ในชั่วพริบตา เหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึงหนึ่งวันก็จะถึงงานชุมนุมใหญ่
เมืองหลักเทียนอู่เต็มไปด้วยความแออัด รอบด้านมีแต่การพูดคุยเกี่ยวกับงานชุมนุมที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ เื่ของชุยซั่วทำให้ชุยหงโกรธมากจนตาย แต่ตอนนี้ก็ไม่มีผู้ใดสนใจการล่มสลายของตระกูลชุยเลยสักคนเดียว
สำหรับการล่มสลายของตระกูลชุย ฉินอวี่ระลึกอยู่เสมอว่าสิ่งต่างๆ นั้นไม่ได้ง่ายดายนัก แม้ว่าชุยหงจะแก่และอ่อนแอ แต่ก็ไม่น่าจะตายได้เพียงเพราะความโกรธ นอกจากนี้ ตระกูลชุยยังมีทรัพยากรทางการเงินที่มั่นคง เขาควรจะนำไปซื้อโอสถชั้นดีมารักษาชีวิตไว้เสียมากกว่า แต่ฉินอวี่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากวันพรุ่งนี้ไป คนของตระกูลฉินก็จะออกไปจากเมืองหลักเทียนอู่ทั้งหมด และต่อไปภายหน้าก็จะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลชุยอีก
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่สงสัย คือเขานึกไม่ถึงเลยว่าสำนักเทียนหั่วจะไม่บุกมาถึงที่นี่ นอกจากนี้ ฉินอวี่ยังได้ยินมาอีกว่า สำนักเทียนหั่วได้ออกไปจากเมืองหลักเทียนอู่แล้ว สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่ประหลาดใจเป็อย่างยิ่ง เพลิงธรณีของหวังผิงก็ยังอยู่ในจุดตันเถียนของเขา ทำไมหวังผิงถึงยอมจากไปโดยทิ้งเพลิงธรณีเอาไว้?
หลังจากที่เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับเื่นี้ ฉินอวี่ก็คาดเดาได้ว่าอาจจะเป็เพราะอาจารย์หวงถิงได้แอบเตือบสำนักเทียนหั่วไว้แล้ว ซึ่งเื่นี้ทำให้ฉินอวี่มีความรู้สึกที่เปลี่ยนไปต่ออาจารย์ผู้ไม่ให้เกียรติคนอื่นผู้นี้
ในเวลานี้ ฉินอวี่กำลังนั่งร่ำสุราอยู่ในจวนตระกูลฉินกับสยงท่าเทียนและหลี่เทียนจี
“หลี่เทียนจี สยงท่าเทียน พวกเ้ามีแผนอย่างไรกันต่อไป?” ฉินอวี่จิบเหล้าแล้วถามอย่างช้าๆ
“ข้าหรือ? พี่ใหญ่ไปที่ไหน ข้าก็ไปที่นั่น” สยงท่าเทียนดื่มลงไปอึกใหญ่ ใบหน้าของเขาแดงก่ำ พลางพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง
หลี่เทียนจีครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะพูดขึ้น “พี่ฉิน การออกมาครั้งนี้ ข้าอยากจะออกเดินทางเพื่อเพิ่มประสบการณ์ของตนเองให้มากขึ้น ดังนั้น หลังจากที่ท่านเข้าสู่สำนักยุทธ์ว่านจ้งแล้ว ข้าก็จะออกจากแคว้นอู่ ออกเดินทางไปทั่วแดนนภาชิงเหลียนด้านตะวันออก เพียงแต่... จะให้ดี สยงท่าเทียนควรจะมากับข้าดีกว่า”
