ชุดที่อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ช่วยอวิ๋นเจียวแกะแบบตัดเย็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังงดงามมาก ฟางซื่อชื่นชอบเป็อย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ความคิดที่อยากจะเปิดร้านขายเสื้อผ้าของอวิ๋นเจียวจึงแรงกล้ายิ่งขึ้นคราวนี้ฟางซื่อหยิบยกแผนการรับสมัครคนงานขึ้นมาพูด นางจึงถือโอกาสเสนอให้รับช่างปักผ้าเพิ่มอีกสองคน
แม้ว่าอวิ๋นเจียวจะเป็จิติญญาของคนจากยุคปัจจุบัน แต่นางก็รู้ดีว่าแคว้นต้าเยี่ยเป็ยุครุ่งเรืองของสังคมศักดินา หากนางกล้าพูดเื่ความเท่าเทียมกัน พูดถึงเื่สิทธิมนุษยชน นั่นก็เท่ากับว่าสมองนางคงมีปัญหาแล้ว
คำพูดที่ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของชนชั้นปกครองเช่นนี้ หากนางกล้าพูดออกไป รับรองว่ามีแต่คนอยากจะฆ่านางให้ตาย!
นางไม่มีความทะเยอทะยานที่จะเปลี่ยนแปลงโลก เปลี่ยนแปลงฟ้าดิน! ้าเพียงใช้ชีวิตอย่างสงบสุข มีชีวิตที่ราบรื่น ปลอดภัยไปพร้อมกับคนในครอบครัวเท่านั้น
หนึ่งชั่วยามต่อมา อวิ๋นฉี่เยว่และอวิ๋นฉี่ซานกลับมาจากบ้านของท่านอาจารย์ทั้งสอง พร้อมนำข่าวหนึ่งมาแจ้ง “ท่านอาจารย์ทั้งสองบอกว่า… ระบบทำความอุ่นจากน้ำร้อนที่เจียวเอ๋อร์พูดถึง ตอนนี้ยังทำไม่ได้ พวกเขายังคงแนะนำให้บ้านเราสร้างเตียงอุ่นแบบเดิม”
“ส่วนกระเบื้องเคลือบปูพื้น อ่างอาบน้ำ โถส้วมแบบชักโครก ท่อน้ำทองแดง ฝักบัวอาบน้ำที่เจียวเอ๋อร์พูดถึง ทางโรงผลิตเครื่องเคลือบจิงผิงและโรงหลอมเหล็กอันหลิงตอบกลับมาแล้ว”
“พวกเขาบอกว่าหากพวกเรายินยอมให้พวกเขาผลิตและจำหน่ายสิ่งของเหล่านี้ในภายหลัง ครั้งนี้ไม่ว่าบ้านเราจะ้าสิ่งของเหล่านี้มากแค่ไหน พวกเขายินดีมอบให้โดยไม่คิดเงิน”
“อ้อ ใช่แล้ว ท่านอาจารย์บอกว่า พวกเขากลัวว่าพวกเราจะไม่ตกลง จึงเพิ่มเงื่อนไขอีกข้อหนึ่งคือ ในอนาคตหากบ้านเรา้าใช้สิ่งของเหล่านี้ พวกเขาก็ยินดีมอบให้โดยไม่เก็บเงิน” อวิ๋นฉี่เยว่ดื่มชาหนึ่งอึกแล้วพูดต่อ
เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เป็ความคิดของอวิ๋นเจียว ดังนั้นเขาและอวิ๋นฉี่ซานจึงไม่ได้ตอบตกลงในทันที แต่บอกว่าจะกลับบ้านมาปรึกษากับท่านพ่อท่านแม่ก่อน
โรงผลิตเครื่องเคลือบจิงผิงเป็โรงผลิตเครื่องเคลือบเอกชนที่ใหญ่เป็อันดับต้นๆ ของแคว้นต้าเยี่ย ตั้งอยู่ในเมืองจิ่วเจียง อยู่ค่อนข้างไกลจากหมู่บ้านไหวซู่ที่ตั้งอยู่ในอำเภอจิ่วจิ้น
หากขี่ม้าแบบไม่หยุดพัก ก็น่าจะใช้เวลาประมาณสองวัน ส่วนโรงหลอมเหล็กอันหลิง ก็เป็โรงหลอมเหล็กที่ใหญ่เป็อันดับต้นๆ เช่นกัน ไม่ได้อยู่ไกลจากอำเภอจิ่วจิ้นมากนัก
