โหยวเสี่ยวโม่ลืมตาขึ้น ก็เป็เที่ยงของอีกวันนึง
เขาไม่ได้ถือคำสัญญาของขงเหวินเป็เื่จริงจังแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ทันคิดว่าวันนี้เป็วันใหญ่โตอะไร เพียงแต่พับผ้าห่ม ล้างหน้าล้างตา กินข้าว เข้าห้วงมิติไปดูเ้าลูกบอล เอ่อ ไม่สิ ต้องเป็เ้าลูกบอลใหญ่แล้ว ท้ายสุดก็หลอมยา
่บ่ายของวัน เขากำลังวางเตาหลอมอเวจีทองบนพื้น จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูอย่างรีบร้อนแต่ยังคงความมีมารยาท
เสียงเคาะที่มีมารยาทและความอดทนนั้น ไม่มีทางใช่หลิงเซียวแน่
โหยวเสี่ยวโม่ทันใดก็นึกถึงฟางเฉินเล่อ เพราะมีเพียงศิษย์พี่ใหญ่ที่มีความสุภาพเช่นนี้ ถึงทำเื่มีมารยาทแบบนี้ได้ จ้าวต๋าตันมีมาหาเขาบ้างบางที แต่มักจะเคาะประตูดังลั่น เหมือนนิสัยของเขา
โหยวเสี่ยวโม่รีบเก็บเตาหลอมอเวจีทอง กับคนอื่นแล้ว เขาในตอนนี้ยังเป็เพียงนักหลอมโอสถขั้นสอง ถึงมีเงินแค่ไหนก็คงไม่มีปัญญาซื้อเตาหลอมอเวจีทองแสนแพงแบบนี้ไม่ได้แน่ อีกทั้งการหลอมยาเซียนตันขั้นสองก็ไม่ต้องใช้เตาหลอมขั้นหกดีเยี่ยมแบบนี้
แม้ศิษย์พี่ใหญ่จะดีกับเขามาก แต่เขารู้ว่าสำหรับศิษย์พี่ใหญ่แล้ว อาจารย์มีบุญคุณเอ็นดูเขามาตลอด ส่วนเขาเป็เพียงศิษย์น้องที่นอกคอกมา ไม่ได้มีค่าอะไร ถึงเป็เช่นนี้ เขาก็ไม่อยากให้มันกระทบกับความสัมพันธ์ของศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขาทั้งสอง
เมื่อแน่ใจว่าในห้องไม่มีของน่าสงสัยแล้ว โหยวเสี่ยวโม่จึงเดินออกจากห้อง
เปิดประตูออก ด้านนอกนั้นคือฟางเฉินเล่อจริงๆ ด้วย ใบหน้ายิ้มแย้มมองเขา ไม่ได้เคืองที่เขาเปิดประตูช้าแต่อย่างใด
“ศิษย์น้องเล็ก เ้าคงไม่ได้โต้รุ้งทั้งคืน จนพึ่งลุกเอาป่านนี้หรอกนะ?”