ฉินอวี่พยักหน้าเล็กน้อย ด้วยนิสัยของสยงท่าเทียน หากปล่อยให้ตามเขาเข้าไปสำนักยุทธ์ว่านจ้งจริงๆ เกรงว่าอาจเกิดความวุ่นวายขึ้นในสำนักยุทธ์ว่านจ้งได้ แม้ว่าหลี่เทียนจีจะเงียบขรึม แต่เขาก็มีความระมัดระวัง หากสยงท่าเทียนติดตามเขาไป จะต้องไม่มีเื่อะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาอย่างแน่นอน เพียงแต่ หลี่เทียนจีไม่อาจจะควบคุมสยงท่าเทียนได้ สิ่งนี้เองที่ทำให้ฉินอวี่ยังต้องปวดหัว
หากปล่อยให้สยงท่าเทียนได้ทำตามอารมณ์ของเขา ก็ไม่รู้ว่าในอนาคตเขาจะไปยั่วยุใครสักกี่คน และยิ่งจะไม่รู้เลยว่าจะต้องตายเมื่อไรเวลาใด
“ชิ ข้าไม่ไปกับเ้าหรอก ข้าจะตามพี่ใหญ่ไปสำนักยุทธ์ว่านจ้งอะไรนั่น” สยงท่าเทียนพูดพลางเรอสุราออกมา
ใบหน้าของหลี่เทียนจีนิ่งทื่อ พลางมองไปทางฉินอวี่ แต่ฉินอวี่ก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน สยงท่าเทียนมีนิสัยมุทะลุ และเป็การยากที่จะเปลี่ยนสิ่งที่เขาตัดสินใจแล้ว แต่หากปล่อยให้เขาตามเข้าสำนักยุทธ์ว่านจ้ง... ไม่ต้องคิดก็รู้เลยว่า ตนเองคงจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบแน่นอน
“พี่ฉิน อันที่จริง... จะให้ฉินเสวี่ยออกท่องเที่ยวกับพวกเราก็ได้นะ ข้าและสยงท่าเทียนล้วนแต่สามารถชี้แนะการฝึกให้กับนางได้ หากนางไปอยู่สำนักยุทธ์ว่านจ้งที่มีท่านอยู่ก็แล้วไป แต่หากเป็สำนักอื่นละก็ ด้วยนิสัยของนางในปัจจุบันนี้ยังไม่สมควรนัก” หลี่เทียนจีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแสร้งทำจริงจัง และกะพริบตาไปทางฉินอวี่
ฉินอวี่ตกตะลึง และเข้าใจความหมายในคำพูดของหลี่เทียนจี หลายวันมานี้ สยงท่าเทียนแทบจะฟังทุกคำพูดของฉินเสวี่ย หากไม่ใช่เพราะตอนนี้ฉินเสวี่ยกำลังจัดเก็บของอยู่ในห้องพำนักส่วนตัว เกรงว่าสยงท่าเทียนก็คงจะตามนางไปแล้ว
ถ้าฉินเสวี่ยเดินทางไปพร้อมกับหลี่เทียนจีและสยงท่าเทียนก็อาจจะสามารถควบคุมอารณ์ของสยงท่าเทียนได้ และยังจะได้รับประสบการณ์ความรู้มากมายอีกด้วย
หลังจากสนิทสนมใน่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ฉินอวี่ได้ยอมรับสยงท่าเทียนคนนี้เป็พี่น้อง ดังนั้นเขาจึงไม่้าให้เกิดเื่อะไรขึ้นกับพี่น้องคนนี้ ฉินอวี่พยักหน้าอีกครั้ง “ข้าจะลองถามฉินเสวี่ยดู หากว่านางตกลง ให้นางไปท่องเที่ยวกับพวกเ้าก็ดีเช่นกัน”
ฉินเสวี่ยเป็คนแข็งแกร่งที่พึ่งพาได้อย่างยิ่ง นับั้แ่ไหนแต่ไรมาที่ได้เห็นนางก็มักเป็คนเข้มแข็งมาตลอด ในอดีต เมื่อเกิดเื่อะไรขึ้นก็ตาม ฉินเสวี่ยก็จะเป็เหมือนพี่สาวตัวน้อยที่จะออกโรงปกป้องอย่างขึงขัง หลังจากการกลับมาเกิดใหม่ของเขา ดูเหมือนว่าฉินเสวี่ยได้เริ่มมีที่พึ่งอย่างแท้จริง จนเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ
