หลี่ฝูคังและหลี่อิงฮว๋านั่งอยู่บนเกวียนลา
หลี่ฝูคังร้องเรียกด้วยน้ำเสียงดีใจ ท่าทางกระตือรือร้น “พี่ใหญ่ น้องห้าให้พวกเราขับเกวียนมารับท่าน”
“ข้ามาไม่ไกลมาก เหตุใดต้องมารับด้วยเล่า?” แม้ว่าหลี่เจี้ยนอันจะกล่าวเช่นนั้น แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เกวียนลาเข้ามาจอดลงข้างๆ หลี่เจี้ยนอัน หลี่อิงฮว๋าะโลงมาแล้วเลิกผ้าม่านเกวียนขึ้น พบว่าด้านในมีคนนั่งอยู่อีกสี่คน
“เกวียนบ้านเ้าเร็วจริงๆ เพียงแต่โคลงเคลงไปเสียหน่อย” สตรีร่างอ้วนตัวดำผลิยิ้มด้วยดวงตา อุ้มเด็กอายุไม่ถึงห้าขวบลงจากเกวียนแล้วส่งเงินให้หลี่อิงฮว๋าหนึ่งทองแดง
หลี่อิงฮว๋ายิ้มตาหยี มองไปยังเด็กทั้งสองก่อนจะถามว่า “เสี่ยวหู่จื่อ เสี่ยวซานจื่อ นั่งเกวียนสนุกหรือไม่”
“สนุก”
“สนุก ข้าอยากนั่งเกวียนลาของท่านอีก”
เด็กทั้งสองกล่าวด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข ก่อนจากไปยังยื่นมือมาลูบลาด้วย
หลี่ฝูคังรีบกล่าวขึ้นว่า “อย่ายืนด้านหลังพวกมันเป็อันขาด”
เด็กทั้งสองเงยหน้าขึ้นถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ทำไมหรือ”
“ลาจะนึกว่า พวกเ้าคิดจะแอบตี มันจะสะบัดเท้าถีบพวกเ้า” หลี่ฝูคังดึงเด็กทั้งสองไปอยู่ทางด้านข้าง
คนที่ลงจากเกวียนคนสุดท้ายเป็หญิงชราอายุหกสิบกว่าปี ที่มีฟันเหลือเพียงครึ่งเดียว นางค่อยๆ ขยับก้นมาอยู่ทางด้านข้าง โดยมีหลี่อิงฮว๋าคอยประคองนางลงมาที่พื้น นางหยิบห่อสัมภาระขนาดใหญ่เท่าครึ่งตัวคนที่วางอยู่ในเกวียนลงมา ก่อนที่จะยัดเงินหนึ่งทองแดงให้กับหลี่อิงฮว๋าด้วยท่าทีไม่ค่อยพอใจนัก ทำปากขมุบขมิบบ่นขึ้นว่า “เร็วก็เร็วอยู่หรอก แต่แพง”
หลี่อิงฮว๋ายิ้มตอบ “สัมภาระของท่านก็กินที่สำหรับคนคนหนึ่งแล้วขอรับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หญิงชราก็กลัวว่าคนบ้านหลี่จะเก็บเงินนางอีกหนึ่งทองแดง จึงรีบสะพายห่อสัมภาระเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
หลี่ฝูคังกล่าวอย่างลำพองใจว่า “พวกเราจะมารับท่าน ไม่คิดเลยว่าเพิ่งมาถึงปากทางหมู่บ้านก็เจอกับสามแม่ลูกเสี่ยวหู่จื่อแล้ว พวกนางอยากนั่งเกวียน ข้าจึงเก็บเงินพวกนางหนึ่งทองแดง พอออกจากหมู่บ้านก็เจอท่านยายแบกสัมภาระอยู่พอดี ข้าถามนางว่า จะนั่งเกวียนหรือไม่ พอนางได้ยินว่า ข้าไม่เก็บเงินค่าที่วางสัมภาระ นางก็ขึ้นมานั่งทันที”
หลี่อิงฮว๋าแบมือออก ในมือมีเงินอยู่สองทองแดง เขากล่าวด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง “พี่ใหญ่ดูสิ ได้เงินสองทองแดงมาสบายๆ เชียว”
“วันนี้ข้ามาซื้อน้ำมันงา ผู้ดูแลร้านบอกว่า ต่อไปถ้าพวกเรามาซื้อน้ำมันงาอีกจะลดให้ชั่งละสองทองแดงด้วย ไปเถิด... พวกเรากลับบ้านกัน” หลี่เจี้ยนอันอยากจะนำข่าวดีนี้ไปบอกหลี่หรูอี้เร็วๆ
“พี่ใหญ่ ประเดี๋ยวข้าจะบอกวิธีบังคับเกวียนให้ท่านเอง น้องสาม เ้าเข้าไปนั่งในรถก่อน” หลี่ฝูคังบอกให้หลี่อิงฮว๋าเข้าไปในเกวียน
ใช้เวลาไม่นาน หลี่เจี้ยนอันก็เรียนขับเกวียนจนเป็ เขากล่าวอย่างภูมิใจว่า “ไม่นึกเลยว่าการขับเกวียนจะง่ายเพียงนี้”
“ลามีนิสัยเชื่องและเชื่อฟังดี เกวียนลาก็ขับง่าย” หลี่ฝูคังยกแส้ขึ้นตีไปบนก้นลา ก่อนจะะโว่า “ย่ะ!”