ฟางเฉินเล่อมองใบหน้าแดงระเรื่อของโหยวเสี่ยวโม่ ในใจไม่ได้แปลกใจกับเื่นี้เท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าศิษย์น้องจะเชื่อฟังแล้วเข้านอนแต่หัวค่ำเพียงเพราะใบหน้าแดงระเรื่ออิ่มน้ำแบบนี้
เมื่อฟังคำพูดเชิงหยอกล้อเช่นนี้ โหยวเสี่ยวโม่หน้าแดงเขิน
เมื่อคืนเขาโต้รุ่งจริงๆ แต่ไม่ใช่เพราะหลอมยา แต่เพราะเมื่อวานตอนที่เขาฝึกคัมภีร์ิญญา์ จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่าพลังนั้นบรรลุขั้นแล้ว ดังนั้นจึงรีบคว้าโอกาสไว้ แต่คิดไม่ถึงว่าพอลืมตาขึ้นก็เป็เที่ยงของอีกวันแล้ว ตัวเขาเองรู้สึกว่าพึ่งฝึกพลังไปได้เพียงครู่เดียว
โหยวเสี่ยวโม่ห่วงว่าจะมีคนมาหา เมื่อตื่นขึ้นก็รีบออกจากห้วงมิติ และก็เป็ไปตามนั้น มีคนมาหาเขาจริง อีกทั้งคนนั้นก็คือฟางเฉินเล่อนั่นเอง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านตามหาข้ามีเื่อะไรหรือเปล่า?” โหยวเสี่ยวโม่เอียงคอถาม
ฟางเฉินเล่อมองหน้าไม่ประสีประสาของเขา หัวเราะแล้วเอ่ยอย่างหน่ายใจ “ศิษย์น้องเล็ก เ้าคงไม่ได้ลืมไปใช่มั้ยว่าวันนี้เป็วันอะไร?”
วันอะไร?
โหยวเสี่ยวโม่ชะงัก พลันนึกอย่างละเอียดครู่นึง
เกี่ยวข้องกับศิษย์พี่ใหญ่ หรือว่า...มีเพียงเื่นั้นสินะ…
โหยวเสี่ยวโม่พลันอึดอัดใจ ั้แ่ตัดสินใจเื่นี้กับหลิงเซียวแล้ว เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเื่นี้อีก ดังนั้นสองเดือนที่ผ่านมาเขาลืมไปหมดสิ้น
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้า...” โหยวเสี่ยวโม่ก้มหน้าท่าทีลังเล กลบความดีใจที่ได้เจอเขาจนหมด
เมื่อเห็นท่าทางเขาเช่นนี้ ใบหน้ายิ้มแย้มของฟางเฉินเล่อก็ค่อยๆ หายไป คิ้วสวยเริ่มขมวดขึ้น ท่าทางแบบนี้ คงเป็เพราะยังไม่สำเร็จสินะ?
ชั่วอึดใจนึงฟางเฉินเล่อก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ในใจเขาย่อม้าให้ศิษย์น้องเล็กทำตามข้อเสนอของอาจารย์ให้ได้ นี่เป็เื่ที่พวกเขาคุยกันไว้ ดูจากตอนนี้ การเป็นักหลอมโอสถภายในสองเดือนนั้นยากเกินไปจริงๆ ตอนนั้นเขาควรจะขอโอกาสให้ศิษย์น้องมากกว่านี้ด้วยซ้ำ
ฟางเฉินเล่อทนไม่ไหวถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ศิษย์น้องเล็ก ทำไม่ได้จริงหรือ?”
โหยวเสี่ยวโม่ส่ายหัว ไม่ได้เอ่ยอะไร
ฟางเฉินเล่อหน้ามืดมน แล้วเอ่ยอย่างถอนใจ “เมื่อเป็เช่นนี้ ศิษย์น้องเล็ก ต่อจากนี้เ้าจะทำอย่างไร?”