ถ้าต้องห่างกับเขา ฉินเสวี่ยจะต้องมีความแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีหลี่เทียนจีและสยงท่าเทียนอยู่ด้วย ฉินอวี่ก็ไม่ต้องเป็กังวลว่าฉินเสวี่ยจะถูกทำร้าย
“เอ๊ะ? พี่สาวจะไปด้วยกันหรือ? อย่างนั้น... พี่ใหญ่จะไม่เบื่อหรือที่ต้องอยู่คนเดียว?” เมื่อสยงท่าเทียนได้ยินว่าเสวี่ยเอ๋ออาจจะไปท่องเที่ยวร่วมกับหลี่เทียนจี น้ำเสียงและท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่ขมขื่น แต่ในดวงตาก็แฝงไปด้วยความตื่นเต้น
เ้าคนนี้ดูเหมือนจะเริ่มเรียนรู้เื่ความปากอย่างใจอย่างขึ้นมาแล้ว
หลี่เทียนจีแอบถอนหายใจอยู่ในใจ เขาให้ความเต็มที่กับสยงท่าเทียนเป็อย่างมาก แม้ว่าจะเป็คนที่ชอบโต้เถียงกับเขามากที่สุด แต่ตอนนี้ โชคดีที่เขายอมเชื่อฟังฉินเสวี่ย หากเป็คนอื่น... หลี่เทียนจีกลัวว่าเขาจะโกรธจนคลุ้มคลั่งได้
ต่อมา ฉินอวี่ได้ถามหลี่เทียนจีว่าเขาเคยได้พบกับหลิงเหยาที่แดนสุสานอสูรหรือไม่ และคำตอบของหลี่เทียนจีก็ทำให้ฉินอวี่โล่งใจ ในขณะที่เขากำลังเฝ้าตามหาฉินอวี่อยู่ในแดนสุสานอสูร เขาได้พบกับหลิงเหยาเช่นกัน และดูเหมือนว่านางกำลังค้นหาอะไรบางอย่างอยู่
“ตามหาอะไร?” ฉินอวี่ถามด้วยความสับสนในใจ
วันรุ่งขึ้น
ณ ประตูเมืองหลักเทียนอู่
คลื่นของผู้คนต่างเดินทางมารวมกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้แล้ว คนรวมตัวกันอย่างเบียดเสียดจนแน่นขนัด ราวกับกลุ่มเมฆดำที่ท่วมท้นไปรอบประตูเมืองหลักเทียนอู่ เสียงพูดคุยรวมไปถึงเสียงโหวกเหวกดังขึ้นรวมกัน ก่อเป็คลื่นเสียงะเืไปถึงชั้นฟ้าและกลุ่มเมฆขาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
ท่ามกลางฝูงชนที่มืดมิด มีพื้นที่ว่างเปล่าขนาดครอบคลุมไปกว่าหนึ่งร้อยหมู่1 พื้นที่ว่างถูกปกคลุมไปด้วยม่านแสงพลังเวทขนาดใหญ่ และภายในม่านแสงขนาดใหญ่นั้นก็ยังมีม่านแสงขนาดเล็กอีกจำนวนสามชุดอยู่ภายใน
แม้ว่าม่านแสงทั้งสี่นี้จะดูเหมือนม่านแสงของกลป้องกัน แต่ก็ไม่เป็เช่นนั้น ในแคว้นอู่เรียกม่านแสงทั้งสี่นี้ว่าสี่อุปสรรค ซึ่งทำการปิดกั้นความฝันของมนุษย์ธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วน
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่สามารถเข้าสู่ม่านแสงได้จะต้องเป็ที่สนใจของสำนักเล็กๆ บางสำนัก ในขณะที่ผู้เข้าสู่ม่านแสงที่สองได้จะต้องเป็ที่สนใจของสำนักระดับกลาง และผู้ที่จะเข้าสู่ม่านแสงที่สามได้ จะต้องเป็ผู้ที่อยู่ในความสนใจของสำนักขนาดใหญ่ ส่วนผู้ที่จะเข้าสู่ม่านแสงที่สี่ได้นั้น มีจำนวนเพียงหนึ่งในล้าน ซึ่งต้องเป็คนที่แม้แต่สำนักใหญ่แต่ละสำนักต่างต้องสู้กันเพื่อให้ได้มา
ในงานชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ มีสำนักใหญ่น้อยกว่าร้อยสำนักต่างเดินทางมายังเมืองหลักเทียนอู่ และแยกย้ายไปประจำการอยู่ตามม่านแสงต่างๆ เพื่อรอให้งานชุมนุมเริ่มขึ้น
ฉินอวี่ สยงท่าเทียน และคนอื่นๆ ต่างยืนรออยู่ตรงด้านหลังฝูงชน มองไปทางม่านแสงขนาดใหญ่ ฉินอวี่มีสีหน้าประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าพวกเขายังคงรักษาวิธีการคัดกรองศิษย์มาได้จนถึงทุกวันนี้ แม้ว่ามันจะไม่สมบูรณ์ เพราะอันที่จริงควรจะมีม่านแสงอยู่ห้าชุด
ในแดนเซียนอู่ สิ่งนี้ถูกเรียกว่าค่ายกลห้าชั้น ซึ่งเป็ค่ายกลพิเศษที่เอาไว้สำหรับคัดกรองศิษย์ในเมืองใหญ่โดยเฉพาะ และแน่นอนว่า นี่เป็เพียงหนึ่งในวิธีการต่างๆ อีกหลายวิธีที่แต่ละสำนักใช้ในการคัดเลือกศิษย์เข้าร่วมสำนัก
โดยทั่วไปแล้ว รากฐานของผู้ที่สามารถผ่านสู่ม่านแสงในสามลำดับแรกได้ย่อมมีความเหนือกว่ากันตามลำดับ แต่คนที่สามารถเข้าถึงม่านแสงลำดับที่สี่ได้นั้น จะต้องมีระดับฐานรากระดับสูงยิ่ง ส่วนผู้สามารถเข้าสู่ม่านแสงลำดับที่ห้าได้จะต้องเป็ระดับอัจฉริยบุคคล ที่มีพร์โดดเด่น แม้จะเป็ในอดีต ทั่วทั้งแดนเซียนอู่ก็นับว่าเป็สิ่งที่หาได้ยากยิ่งนัก น่าเสียดาย ค่ายกลห้าชั้นเหลือเพียงแค่สี่ชั้นเสียแล้ว และไม่รู้ว่ามีการสูญหายไปแล้วหรือไม่
“การชุมนุมแคว้นอู่ในรอบสิบปีเริ่มขึ้นอย่างเป็ทางการ ใครก็ตามที่สามารถเข้าสู่ม่านพลังแสงได้ ก็นับว่ามีโอกาสจะได้เข้าสู่สำนักเซียน”
เสียงโห่ร้องดังขึ้น ฝูงชนที่อยู่โดยรอบก็กรูกันเป็กลุ่มเข้าหาม่านแสงลำดับที่หนึ่ง
แต่ผู้ฝึกฝนตนส่วนใหญ่ล้วนถูกขัดขวางไว้ด้านนอกของม่านแสงลำดับแรก
ชั่วขณะหนึ่ง เสียงที่ไม่เต็มใจ เสียงะโจากความโกรธ เสียงร้องอันขมขื่น และเสียงหัวเราะก้องกังวานดังก้องไปทั่วท้องฟ้า บางคนมีความสุข บางคนหมดหวัง แต่เหตุการณ์ทางโลกที่เกิดขึ้นได้แสดงสีหน้าที่หลากหลายของมนุษย์
เมื่อมองดูรูปลักษณ์ที่เ็ปของผู้ฝึกตนเ่าั้และคนทั่วไปที่ไม่สามารถแม้แต่จะเข้าไปในม่านแสงแรกได้ ฉินอวี่ก็ได้แต่ถอนหายใจ ในความเป็จริง นอกจากร่างแก่นแห่งเต๋าอย่างหลิงเหยาแล้ว กระดูกและรากฐานก็มิใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด กล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า รากฐานจะเป็สิ่งตัดสินระดับฝึกฝนของระดับเขตแดนิญญา และเป็สิ่งที่จะกำหนดได้ว่าจะมีสติปัญญาและความแข็งแกร่งเพียงใดในขั้นเขตแดนเต๋า
