วยกัน
เจินจูทานหงโต้วเกาที่หั่นไว้แล้ว ั์ตาเอาแต่กลอกไปมา “พี่รอง ข้าเพิ่งเห็นจ้าวไป่ิกลับเข้าหมู่บ้านมาแล้ว บนหลังยังแบกห่อสัมภาระไว้อีกด้วย”
ชุ่ยจูหยุดชะงัก บนใบหน้าเริ่มแพร่กระจายสีแดงเืฝาดขึ้นมา
“เ้า... เ้าพูดเื่นี้กับข้าทำไมกัน” นางหน้าแดงขึ้น ค้อนใส่เจินจูทีหนึ่ง
เจินจูหมดคำพูดทันที “ทำไมจะพูดไม่ได้ล่ะ พวกท่านยังไม่ได้หมั้นกันเลย ต้องเข้าใจสถานการณ์ของอีกฝ่ายไว้ให้มากหน่อยสิ จะได้ไม่อยากเปลี่ยนใจ หลังจากหมั้นหมายไปแล้ว”
ชุ่ยจูหน้าแดง ค้อนนางอีกหนึ่งที “เ้าเด็กคนนี้นี่ จะมีผู้ใดเหมือนเ้าได้ ยังไม่หมั้นหมายก็อยากเปลี่ยนใจแล้วอย่างนั้นหรือ”
เอาเถอะ... มีอารมณ์ขึ้นมาแล้ว มีอารมณ์สิถึงจะเป็เื่ดี เจินจูยิ้ม
“ข้าทำเพื่อพี่รองนะ สองปีนี้เป็เพราะเื่ของเหลียงหู่ท่านเลยเปลี่ยนไปจนไม่ออกจากบ้านเลยสักก้าว นิสัยเก็บกดจนเหมือนกระต่ายที่โอนอ่อนผ่อนตามตัวหนึ่ง เป็แบบนี้ไม่ดีเลย ความผิดที่ใหญ่ที่สุดของเื่นั้นเป็เหลียงหู่ชายโฉดนั่น มีความเกี่ยวข้องกับท่านที่ไหนกัน ทำไมท่านต้องดันทุรังดึงเอาความรับผิดชอบมาไว้ที่ตัวเองด้วย ท่านโง่เขลาหรือเปล่าเนี่ย?”
ใบหน้ารูปไข่เปล่งปลั่งของชุ่ยจูเปลี่ยนไปจนขาวซีดทีละส่วน ทุกครั้งที่นางจำเื่ที่ผู้เป็บิดาถูกทำร้ายก็อดโทษว่าเป็เพราะตนเองไม่ได้ เหมือนที่เหลียงซื่อกล่าว หากไม่ใช่ว่านางตามเข้าเมืองไปด้วย บิดาของนางจะถูกทำร้ายได้อย่างไร
นางรู้ว่าตนเองมีปัญหาที่ทะลวงผ่านไปไม่ได้เล็กน้อย แต่นางควบคุมความคิดของตนเองเช่นนี้ไม่ได้เลย
“พี่รอง ความคิดเช่นนี้ของท่านนี่น่าเหลืออดนัก หากท่านจะแต่งให้จ้าวไป่ิ ท่านก็จะกลายเป็ลูกสะใภ้คนโตในครอบครัวลูกคนโตของหัวหน้าหมู่บ้าน ต้องรับภาระของลูกสะใภ้คนโต นิสัยที่ยึดเอาเื่ที่เกิดขึ้นมารับผิดชอบไว้กับตนเองเช่นนี้ จะเป็การทำร้ายผู้อื่นและทำร้ายตนเอง เป็การหาเื่เดือดร้อนให้แก่จ้าวไป่ิ ตอนนี้เขาเป็ซิ่วฉาย ต่อไปอาจสอบเป็จวี่เหรินหรือจิ้นซื่อก็ได้ จำเป็ต้องมีภรรยาสักคนที่รู้ความและเข้าใจเหตุผล นั่นเป็ภรรยาที่เพียบพร้อมและเหมาะสมสำหรับเขา ไม่ใช่เป็เพราะว่าเื่เล็กน้อยก็กลัวหัวหดไม่ก้าวต่อไปข้างหน้า กลับอ่อนแอแล้วยังโทษตัวเอง ภรรยาเช่นนี้จะเป็ภาระของเขาได้”
คำพูดของเจินจูเหมือนเสียงฟ้าร้อง ที่ะเิขึ้นอยู่ข้างหูของชุ่ยจู บนใบหน้าของนางเปลี่ยนไปไม่มีสีเืฝาดเลยแม้แต่น้อยในชั่วพริบตา กลีบปากบางเฉียบสั่นระริก ดวงตาแดงรื้นขึ้น