เขาเองก็คิดว่าจะขอร้องอาจารย์อีกซักครั้ง แต่ด้วยความเป็ศิษย์คนโต ติดตามอาจารย์ั้แ่เด็ก รู้จักอาจารย์อย่างดี ตอนนี้หากช่วยศิษย์น้องขอร้องอีก คงทำให้อาจารย์โมโห แล้วยิ่งทำให้อาจารย์รู้สึกแย่กับศิษย์น้องเล็กเปล่าๆ
“ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ต้องห่วงข้า ข้ายังพอมีทางอื่น” โหยวเสี่ยวโม่ได้ยินเขาถอนหายใจ จึงยิ้มแล้วเอ่ย
ฟางเฉินเล่ออ้าปากเหวอ ในใจเขาไม่คิดว่าศิษย์น้องเล็กจะมีหนทางอื่น นอกจากว่า…
ฟางเฉินเล่ออดไม่ได้ที่จะนึกถึงหลิงเซียว ศิษย์เอกแขนงวรยุทธ์คนนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับศิษย์น้องเล็กมากว่าศิษย์คนอื่นๆ หากศิษย์น้องเล็กมีหนทางจริง ก็คงหนีไม่พ้นต้องเกี่ยวกับเขาแน่
เมื่อนึกถึงเื่ราวข่าวลือ่ก่อน ฟางเฉินเล่อก็คิดไม่ตก
จากนิสัยศิษย์น้องเล็ก เดิมทีที่ไม่น่าข้องแวะกับหลินเซียวอัจฉริยะยอดคนเช่นนั้นได้ แต่ทั้งสองกลับสนิทชิดเชื้อกันได้ เขาไม่เพียงได้ยินว่าทั้งสองลงเขาพร้อมกัน อย่างเื่วันนี้ เขาพึ่งกลับมาก็ได้ยินทุกคนกำลังพูดคุยถึงเื่ของโหยวเสี่ยวโม่กับหลินเซียว
หลินเซียวนั้นช่วยโหยวเสี่ยวโม่ออกหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงขั้นยอมมีปัญหากับคนอื่น หากเป็หลินเซียวแต่ก่อนคงไม่มีทางทำเช่นนี้ แม้ฟางเฉินเล่อจะไม่ได้รู้จักกับหลินเซียวเป็อย่างดี แต่ก็พอได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับหลินเซียวมาบ้าง คนที่หัวสูงเช่นเขาทำไมถึงเห็นศิษย์น้องเล็กอยู่ในสายตาได้?
ฟางเฉินเล่อคิดไม่ตก คนส่วนมากในสำนักเทียนซินก็คิดไม่ตก
แต่ความสัมพันธ์อันดีของพวกเขาทุกคนต่างก็รู้เห็น จะบอกว่าเป็การแสดง ก็ดูเกินจริงไปหน่อย
“ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่ใหญ่ไร้ความสามารถเอง ไม่อาจช่วยเ้าได้” ฟางเฉินเล่อยิ้มเจื่อนตบบ่าเขา
เดิมทีเขานึกว่าตัวเองจะช่วยศิษย์น้องเล็กได้ แต่ดูจากตอนนี้ เขาหวังมากไปเอง เื่ที่อาจารย์ตัดสินใจแล้ว เขากับจื่อหลินก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
โหยวเสี่ยวโม่ส่ายหัวแล้วเอ่ย “ศิษย์พี่ใหญ่ อย่าพูดเช่นนี้เลย ท่านช่วยข้ามากพอแล้ว”
ฟางเฉินเล่อเอ่ย “เ้าไม่ต้องปลอบใจข้าหรอก ศิษย์พี่ใหญ่ดูออก เื่นี้ข้าอาจช่วยเ้าไม่ได้ แต่หากเ้ามีเื่อะไร ศิษย์พี่ใหญ่จะพยายามช่วยเ้าอย่างสุดความสามารถ”
โหยวเสี่ยวโม่พยักหน้ารับ จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ เขานึกได้เื่นึงว่าศิษย์พี่ใหญ่อาจช่วยเขาได้ มองตาปริบๆสองที แล้วเอ่ย “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ามีเื่อื่นให้ท่านช่วย เพียงแต่ต้องลำบากท่านหน่อย”
“อะไรคือลำบากกัน ศิษย์พี่ใหญ่ยินดีช่วย พูดมาเถอะ ว่าเื่อะไร?” ฟางเฉินเล่อยิ้มแล้วดีดหน้าผากเขาเบาๆ ทีนึง
โหยวเสี่ยวโม่หัวเราะฮี่ๆ ครุ่นคิดในใจชั่วครู่ แล้วเอ่ยอย่างระวัง “ศิษย์พี่ใหญ่ ปกติแล้วท่านทำอะไรบ้างที่เขานทีเมฆา ใช่การดูแลแปลงหญ้าเซียนขั้นกลางกับศิษย์พี่รองรึเปล่า?”