แต่ในความเป็จริงนั้นก็เป็เช่นนี้ เป็ไปไม่ได้เช่นกันที่แต่ละสำนัก จะยอมทุ่มเททรัพยากรของตนเพื่อฝึกฝนคนในระดับรากฐานและสติปัญญาที่ธรรมดา
เพียงเวลาแค่ครึ่งชั่วยาม กว่าเก้าส่วนของคนทั้งหมดต่างถูกสกัดไว้ั้แ่ม่านแสงลำดับแรก และมีผู้ที่เข้าไปยังม่านแสงลำดับที่หนึ่งได้ มีประมาณสามพันคน มีคนที่เข้าสู่ม่านแสงลำดับที่สองได้ ด้วยจำนวนประมาณหนึ่งพันคน และมีเข้าสู่ม่านแสงที่สี่ได้เพียงหนึ่งร้อยกว่าคนเท่านั้น
“ท่านพี่...” เมื่อฉินเสวี่ยได้ยินเสียงร้องเรียกที่ดูไม่พอใจ สีหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความกังวล และคว้าแขนของฉินอวี่ไว้แน่น
“ไม่เป็ไรนะ ด้วยรากฐานของข้าคงไม่ยากที่จะผ่านเข้าสู่ม่านแสงลำดับที่สามได้ เสี่ยวเถา เสี่ยวฮวา พวกเ้าก็ตามข้าเข้าไปเถอะ” ฉินอวี่ตบมืออันเรียวงามของฉินเสวี่ยเบาๆ และพูดปลอบนาง ก่อนหน้านี้ ฉินเสวี่ยได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไปกับสยงท่าเทียนและหลี่เทียนจีเพื่อท่องเทื่ยวในแดนนภาชิงเหลียน ส่วนเสี่ยวเถาและเสี่ยวฮวาได้เข้าร่วมงานชุมนุมครั้งนี้ด้วย เพื่อจะทดสอบดูว่าจะสามารถพอจะเข้าร่วมกับสำนักทั่วไปได้หรือไม่
สำหรับเหตุผลที่เขายังไม่นำป้ายคำสั่งของหวงถิงออกมาใช้ในทันที นั่นเป็เพราะฉินอวี่ได้ตัดสินใจไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อหวงถิงผู้เป็อาจารย์ได้จากไปบำเพ็ญแล้ว ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะกลับมาเมื่อใด? เขาจึงขอให้เขาไปยังสำนักยุทธ์ว่านจ้งให้ได้เสียก่อนค่อยว่ากันใหม่จะดีกว่า นอกจากนี้ ฉินอวี่ก็ยังมั่นใจยิ่งนักว่าจะสามารถเข้าถึงม่านแสงลำดับที่สามได้เป็อย่างน้อย
หลังจากทำการปลอบโยนฉินเสวี่ย ฉินอวี่ เสี่ยวเถา และเสี่ยวฮวา ก็เดินแทรกเข้าไปในฝูงชน และเดินตรงไปยังม่านแสงขนาดใหญ่
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็เดินผ่านม่านแสงลำดับที่หนึ่งไปได้อย่างไร้สิ่งกีดขวาง สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องแปลกใจคือ ขณะที่เขาก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในม่านแสง เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่อธิบายไม่ได้จากม่านแสงพลังเวทกำลังไหลเข้าสู่ร่างกาย ฉินอวี่คาดเดาได้ว่า นี่อาจจะเป็ความรุนแรงจากพลังการตรวจจับของค่ายกลในการตรวจจับรากฐานในการฝึก
ในตอนนี้ เสี่ยวเถาและเสี่ยวฮวาต่างก็ผ่านด่านแรกมาได้แล้วเช่นกัน