อวิ๋นโส่วจงเอ่ยขึ้น “เื่นี้เป็ความคิดของเจียวเอ๋อร์ เช่นนั้นก็ให้เจียวเอ๋อร์เป็คนตัดสินใจเถิด”
ฟางซื่อพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว เจียวเอ๋อร์ตัดสินใจเลย”
ทุกคนในครอบครัวต่างมองมาที่อวิ๋นเจียวเป็ตาเดียว แต่อวิ๋นเจียวกลับมองไปที่อวิ๋นฉี่เยว่ “พี่ใหญ่เ้าคะ เื่นี้ให้ท่านตัดสินใจเถิด ข้าแค่คิดขึ้นมาเท่านั้น คนในบ้านเราไม่ได้มีส่วนร่วมในการวิจัยพัฒนา… เอ่อ หมายถึงไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตสิ่งของเ่าั้”
อวิ๋นฉี่เยว่ยิ้มๆ “เจียวเอ๋อร์พูดถูก พวกเราแค่คิดขึ้นมา ไม่ได้มีส่วนร่วมในเื่เหล่านี้ สิ่งของพวกนี้ไม่เหมือนกับเครื่องประทินผิวที่มีสูตรลับ เมื่อผลิตออกมาเป็รูปเป็ร่างแล้ว ใครๆ ก็ลอกเลียนแบบได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองโรงงานนี้ก็มีวิธีการผลิตอยู่แล้ว การที่พวกเขายื่นข้อเสนอมาเจรจากับครอบครัวของพวกเรา ก็นับว่าให้เกียรติมากแล้ว”
“เพียงแต่หากไม่มีความคิดของเจียวเอ๋อร์ พวกเขาก็คงไม่มีความคิดที่จะผลิตสิ่งของเหล่านี้ขึ้นมา ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่โถส้วมแบบชักโครกอย่างเดียว หากผลิตออกมาได้ รับรองว่าพวกชนชั้นสูงในแคว้นต้าเยี่ยต้องแย่งกันซื้ออย่างแน่นอน”
“เพียงแค่ให้สิ่งของพวกนี้กับพวกเราโดยไม่เก็บเงิน… แบบนี้ก็ดูจะเอาเปรียบกันเกินไป ข้าคิดว่าโรงหลอมเหล็กอันหลิงก็ช่างเถิด แต่โรงผลิตเครื่องเคลือบจิงผิง พวกเราก็ควรได้ส่วนแบ่งสักสองส่วน”
“หากพวกเขายินดี พวกเราก็ร่วมมือกัน หากพวกเขาไม่ยินดี ครอบครัวของเราก็ให้ค่าแรงและค่าวัตถุดิบกับพวกเขาไปตามเดิม เจียวเอ๋อร์คิดว่าอย่างไร?”
อวิ๋นฉี่ซานขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเอ่ยถาม “พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้บอกหรอกหรือว่า การที่พวกเขายื่นข้อเสนอมาเช่นนี้ก็นับว่ามีมารยาทแล้ว หากพวกเราไม่ตกลง ต่อไปพวกเขาก็ยังคงขายสิ่งของพวกนี้ได้อยู่ดี พวกเราก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้ ในเมื่อเป็เช่นนี้ เหตุใดพี่ใหญ่ถึงบอกว่าหากพวกเขาไม่ยินดีแบ่งส่วนแบ่ง ครอบครัวของเราก็ยังคงจ่ายเงินให้พวกเขา? แบบนี้ไม่โง่หรอกหรือ?”
อวิ๋นเจียวเข้าใจความหมายของอวิ๋นฉี่เยว่ดี นางยิ้มพลางอธิบายให้อวิ๋นฉี่ซานฟัง “พี่รอง ท่านลืมไปแล้วหรือว่าโถส้วมต้องใช้คู่กับบ่อเกรอะ”
อวิ๋นฉี่ซานพลันกระจ่างแจ้ง ใช่สิ หากไม่มีบ่อเกรอะ ทั้งอุจจาระ ทั้งน้ำมากมายขนาดนั้น บ่อส้วมที่บ้านใครจะจุของเสียเ่าั้ได้หมด?