ฟางเฉินเล่อไม่ได้เอะใจ นึกว่าเขาแค่ฉงนสงสัย จึงเอ่ย “ไม่ใช่หรอก เริ่มแรกอาจารย์อาเยี่ยให้พวกข้าไปดูแลหญ้าเซียนขั้นกลางก็จริง แต่ตอนนี้เขาก็ให้พวกข้าไปดูแลหญ้าเซียนขั้นสูงบ้าง แต่ไม่บ่อยนัก ไปสี่ห้าวันครั้ง ศิษย์น้องเล็กถามเื่นี้ทำไมกัน?”
โหยวเสี่ยวโม่พูดต่ออย่างใจเย็น “ศิษย์พี่ใหญ่เคยเห็นเมล็ดที่ร่วงจากต้นหญ้าเซียนขั้นสูงรึเปล่า?”
ฟางเฉินเล่อชะงัก พลันรู้สึกตัว เขาก็นึกว่าศิษย์น้องเล็กจะพูดอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เื่นี้ มันก็ไม่มีอะไรพูดไม่ได้ จึงเอ่ย “เคยเห็นแน่นอน แต่ปริมาณของหญ้าเซียนขั้นสูงมีไม่เยอะ ดังนั้นเมล็ดที่ร่วงมาก็มีน้อย หนึ่งต้นมีมากสุดเพียงสามเมล็ด แต่บางทีก็มีที่เสียอยู่บ้าง”
มีก็พอแล้ว โหยวเสี่ยวโม่แอบตื่นเต้น “งั้นศิษย์พี่ใหญ่สามารถเก็บเมล็ดหญ้าเซียนขั้นสูงได้มั้ย?”
หลังจากฟัง ในที่สุดฟางเฉินเล่อก็เอะใจขึ้นมา มองเขาแล้วขมวดคิ้วขึ้น “เื่ที่ศิษย์น้องเล็กพูดถึง คงไม่ใช่ว่าอยากให้ศิษย์พี่ใหญ่ช่วยเอาเมล็ดหญ้าเซียนขั้นสูงออกมาให้หรอกนะ?”
โหยวเสี่ยวโม่หลบตา แล้วพยักหน้า “ใช่แล้ว...”
“ศิษย์น้องเล็ก เ้าบอกข้าได้หรือเปล่า ว่าเ้าจะเอาเมล็ดหญ้าเซียนขั้นสูงไปทำอะไร?”
ฟางเฉินเล่อไม่ได้รังเกียจที่จะช่วย เพียงแต่อยากรู้ว่าศิษย์น้องเล็กจะเอามันไปทำอะไร เพาะปลูกคงไม่ได้แน่ หนึ่งคือศิษย์น้องเล็กไม่มีแปลงเพาะปลูก สองคือเขามีคุณสมบัติระดับกลางลงล่าง อีกหน่อยเป็ได้มากสุดก็แค่นักหลอมโอสถขั้นหก หญ้าเซียนขั้นสูงไม่มีประโยชน์กับเขาแต่อย่างใด
โหยวเสี่ยวโม่รู้ว่าเขาจะถามแบบนี้ ในใจจึงคิดคำตอบไว้ล่วงหน้าแล้ว “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่มีฐานะอะไรเลย ทัพพิภพก็มีกฎให้รับหญ้าเซียนได้ในส่วนของยาเซียนตันสิบเม็ดต่อวัน หากข้าอยากเลื่อนขั้นเป็นักหลอมโอสถขั้นสามได้ในเร็ววัน จำนวนแค่นั้นคงไม่พอ รับทำภารกิจเพื่อแลกคะแนนก็ช้าไป ดังนั้นข้าจึงคิดว่า อยากได้เมล็ดหญ้าเซียนขั้นสูงซักหน่อย จากนั้นเอาไปขายเพื่อซื้อหญ้าเซียนซักหน่อย...”