“พี่รอง ข้ากล่าวสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อปรามท่าน แต่เป็เพราะ้าให้ท่านเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของตัวท่านเองเล็กน้อย ท่านชื่นชอบจ้าวไป่ิ อยากกลายเป็อีกครึ่งหนึ่งที่เคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมเดินทางไปพร้อมกับเขาได้ เช่นนั้นท่านต้องรู้จักจุดที่ยังบกพร่องของตนเองให้แน่ชัด พี่รอง เมื่อก่อนท่านไม่ใช่อย่างนี้เลย ความเอื้ออาทร เปิดเผยตรงไปตรงมา และมีความรับผิดชอบล้วนเป็จุดเด่นของท่านทั้งสิ้น” เมื่อเห็นชุ่ยจูไม่กล่าวสิ่งใดนางจึงพูดต่อ
“ท่านในตอนนี้ ไม่กล้าออกจากบ้านตามอำเภอใจ จะทำสิ่งใดต้องห่วงหน้าพะวงหลัง กลัวหัวหด มักหวาดกลัวว่าจะเกิดเื่ไม่ดีขึ้น นิสัยนุ่มนวล พอท่านป้าสะใภ้ดุด่าท่านไปตามใจนาง ท่านกลับทนรับมันไว้ ท่านเปลี่ยนไปจนมีลักษณะนิสัยขี้ขลาดและอ่อนแอเช่นนี้ั้แ่เมื่อไรกัน?”
น้ำตาเม็ดโตของชุ่ยจูร่วงลงเม็ดแล้วเม็ดเล่า คำพูดของเจินจูราวกับเล่มหนามแหลมที่เสียดแทงห้องหัวใจของนาง ความรู้สึกกล้ำกลืนที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจหลายปีมานี้ ดังแม่น้ำหลากซัดออกจากเขื่อนไหลเชี่ยวก็ไม่ปาน
นางใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกกับริมฝีปากไว้ ไหล่สองข้างสั่นไหว เสียงสะอื้นไห้ราวกับขับขานความในใจออกมาแทนคำพูด
เจินจูถอนหายใจหนึ่งเฮือกเบาๆ นางควรพูดคุยกับชุ่ยจูให้ดีนานแล้ว แต่ชุ่ยจูหลบเลี่ยงคนอยู่ตลอด ทั้งยังหาสถานการณ์ที่เหมาะสมไม่ได้อีก ครั้งนี้เหมาะเจาะพอดี ยืมฐานะของจ้าวไป่ิมาอ้าง หวังว่าจะทำให้ชุ่ยจูหาความมั่นใจและเปิดเผยตรงไปตรงมาดังเก่าก่อนกลับมาได้
“พี่รอง ต้องคิดเพื่อวันข้างหน้าของตัวเองสิ ท่านต้องเปลี่ยนแปลงสักหน่อย มั่นใจในตัวเองเล็กน้อย ปรับบุคลิกให้ดีขึ้นอีกนิด อย่าหวาดกลัว อย่าถดถอย การปฏิบัติต่อผู้อื่นต้องมีสติมีเหตุผล สำหรับการตำหนิและคำพูดกระทบกระเทียบที่ไร้เหตุผล ท่านต้องรู้จักต่อต้านและตอบโต้ อย่าเอาแต่เงียบไม่พูดไม่จาอย่างเดียว อย่าทำตัวเป็ผู้หญิงอ่อนแอไร้ความสามารถ ท่านต้องอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่เดินเคียงข้างไปกับอีกครึ่งหนึ่งของท่าน ไม่ใช่หลบอยู่ข้างหลังของเขา ให้คนเขาปกป้องตลอดเวลา”
“ท่านไม่ต้องกังวล พวกเราล้วนเป็กำลังสนับสนุนที่เข้มแข็งคอยอยู่เื้ัของท่านอยู่แล้ว” สุดท้ายนางได้กล่าวเพิ่มไปหนึ่งประโยค
หวังซื่อยืนอยู่ข้างประตูห้องโถง การแสดงออกบนใบหน้ากลับเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า
ความเงียบเชียบไม่พูดจาของชุ่ยจู นางมองเห็นและใส่ใจตลอดมา บางครั้งก็คอยเตือนสติชี้แนะนางประโยคสองประโยค แต่เด็กสาวผู้นี้ต่อหน้ารับปากเป็อย่างดี พอหันกายกลับไปก็ยังคงเป็เช่นเดิม