“ถูกต้อง หากพวกเขาไม่ตกลง พวกเราก็ไม่ต้องมอบแบบแปลนบ่อเกรอะให้พวกเขา ต่อให้พวกเขามีโถส้วมก็ไร้ประโยชน์”
“ใช่แล้ว ถึงตอนนั้นต่อให้พวกเขาผลิตโถส้วมออกมาได้ ก็คงถูกคนอื่นรังเกียจเพราะมีน้ำเสียมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นหากไม่มีบ่อเกรอะ เื่กำจัดกลิ่นก็เป็ปัญหาเช่นกัน”
แบบแปลนบ่อเกรอะ หลักการทำงาน รวมถึงท่อน้ำทิ้งและแบบแปลนอื่นๆ ที่อวิ๋นเจียวคิดว่ามีประโยชน์ นางให้เถ้าแก่ร้านหนังสือที่ขาย ‘ตำราหลู่ปัน’ ช่วยคัดลอกไว้ั้แ่สิบกว่าวันก่อนแล้ว
พอนางได้แบบแปลนมาก็รีบมอบให้อวิ๋นฉี่ซานทันที ตอนแรกอวิ๋นเจียวยังครุ่นคิดหาข้ออ้างอยู่นาน แต่ปรากฏว่าอวิ๋นฉี่ซานไม่ถามอะไรสักคำ พอเห็นแบบแปลนก็จ้องมองด้วยความหลงใหล
เอาเถอะ ไม่ต้องหาข้ออ้างแล้ว! ฉะนั้นคราวนี้พอพูดถึงเื่บ่อเกรอะ อวิ๋นฉี่ซานก็ดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที
เขาพูดต่อว่า “หากพวกเขายินยอม เมื่อทำสัญญากันแล้ว พวกเราก็มอบแบบแปลนบ่อเกรอะให้พวกเขา”
อวิ๋นเจียวพยักหน้า “ถูกต้อง ก็เป็เช่นนี้แหละเ้าค่ะ!”
เมื่อทุกคนตกลงเื่โถส้วมแบบชักโครกกันได้แล้ว อวิ๋นฉี่เยว่ก็พูดถึงเื่อื่นต่อ “…ท่านพ่อ ท่านแม่ การสอบเป็บัณฑิตถงเซิงครั้งนี้ ข้าจะไม่เข้าสอบแล้ว ท่านอาจารย์บอกให้ข้าไปสอบซิ่วไฉได้โดยตรงขอรับ”
อาจารย์หม่ารับอวิ๋นฉี่เยว่เป็ศิษย์อย่างเป็ทางการแล้ว ดังนั้นอวิ๋นฉี่เยว่จึงเรียกเขาว่าท่านอาจารย์
ในแคว้นต้าเยี่ย ไม่ว่าจะเป็การสอบระดับท้องถิ่นเพื่อคัดเลือกซิ่วไฉ หรือการสอบระดับมณฑลเพื่อคัดเลือกจวี่เหริน รวมถึงการสอบระดับสูงในเมืองหลวงเพื่อคัดเลือกก้งซื่อ [1] ล้วนจัดขึ้นสามปีหนึ่งครั้ง
การสอบเคอจวี่ยังมีการสอบครั้งสุดท้าย ซึ่งก็คือการสอบหน้าพระที่นั่งที่ฮ่องเต้เป็ประธานด้วยพระองค์เอง
ผู้สอบผ่านการสอบหน้าพระที่นั่งแบ่งเป็สามระดับจะได้รับสมญานามว่า ‘จิ้นซื่อ’ โดยระดับแรก ได้แก่ อันดับหนึ่ง ‘จอหงวน’ อันดับสอง ‘ปั่งเหยี่ยน’ และอันดับสาม ‘ทั่นฮวา’
อาจารย์ตั่งกับอาจารย์หม่าล้วนเป็จิ้นซื่อ ที่สอบได้ระดับสองและเป็รองเพียงสามอันดับแรกจากระดับหนึ่งเท่านั้น ความรู้ของทั้งสองคนนั้นจึงถือว่าแข็งแกร่งอย่างแท้จริง
บังเอิญว่าปีนี้มีการสอบจอหงวนหรือที่เรียกว่า ‘ชิวเหวย’ พอดี ท่านอาจารย์หม่ากับท่านอาจารย์ตั่งต่างเห็นพ้องต้องกันว่า อวิ๋นฉี่เยว่ไม่จำเป็ต้องไปเข้าร่วมการสอบเป็บัณฑิตถงเซิงให้เสียเวลาเปล่าๆ
กล่าวจบอวิ๋นฉี่เยว่ก็ดื่มชาอีกหนึ่งอึก จากนั้นจึงพูดต่อ “ท่านอาจารย์บอกว่าในเมื่อมีท่านอาจารย์คอยสั่งสอนแล้ว ก็ไม่จำเป็ต้องไปเรียนที่สำนักศึกษาอีก!”
