ภายในกล่องยาของหลินฟู่อินประกอบไปด้วยผ้าไหมต้มน้ำ เข็มเย็บผ้า แถบผ้าบางๆ และกรรไกรใหม่เอี่ยมอีกเล่มหนึ่ง เหล้าหนึ่งขวด และไหมละลายหนึ่งเส้น ทั้งหมดนี้เป็ของที่นางได้รับมาจากเหล่าลิ่ว
เรียกได้ว่าน่าทึ่ง เพราะในชาติก่อนของนางนั้น กว่าจะมีการคิดค้นไหมละลายขึ้นมาก็ประมาณปีที่ 1800 เข้าไปแล้ว แต่ที่แคว้นเป่ยหรงแห่งนี้กลับมีใช้ั้แ่ตอนนี้ ทั้งคุณภาพยังต่ำกว่าของยุคปัจจุบันแค่เล็กน้อยเท่านั้น
แต่ไหมละลายพวกนี้กลับไม่ถูกนำมาใช้รักษามนุษย์ แต่ใช้กับการเย็บแผลปศุสัตว์และแกะในแคว้นเป่ยหรงแทน
ในภายหลังหลินฟู่อินได้ถามเื่นี้กับเหล่าลิ่ว แล้วจึงได้รู้ว่ามันเป็เพราะชาวแคว้นเป่ยหรงคิดว่าเพราะมันทำมาจากไส้สัตว์ เลยกลัวว่าจะมีปัญหาอะไรตามมาหากนำมาใช้กับมนุษย์…
เมื่อย่าหลี่เห็นหลินฟู่อินถือกล่องยา ในใจนางก็รู้ทันทีว่านางกำลังจะออกไปรักษาคน นางจึงไม่ได้พูดอะไรมากนัก
หลินฟู่อินขึ้นรถม้าของหลี่อี้ไป แล้วรถม้าจึงออกตัว
ในรถม้านั้น หลี่อี้มองกล่องไม้เล็กๆ ในมือของหลินฟู่อินอย่างใคร่รู้ นี่น่ะหรือสิ่งที่นางเรียกว่ากล่องยา?
แต่ด้วยความที่เขาเป็คนค่อนข้างขี้อาย เขาจึงอายเกินกว่าที่จะถามออกไป
หลินฟู่อินถามเื่อาการของผู้เป็มารดาอย่างจริงจัง
“นายหญิงวังเป็คนแข็งแรงมาก นางทานเยอะ รูปร่างสูง เรี่ยวแรงก็มี ตอนที่ให้หมอตำแยมาดูนางก็บอกว่าคงเป็การทำคลอดที่ไร้ปัญหาแน่… ข้าไม่รู้เลยว่ามันกลายเป็เช่นนี้ไปได้ยังไง” หลี่อี้แบมือออกอย่างไร้เรี่ยวแรง
หลินฟู่อินนิ่วหน้า จากที่ฟังที่หลี่อี้กล่าวมาแล้ว สภาพของผู้เป็มารดาเรียกได้ว่าดีมาก คงต้องไปดูถึงที่ถึงจะรู้จริงๆ
แต่เพราะหมอตำแยที่ว่าก็มีประสบการณ์ทำคลอดมามากมาย หากนางบอกว่านายหญิงวังน่าจะทำคลอดได้อย่างราบรื่น เช่นนั้นมันก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร
อีกทั้งการที่หลี่อี้เป็คนมารับนาง ก็แปลได้ว่าหมอหลี่เองก็น่าจะถูกเชิญไปเช่นกัน และหากมีหมอหลี่อยู่ที่นั่นแล้ว มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่อะไรอีก
หลินฟู่อินมองหลี่อี้อย่างหวาดระแวง ก่อนจะถามตรงๆ “ที่ว่าท่านหมอหลี่อยู่ที่นั่นแล้วนี่จริงหรือ และหากนายหญิงวังไม่ได้มีเืออกอะไรมาก ท่านหมอหลี่ก็น่าจะรีบมือได้นี่เ้าคะ”
เมื่อหลี่อี้ได้ยินเช่นนี้ เขาจึงลูบหัวอย่างเขินอายพลางเหลือบมองหลินฟู่อิน ก่อนจะก้มหน้าหลบอย่างรวดเร็ว “แม่นางหลิน ท่านอาจารย์ของข้ามิได้เชี่ยวชาญในด้านนรีเวชมากนัก อีกทั้งเขายังเป็บุรุษ ดังนั้น…”