หลังจากนั้น ฉินอวี่ก็เดินตรงไปยังม่านแสงลำดับที่สอง และยังคงผ่านไปได้อีกเช่นเคย แต่เสี่ยวเถาและเสี่ยวฮวาล้วนต้องหยุดตรงม่านแสงลำดับที่หนึ่ง ได้แต่จ้องมองฉินอวี่อย่างจนใจ แต่ทั้งสองคนต่างก็พึงพอใจเป็อย่างยิ่ง เป็เพราะพวกนางต่างได้ยินมาว่า เพียงม่านแสงลำดับแรกก็มีโอกาสที่จะได้รับการยอมรับให้เข้าสู่สำนักเซียน
ขณะที่เข้าสู่ลำดับที่สาม ฉินอวี่ก็รู้สึกได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งบางอย่างกำลังไหลเข้าสู่ร่างกาย และดูเหมือนว่าจะกำลังทดสอบรากฐานของร่างกาย แต่รากฐานของฉินอวี่นั้นได้รับการขัดเกลามาจากพลังของสายฟ้า ซึ่งแข็งแกร่งหาที่ใดเปรียบมิได้อยู่แล้ว
ในตอนนี้ มีผู้ฝึกตนประมาณหนึ่งร้อยหกสิบถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบคนที่สามารถผ่านเข้าสู่ม่านแสงลำดับที่สามได้ และส่วนมากต่างพยายามเข้าสู่ม่านพลังลำดับที่สี่ แต่ก็ยังไม่มีใครทำสำเร็จเลยสักคน
ฉินอวี่ไม่ได้พยายามทดสอบเหมือนผู้อื่น เขานั่งขัดสมาธิลง และหลับตารวบรวมลมปราณ ตอนนี้สามารถเข้าสู่ม่านแสงลำดับที่สามได้ก็มีสิทธิ์เข้าสำนักว่านจ้งได้แล้ว ส่วนม่านแสงลำดับที่สี่นั้น แม้ว่าฉินอวี่จะมีความมั่นใจว่าผ่านไปได้ แต่เขาก็ไม่ได้เข้ามาเพื่อสิ่งนี้ บุคคลที่โดดเด่นย่อมถูกทำลายได้ง่าย และอาจทำให้เกิดความอิจฉาจากผู้คน
อีกด้านหนึ่งของม่านแสง จื่อซวินเอ๋อกำลังจ้องไปที่ฉินอวี่ ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ด้วยความสงสัย ฉินอวี่เดินผ่านตรงเข้ามาถึงม่านแสงลำดับสามได้ แต่กลับยอมที่จะอยู่เฉยไม่ทดลองเข้าสู่ม่านพลังลำดับสี่ สิ่งนี้ทำให้นางไม่เข้าใจเป็อย่างยิ่ง
ไม่เพียงแต่จื่อซวินเอ๋อเท่านั้น แม้แต่อี้จ้านเทียนก็ยังไม่เข้าใจ เขาให้ความสนใจกับฉินอวี่มาตลอดหลายวันนี้ และเคยพยายามโน้มน้าวความคิดของฉินอวี่ แต่ท้ายที่สุดฉินอวี่ก็เลือกจะตัดขาดกับถงอวิ๋นเฟย ทั้งๆ ที่ในอนาคตมีโอกาสอย่างมากที่ถงอวิ๋นเฟยจะกลายเป็ผู้นำของเผ่ายุทธ์ทองคำ ดังนั้น อี้จ้านเทียนจึงไม่อยากจะมีปัญหาเพราะฉินอวี่และถงอวิ๋นเฟย
“พี่อี้ ถ้าท่านไม่มีเจตนาจะมาโน้มน้าวเขาจริงๆ เช่นนั้นเื่ของฉินอวี่ก็ยกให้ข้าจัดการเป็อย่างไร? สำนักโบราณว่านเจี้ยนของข้าไม่ได้อยู่ในแดนนภาชิงเหลียน ดังนั้นจึงไม่เกรงกลัวเผ่ายุทธ์ทองคำ” ชายหนุ่มชุดขาวด้านข้างอี้จ้านเทียนชำเลืองมองฉินอวี่ และพูดขึ้นมา
ดวงตาของอี้จ้านเทียนกะพริบเล็กน้อย และพูดกลับไป “พี่ลู่ สำนักโบราณว่านเจี้ยนยังมีผู้มีพร์ไม่มากอีกหรือ? แต่ถ้าท่านมีความตั้งใจเช่นนั้น ข้าจะลองถามเขาให้”
“ดีมาก!”