จริงๆ แล้วด้วยความสามารถของอวิ๋นฉี่เยว่ เขาไม่จำเป็ต้องไปเรียนที่สำนักศึกษาในตำบลแล้วจริงๆ เพียงแต่หาก้าเข้าสอบเป็บัณฑิตถงเซิง ก็ต้องมีบัณฑิตหลิ่นเซิง [2] เป็ผู้รับรอง และสำนักศึกษาก็มีแหล่งข้อมูลเหล่านี้อยู่
มิเช่นนั้นแล้ว ชาวบ้านธรรมดาๆ ที่ไม่รู้จักแม้แต่ซิ่วไฉสักคน จะไปหาบัณฑิตหลิ่นเซิงที่เป็บัณฑิตซิ่วไฉระดับต้นได้จากที่ไหน?
เมื่อได้ยินดังนั้น อวิ๋นโส่วจงและฟางซื่อก็ดีใจ เพราะบุตรชายของพวกเขา้าเดินเส้นทางสอบเป็ขุนนาง ทั้งสองคนจึงศึกษาเื่ระบบการสอบเป็อย่างดี!
“ฉี่เยว่ เ้าหมายความว่าท่านอาจารย์หม่าจะหาจวี่เหรินมาเป็ผู้รับรองให้เ้า เพื่อให้เ้าได้เข้าร่วมการสอบระดับท้องถิ่นโดยตรงอย่างนั้นหรือ?”
จริงๆ แล้วคำว่า ‘เข้าสอบเป็ซิ่วไฉ’ ที่อวิ๋นโส่วหลี่พูดถึง ความจริงแล้วก็คือการเข้าร่วมการสอบเป็บัณฑิตถงเซิงนั่นเอง ต้องผ่านการสอบเป็บัณฑิตถงเซิงก่อน จึงจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมการสอบระดับท้องถิ่นเพื่อให้ได้รับตำแหน่งซิ่วไฉ
ในแคว้นต้าเยี่ย หากใครพลาดหรือไม่้าเข้าสอบเป็บัณฑิตถงเซิง และมีอิทธิพลมากพอที่จะขอร้องให้จวี่เหรินมาเป็ผู้รับรองได้ ก็สามารถข้ามการสอบบัณฑิตถงเซิงไปสอบระดับท้องถิ่นเพื่อคัดเลือกซิ่วไฉโดยตรงก็ได้เช่นกัน!
การสอบบัณฑิตถงเซิงเป็การสอบที่ยุ่งยากและซับซ้อนที่สุดในบรรดาการสอบทั้งหมด ใช้เวลานานและมีหลายรอบ ดังนั้นชนชั้นสูงและบุตรหลานจากตระกูลใหญ่โตในแคว้นต้าเยี่ยที่พอจะมีเส้นสายอยู่บ้าง ล้วนไม่เข้าร่วมการสอบบัณฑิตถงเซิง แต่จะให้จวี่เหรินมาเป็ผู้รับรอง เพื่อข้ามการสอบบัณฑิตถงเซิง ไปสอบระดับท้องถิ่นได้โดยตรง
อวิ๋นฉี่เยว่พยักหน้าพร้อมกับแก้ไขคำพูดของบิดาด้วยท่าทางสงบนิ่ง “ท่านอาจารย์จะเป็ผู้รับรองให้ข้าเองขอรับ!”
คราวนี้ไม่เพียงแต่อวิ๋นโส่วจงเท่านั้น แม้แต่อวิ๋นเจียวยังรู้สึกประหลาดใจ จะต้องรู้ว่าคนอย่างอาจารย์หม่าที่เป็ถึงจิ้นซื่อนั้น ต้องเป็คนที่รักษาชื่อเสียงของตนเองเป็อย่างมาก หากอุปนิสัยและความรู้ของอวิ๋นฉี่เยว่ไม่เป็ไปตามที่เขา้า เขาไม่มีทางรับอวิ๋นฉี่เยว่เป็ศิษย์อย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาไม่มั่นใจในความรู้ของอวิ๋นฉี่เยว่มากพอ เขาก็คงไม่ยอมเป็ผู้รับรองให้อวิ๋นฉี่เยว่ด้วยตนเอง เพราะหากอวิ๋นฉี่เยว่สอบไม่ติดบัณฑิตซิ่วไฉ ก็เท่ากับเขาจะต้องเสียหน้า!
เชิงอรรถ
[1] ก้งซื่อ (贡士) คือ ตำแหน่งบัณฑิตที่สอบผ่านระดับสูงที่จัดในเมืองหลวง และมีสิทธิ์เข้าสอบรอบสุดท้าย ซึ่งก็คือการสอบหน้าพระที่นั่ง เพื่อชิงตำแหน่งสูงสุด
[2] บัณฑิตหลิ่นเซิง (廪生) เป็ซิ่วไฉที่มีสถานะสูงกว่าซิ่วไฉทั่วไป มักมีหน้าที่ช่วยเหลือบัณฑิตรุ่นใหม่หรือเป็ผู้รับประกันในการสอบ