หลินฟู่อินเข้าใจได้ทันที แล้วจึงถอนหายใจเงียบๆ อยู่ในใจ ไอ้พิธีคร่ำครึนี่มันคร่าชีวิตผู้หญิงไปกี่คนกันแล้วนะ
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว” หลินฟู่อินมองหลี่อี้แล้วกล่าว มือโบกให้เขา “ให้รถม้านี่เพิ่มความเร็วขึ้นอีกเถอะ ต่อให้นายหญิงวังจะยังไม่ได้มีเืไหลมาก แต่มันก็ผ่านมานานแล้ว ทั้งเด็กก็ยังไม่คลอด เช่นนั้นก็เรียกได้ว่าเป็อันตรายทั้งแม่และลูก”
หลี่อี้พยักหน้าอย่างเคร่งเครียด เพราะแบบนั้นเขาจึงเร่งมารับหลินฟู่อิน
คนขับได้สัญญาณให้เพิ่มความเร็วขึ้น เขาจึงเพิ่มความเร็วขึ้นมากจนหลินฟู่อินวิงเวียนไปครู่หนึ่ง
“แม่นางหลิน เป็ยังไงบ้าง?” สีหน้าของหลี่อี้ซีดลงเมื่อเห็นสภาพของหลินฟู่อิน จึงถามอย่างเป็กังวล
หลินฟู่อินเพียงกัดฟันแล้วส่ายหน้าเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าหลินฟู่อินดูไม่สบายจริงๆ หลี่อี้จึงพยายามคุยกับนางเพื่อดึงความสนใจของนางไปจากอาการไม่สบาย
“แม่นางหลิน ที่จริงแล้ว ในตอนที่อาจารย์ของข้าเพิ่งไปถึงเรือนของนายหญิงวังนั้น เขาได้เสนอตัวที่จะช่วยดูอาการของนางให้แล้ว เพราะถึงเขาจะไม่เชี่ยวชาญในนรีเวชศาสตร์ แต่เขาก็ยังพอรู้อยู่บ้าง และเมื่อมีหมอตำแยอยู่ตรงนั้นด้วย การช่วยกันคิดสองหัวก็ย่อมดีกว่าหัวเดียวใช่หรือไม่เล่า? แต่นายน้อยวังกลับไม่ยอมเข้าใจ ทั้งยังต่อว่าอาจารย์ของข้าว่าเป็พวกไร้มารยาท ไม่ควรค่าแก่การเรียกว่าหมอใหญ่…”
ได้ยินที่หลี่อี้บ่นแล้ว หลินฟู่อินเองก็หมดแรง ต้องบอกว่าหมอหลี่นั้นเป็หมอที่น่านับถือจริงๆ
หากไม่ใช่เพราะอยากช่วยแม่และเด็กในท้องนั่นแล้ว ใครกันที่จะโดนด่าแล้วยังอยากช่วยอยู่อีก?
“อาจารย์ของข้าโกรธมาก ตอนนั้นข้าเองก็อยู่ด้วย และข้าก็โกรธมากจนแทบจะไปมีเื่กับเ้าโง่นั่นแล้ว แต่อาจารย์ห้ามข้าเอาไว้ แล้วบอกว่านี่ก็เพื่อชีวิตของทั้งสอง เช่นนั้นจึงหยุดเสีย เฮอะ ถ้าไม่ใช่เพื่อชีวิตของทั้งสองคนนั่น ข้าคงลากอาจารย์ข้ากลับไปโดยไม่สนอะไรแล้ว!”
หลินฟู่อินยิ้มไม่เต็มปาก “ใจหมอก็เหมือนพ่อแม่ สุดท้ายแล้วทั้งท่านหมอหลี่ทั้งท่านเองก็คงทำใจเมินเฉยไม่ได้จริงๆ”
“ย่อมใช่!” หลี่อี้ถอนหายใจพลางมองหลินฟู่อินด้วยรอยยิ้มเจื่อน “พออาจารย์เห็นนายหญิงวังอ่อนแรงลงเรื่อยๆ เช่นนั้น เขาจึงคิดขึ้นมาได้ แล้วให้ข้ามาเชิญท่านไปดูอาการ ที่เหลือก็อยู่ที่ฟ้าลิขิตแล้ว!”