พูดจบเขาก็ก้มหน้าลง ไม่กล้ามองฟางเฉินเล่อ
ในที่สุดเขาก็พูดโกหกกับศิษย์พี่ใหญ่ไปแล้ว เขาทำบาป!
ท่าทางแบบนี้ในสายตาฟางเฉินเล่อ กลับคิดว่าเขานั้นเกรงใจ ในใจกำลังรู้สึกอึดอัดใจ เขาไม่เคยนึกถึงเื่นี้มาก่อน เขานี่มัน...จริงๆ เลย
ฟางเฉินเล่อรู้สึกผิดต่อเขา เมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกผิด จึงรีบเอ่ย “ศิษย์น้องเล็ก เ้าวางใจได้ เื่เล็กแค่นี้เอง ศิษย์พี่ใหญ่ช่วยได้สบาย อีกซัก่ ศิษย์พี่ใหญ่จะเอาเมล็ดหญ้าเซียนขั้นสูงมาให้เ้าเอง”
เื่นี้สำหรับเขาแล้วเป็เื่เล็กนัก
เมล็ดหญ้าเซียนขั้นสูงแลดูเหมือนจะมีค่า แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย เขานทีเมฆาเก็บเกี่ยวเมล็ดหญ้าเซียนได้มากมาย แต่เมล็ดพวกนี้ล้วนไม่ได้ใช้งาน เพราะจากเมล็ดเพาะเป็ต้นกล้านั้นใช้เวลานานเกินไป
อย่างเช่น หญ้าเซียนขั้นเจ็ด ต้องใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าจะเติมโตขึ้นได้ แต่ใครล่ะจะรอได้ถึงหลายร้อยปี
ดังนั้นแม้กระทั่งสำนักเทียนซินที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถเพาะปลูกหญ้าเซียนขั้นสูงได้ในบริเวณกว้างใหญ่ มากสุดก็แค่ไม่กี่แปลง นอกเหนือจากนั้น ล้วนหามาจากข้างนอกแล้วย้ายมาปลูกที่เขานทีเมฆาทั้งสิ้น
และเพราะเช่นนี้ ดังนั้นเมล็ดหญ้าเซียนขั้นสูงในเขานทีเมฆาจึงมีไม่น้อย
ในเมื่อมันไม่ได้ใช้ อาจารย์อาเยี่ยก็ไม่ได้ไปนับอย่างละเอียด เพราะปกติเขาต้องดูแลแปลงหญ้าเซียนก็ยุ่งมากพอแล้ว ดังนั้นหากฟางเฉินเล่อจะหยิบเมล็ดพันธุ์ออกไปบ้าง เขาก็ไม่มีทางรู้ได้
แต่ในเขานทีเมฆาไม่ได้มีเพียงอาจารย์อาเยี่ยคนเดียว ฟางเฉินเล่อเองก็เข้าออกบ้านไม้หลังนั้นตามใจไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องรอเก็บเมล็ดรอบหน้าแล้วอาศัยจังหวะนั้นเข้าไป
เมื่อส่งฟางเฉินเล่อกลับไป โหยวเสี่ยวโม่ปิดประตู ทนไม่ไหวกลิ้งไปมาบนเตียง เดี๋ยวขมวดคิ้ว เดี๋ยวก็หัวเราะเหมือนคนบ้า
แม้ว่าการพูดโกหกกับศิษย์พี่ใหญ่นั้นจะรู้ทำให้เขารู้สึกผิด แต่มันก็ไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ เมล็ดหญ้าเซียนขั้นสูงนั้นหายาก เขาก็ไม่อาจให้หลิงเซียวลงเขากับเขาได้บ่อยๆ ดังนั้นจึงต้องพุ่งเป้าไปที่เขานทีเมฆา และศิษย์พี่ใหญ่ก็ทำงานที่นั่นพอดี จึงต้องพึ่งเขาเท่านั้น