...
ประมาณสามชั่วยามต่อมา
หลังจากไม่มีใครพยายามทดสอบอีก การชุมนุมจึงยุติลง
ครั้งนี้ มีผู้เข้าถึงม่านแสงลำดับที่หนึ่งประมาณห้าพันคน มีผู้เข้าถึงม่านแสงลำดับที่สองหนึ่งพันห้าร้อยคน ม่านแสงลำดับที่สามเกือบสองร้อยคน และม่านแสงลำดับสี่มีเพียงสามคน และหนึ่งในนั้น ก็คือองค์ชายหลงเฟย
องค์ชายหลงเฟยมีใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น ร่างกายของเขาสั่นเทา ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาของฉินอวี่ หลงเฟยจึงหันไปมอง เมื่อพบว่าเป็ฉินอวี่ หลงเฟยก็ปั้นสีหน้ารังเกียจใส่ฉินอวี่ในทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฉินอวี่อย่างเย่อหยิ่ง
ก่อนหน้านี้ เขาเคยถูกองค์หญิงสี่หลงหลิงตำหนิเพราะฉินอวี่มาก่อน ในตอนนี้ เขาก็ยังรู้สึกเกลียดฉินอวี่อย่างมาก
ฉินอวี่ไม่สนใจต่อการกระทำของหลงเฟย แต่สิ่งที่ทำให้เขาสงสัยคือ รากฐานของหลงเฟยยังไม่โดดเด่นมากนัก อย่างมากก็เป็เพียงรากฐานประมาณระดับกลาง ถ้าพูดตามหลักการแล้ว เขาไม่น่าจะเข้ามาถึงม่านแสงลำดับที่สี่ได้
หลังจากม่านแสงของสี่อุปสรรคสลายไป สำนักใหญ่แต่ละแห่งจึงเริ่มการคัดเลือกศิษย์
ท้ายที่สุด ฉินอวี่ก็ได้รับคัดเลือกจากสำนักยุทธ์ว่านจ้ง และองค์ชายหลงเฟยนั้น ก็ยังได้รับความสนใจจากยอดฝีมือของสำนักยุทธ์ว่านจ้งเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนั้นมีเื่เล็กน้อยอีกสองประการ เื่แรกชายหนุ่มชุดขาวที่อี้จ้านเทียนพามานั้นได้ถามฉินอวี่ว่ายินดีเข้าร่วมกับสำนักโบราณว่านเจี้ยนหรือไม่ ซึ่งฉินอวี่รู้จักสำนักโบราณว่านเจี้ยนเป็อย่างดี แต่เขาได้ตัดสินใจชัดเจนแล้ว จึงทำได้เพียงปฏิเสธ
ชายหนุ่มชุดขาวที่ชื่อลู่หย่งเหิงยังไม่เท่าไร แต่อี้จ้านเทียนเริ่มเผยสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที
เื่ที่สอง เป็เพราะที่แห่งนี้อยู่ในอาณาเขตของสำนักโบราณเทียนหลง สำนักโบราณเทียนหลงจึงมีสิทธิ์ที่จะเลือกก่อน ในตอนนี้คนที่เข้าสู่ม่านแสงลำดับสี่ถูกเลือกออกไปแล้วสองคน เหลือเพียงองค์ชายหลงเฟย ด้วยเหตุที่สำนักใหญ่ที่เข้าร่วมงานชุมนุมในครั้งนี้มีเพียงสำนักยุทธ์ว่านจ้งและสำนักโบราณเทียนหลง ดังนั้น สำนักยุทธ์ว่านจ้งจึงเลือกเพิ่มได้เพียงหลงเฟย