หลินฟู่อินเองก็ไม่ค่อยมีความหวังนัก การทำคลอดในยุคโบราณนั้นเรียกได้ว่าเสี่ยงเป็เสี่ยงตาย และยิ่งเป็นายหญิงวังที่คลอดยากอีก…
รถม้าวิ่งไม่หยุด และมาถึงเรือนตระกูลวังในเวลาไม่นาน
ทันทีที่หลี่อี้ช่วยนางลงจากรถม้าแล้วก็รีบลากนางเข้าไปทันที แม้แต่ยามเฝ้าก็หยุดเขาไม่ทัน
หลี่อี้รู้ทางอยู่แล้ว จึงพานางเดินยาวไปจนถึงประตูห้องทำคลอดของบ้านวังที่สร้างไว้เพื่อสะใภ้ใหญ่
วังฮูหยินเป็สตรีที่มีใบหน้าอุดมสมบูรณ์เรียวยาว สีหน้าดูดุดัน แต่ตอนนี้นางกลับกำลังยืนกังวลอยู่หน้าห้องคลอด และเมื่อเห็นเด็กอายุสิบสามโดนลากเข้ามาแล้ว นางก็นิ่วหน้า
แต่เพราะเป็หลี่อี้ นางจึงต้องอดทนแล้วถาม “คุณชายหลี่ นี่น่ะหรือหมอที่เชี่ยวชาญด้านการทำคลอดที่ท่านหมอหลี่ว่า?”
เด็กผู้หญิงตรงหน้านี้ดูสงบนิ่งก็จริง แต่ใบหน้าอ่อนวัยนั่นทำให้นางมิอาจปักใจเชื่อได้ว่าจะสามารถทำคลอดได้จริงๆ
ทั้งการจะให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นนี้มาทำคลอด… ช่างพูดออกมาได้ไม่รู้จักอาย!
วังฮูหยินเผลอมองหลินฟู่อินอย่างรังเกียจโดยไม่รู้ตัว “เด็กนี่น่ะหรือ ข้าไม่เชื่อท่านหรอก เด็กผู้หญิงที่รู้ว่าผู้หญิงทำลูกยังไงเนี่ยนะ?”
หลินฟู่อินเห็นสายชิงชังและสีหน้าไร้ความเชื่อใจของนางแล้ว จึงปรายตามอง “เสียงจากในห้องคลอดเบาลงจนแทบไม่ได้ยินแล้ว หากท่านยังชักช้าแล้วไม่ให้ข้าเข้าไปอีก ข้ากลัวว่าวันดีๆ ของบ้านวังคงได้กลายเป็วันเผาศพแทนเป็แน่”
คำเตือนของหลินฟู่อินะเืจิตใจของวังฮูหยินเป็อย่างมาก สีหน้านางเปลี่ยนไป ประกายความหวาดกลัวปรากฏขึ้นในสายตา แล้วจึงหันไปหาหลี่อี้ “ท่านหมอ เด็กนี่ทำคลอดได้จริงๆ หรือ?”
หลี่อี้หันไปมองนาง แล้วจึงกล่าวอย่างหมดความอดทน “วังฮูหยิน รีบๆ ให้แม่นางหลินเข้าไปในห้องทำคลอดได้แล้วขอรับ!”
นั่นช่วยขจัดความไม่สบายใจของวังฮูหยิน และรีบเปิดทางให้นางเข้าไปทันที หลินฟู่อินไม่เสียเวลาทักทายแล้วรีบเข้าห้องไปพร้อมกล่องยา
ผู้เป็มารดานอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเผือด ดวงตาปิดสนิท หน้าผากออกเหลืองเล็กน้อย
หญิงชราในชุดสีฟ้าคนหนึ่ง วัยราวหกสิบ กำลังมีสีหน้าตึงเครียดอย่างมากพลางะโ “ท่านหญิงวัง พยายามเข้า…”
แต่นายหญิงวังนั้นทำได้เพียงส่งเสียงอื้ออึงอย่างเ็ป เสียงนั้นเบายิ่งกว่าเสียงยุงบิน และไร้ซึ่งปฏิกิริยาอื่นใดอีก