เมื่อสะสางเื่เมล็ดเรียบร้อย โหยวเสี่ยวโม่ก็อารมณ์ดีเป็พิเศษ
เขาจัดการเตรียมข้าวของที่จะใช้หลอมยาเมื่อครู่ออกมา หลายวันมานี้ เขารู้สึกได้ว่าการฝึกฝนคัมภีร์ิญญา์ของเขาใกล้จะบรรลุขั้นเต็มที ดังนั้นจึงอยากลองดูว่าจะบรรลุได้ทันก่อนไปแดน์วิมานหรือเปล่า
หากเป็แต่ก่อน เขาคงดีใจไม่น้อยกับการที่บรรลุขั้นรวดเร็วเช่นนี้ แต่หลังจากรู้ศักยภาพตัวเองแล้ว เขาเริ่มรู้สึกนิ่งเฉย จากนั้นเริ่มเคยชินกับการบรรลุขั้นอย่างเร็วแบบนี้
แต่เขาก็ไม่ได้หละหลวมกับการฝึกฝนหลังจากที่รู้ถึงศักยภาพของตัวเอง กลับกัน เขาพยายามหนักขึ้นกว่าเดิม
สองเดือนก่อน เขาควบคุมห้วงมิติได้ด้วยความบังเอิญ ดังนั้นเขาจึงค้นพบว่า นี่คือสิ่งที่หลิงเซียวเคยบอกไว้ ว่าเพราะเขาไม่มีพลังควบคุมห้วงมิติ ดังนั้นจึงไม่อาจสั่งการให้ห้วงมิติทำอะไรตามใจได้
ตอนนี้เขาเชื่อมจิตกับห้วงมิติได้แล้ว เขาสามารถสั่งการให้ห้วงมิติเคลื่อนย้ายได้ แต่เพราะขีดจำกัดของพลัง ระยะทางที่เคลื่อนตัวได้จึงไม่ไกลนัก อีกทั้งต้องใช้พลังปราณิญญามากทีเดียว ระยะทางที่ไกลขึ้นหน่อยเดียว ก็ใช้พลังปราณิญญาของเขาจนหมดสิ้น เขาไม่กล้าเสี่ยง จึงไม่ได้ทดลองแต่อย่างใด
เมื่อขจัดความคิดฟุ้งซ่านไปได้ โหยวเสี่ยวโม่ก็เริ่มหลอมยา
ขณะเดียวกัน ฟางเฉินเล่อออกจากที่นี่ก็ไปเรียนความให้ขงเหวิน
ขงเหวินไม่ได้เอะใจแต่อย่างใดกับเื่ราวนี้ กลับกัน คำตอบนี้เขาคาดการณ์ไว้แล้ว แต่ว่ามีจุดนึงที่ทำให้เขาแปลกใจคือ ศิษย์คนโตไม่ได้ช่วยศิษย์น้องเจ็ดขอร้องอ้อนวอน ก่อนหน้านี้เขาคิดไว้แล้วด้วยว่าจะปฏิเสธศิษย์คนโตนี้ยังไง
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ขงเหวินก็ไม่ได้แสดงท่าทีออกมา คุยกันชั่วยามนึงแล้วก็ปล่อยเขากลับไป
วันถัดมา ฟางเฉินเล่อก็กลับไปเขานทีเมฆา
เขาไม่ได้รู้เลยว่า วันที่เขาจากมา เื่ราวนี้ก็สะพัดไปทั่วทัพพิภพ
-----------------------------------------------
เพิ่มเติม ั้แ่ตอนนี้ไปนักแปลขออนุญาตเปลี่ยนใช้คำแปล แขนงวรยุทธ์ แทน แขนงการต่อสู้ เพื่อความลื่นไหลในการอ่านนะคะ^^
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้