สำหรับเสี่ยวเถาและเสี่ยวฮวา ต่างได้รับคัดเลือกจากสำนักเล็กๆ แต่ทั้งสองคนต่างก็รู้สึกตื่นเต้นและพอใจเป็อย่างมาก
อีกเพียงครึ่งวันจะต้องเดินทางไปยังสำนักยุทธ์ว่านจ้งแล้ว ดังนั้น ฉินอวี่จึงสั่งสยงท่าเทียนและหลี่เทียนจีให้ดูแลฉินเสวี่ยเป็อย่างดี ในขณะเดียวกันจื่อซวินเอ๋อก็เริ่มกล่าวคำอำลาฉินอวี่ และพูดอะไรบางอย่างที่ยากอธิบายกับฉินอวี่ “อย่าลืมล่ะว่าเ้ายังไม่ได้ช่วยข้า... เื่นี้ไว้วันหลังค่อยจัดการ”
หลังจากกล่าวอำลากับทั้งฉินเสวี่ย สยงท่าเทียน หลี่เทียนจี หลงอวี่ เสี่ยวเถา และเสี่ยวฮวาที่กำลังจะร้องไห้แล้ว ฉินอวี่พร้อมกับศิษย์สำนักยุทธ์ว่านจ้งก็ขึ้นไปนั่งบนกระบี่บิน และออกจากเมืองหลักเทียนอู่ มุ่งหน้าสู่สำนักยุทธ์ว่านจ้ง!
ก่อนจะออกเดินทาง หลี่เทียนจีได้พูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉินอวี่ต้องแปลกใจ “ระวังถงอวิ๋นเฟยเอาไว้ เขามีชะตาของโอกาสอันยิ่งใหญ่” สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่สะดุ้งขึ้นมาทันที
เดิมที ฉินอวี่คิดจะไปอำลาฉินจ้านผู้เป็พ่อ แต่กลับพบว่าผู้เป็พ่อไม่อยู่ในจวนตระกูลฉิน และด้วยเื่ที่จะพูดคุยสั่งเสียกันได้กล่าวมาหมดแล้ว ดังนั้น ฉินอวี่จึงไม่ฝืนอีกต่อไป
เขาไม่รู้เลยว่า ฉินจ้านกำลังยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน เฝ้ามองเขาอยู่ตลอดเวลา และไม่ออกไปไหนเลยเป็เวลานาน!
สามวันหลังจากการชุมนุมสิ้นสุดลง
เงากระบี่อันทรงพลังสายหนึ่งกำลังลอยเข้ามาทางตอนเหนือของเมืองหลักเทียนอู่ นางอยู่ในผ้าปิดหน้า เข้าสู่เมืองหลักเทียนอู่ด้วยดวงตาที่แฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าและซีดเซียว
ไม่นานจากนั้น ก็เกิดเสียงดังออกมาจากจวนตระกูลฉินที่ว่างเปล่า “ฉินอวี่... ต่อให้เ้าหนีไปถึงสำนักยุทธ์ว่านจ้ง ก็อย่าคิดว่าจะหนีพ้นเงื้อมมือของข้า!”
************************
1 หมู่ (亩) คือ ไร่