หวังซื่อคิดว่า แม่นางน้อยพอเติบโตแล้ว ลักษณะนิสัยโอนอ่อนผ่อนตามก็เป็สิ่งที่ดี ไม่ได้คิดถึงปัญหาระยะยาวไกลเช่นนี้เลย
คำพูดของเจินจูได้เตือนสติพวกนาง
ใช่แล้ว จ้าวไป่ิเป็ซิ่วฉาย ต่อไปอาจเป็จวี่เหรินหรือจิ้นซื่อ ไปจนกระทั่งอาจเป็ใต้เท้าขุนนาง นิสัยอ่อนน้อมถ่อมตนและดูแคลนตนเองเช่นนี้ของชุ่ยจู ไม่ใช่เื่ดีเลย
“พี่รอง ท่านร้องไห้ทำไม? เจ็บตรงไหนหรือ?” ซิ่วจูเห็นว่าชุ่ยจูน้ำตาไหลไม่หยุดจึงวิ่งไปข้างหน้านางแล้วถาม
“พี่รอง ไม่ร้องนะ” ผิงซั่นก็วิ่งตามเข้าไปด้วย เขากอดขาชุ่ยจูไว้ เสียงสะอื้นตามขึ้นมาเล็กน้อย
เจินจูอุ้มผิงซั่นเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ตบแผ่นหลังของเขาเบาๆ “ไม่เป็ไร พี่รองแค่รู้สึกไม่ดี ร้องไห้ครู่หนึ่งก็ดีขึ้นแล้วนะ”
ชุ่ยจูร้องไห้จนหายใจเหนื่อยหอบเล็กน้อย นางกลัวว่าจะทำให้เด็กน้อยสองคนใกลัว จึงลุกขึ้นเดินออกจากห้องโถงไป
พอออกมาจากห้องโถง ก็ถูกหวังซื่อที่ยืนอยู่ใต้ชายคาบ้านทำให้ใ รู้ได้ว่าบทสนทนาของนางกับเจินจูต้องถูกได้ยินแล้วอย่างแน่นอน บนใบหน้าชุ่ยจูร้อนขึ้น รู้สึกอับอายขายหน้าทันที จึงรีบปกปิดใบหน้าแล้ววิ่งหนีไปทางหลังบ้าน
หวังซื่อส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ หมุนกายเดินเข้าห้องโถง
“ท่านย่า” เจินจูหันไปยิ้มแล้วทักทายนางขึ้น
เด็กน้อยสองคนก็โผออกไปตรงหน้าเช่นกัน
หวังซื่ออุ้มหนึ่งคนจูงมือหนึ่งคน แต่ในดวงตากลับมองมาทางเจินจู “เจินจู คำพูดพวกนั้นที่เ้ากล่าวกับชุ่ยจู ข้าได้ยินหมดแล้ว เ้ากล่าวได้ถูกต้องอย่างมาก เป็พวกข้าที่สะเพร่ายิ่งนัก หากคิดเพื่ออนาคตชุ่ยจู นิสัยของนางจำเป็ต้องแก้ไขจริงๆ”
เจินจูผุดยิ้มขึ้นให้หวังซื่อหนึ่งที ที่จริงนางเห็นจ้าวไป่ิเข้าจึงคิดเื่นี้ขึ้นได้
หากวันข้างหน้าจ้าวไป่ิสอบเคอจวี่ได้เป็ขุนนาง ลักษณะนิสัยของชุ่ยจูเห็นได้ชัดว่าจะจัดการเื่น้อยใหญ่ภายในบ้านได้ไม่ดี
“ท่านย่า ยังพอมีเวลา ให้พี่รองดูแลงานในบ้านมากหน่อย พบปะคบคนให้มากอีกนิด ความกล้าหาญต้องมีเพียงพอ อย่าเอาแต่อุดอู้อยู่ในบ้าน อืม... ไม่เช่นนั้น ท่านย่า ท่านพานางไปดูแลสถานที่ทำอาหารหมักด้วยก็ได้ ลองให้นางจัดการดูแลสักพักหนึ่ง”
หวังซื่อดวงตาเป็ประกาย “ได้ พรุ่งนี้ข้าจะพานางไปลองดูด้วยกัน”
เชิงอรรถ
[1] หงโต้วเกา คือ เค้กถั่วแดง
[2] หนีบหางทำตัวเป็คน หมายถึง การเป็คนเจียมเนื้อเจียมตัว คิดหน้าคิดหลังอย่างรอบคอบ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้