ความเร็วของเกวียนเพิ่มขึ้นทีละน้อย ล้อทั้งสองหมุนจนฝุ่นบนพื้นตลบฟุ้ง ทิ้งผู้คนบนถนนไว้ด้านหลัง
หลี่เจี้ยนอันกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “นั่งเกวียนเร็วกว่าเดินเองมากจริงๆ”
หลี่ฝูคังยิ้มตอบ “แน่นอนอยู่แล้ว ต่อไปหากพวกเราจะไปในตำบล หรือที่อำเภอ ก็นั่งเกวียนไปแทน ไปเร็วกลับเร็ว”
หลี่เจี้ยนอันพึมพำขึ้นว่า “หากท่านแม่ขึ้นมานั่งเกวียนพวกเราจะต้องขับให้ช้าเสียหน่อย อย่าให้กระทบถึงท่านแม่และน้องชายที่ยังไม่คลอด”
ในตอนที่เกวียนเคลื่อนเข้าสู่หมู่บ้านหลี่ หลี่ฝูคังก็ลดความเร็วลง เด็กๆ กลุ่มหนึ่งที่เล่นกันอยู่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้านพากันวิ่งตามหลังเกวียนเช่นเดียวกับเมื่อวาน วิ่งไปพลางะโไปพลางว่า
“ลา!”
“ย่ะ!”
“ลาวิ่งช้ากว่าม้า!”
หลี่อิงฮว๋าที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างในตัวเกวียนเห็นเด็กๆ ที่อายุน้อยกว่าตนวิ่งตามเกวียนมาก็คิดในใจว่า หากที่บ้านไม่ซื้อเกวียนแล้วบ้านผู้อื่นซื้อแทน ข้าก็คงต้องวิ่งตามเกวียนเหมือนพวกเขาใช่หรือไม่
เกวียนวิ่งขึ้นสู่เนินจนมาถึงบ้านหลี่ เหล่าเด็กชายของบ้านหลี่นำไหน้ำมันและงาดำลงจากเกวียน จากนั้นจึงลากเกวียนไปที่ลานด้านหลัง
“น้องห้า รีบมาดูเร็วเข้า นี่คือน้ำมันงาที่เ้า้าใช่หรือไม่”
หลี่หรูอี้ที่กำลังปรุงยารีบเก็บวัตถุดิบให้เรียบร้อยแล้วเดินไปที่ห้องโถง พบว่าคนในครอบครัวกำลังห้อมล้อมและดมกลิ่นหอมจากไหน้ำมันงาอยู่ จึงเข้าไปดมกลิ่นน้ำมันงาบ้าง นางทำจมูกฟุดฟิดก่อนที่จะกล่าวว่า “กลิ่นนี้คือน้ำมันงาจริงๆ ไม่ผิดแน่”
งาเติบโตในพื้นที่ภาคเหนือที่อากาศแห้งแล้ง แต่มีผลผลิตต่ำ
เมืองเยี่ยนตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือเช่นกัน ทว่าสภาพดินและสภาพอากาศยังไม่เหมาะแก่การปลูกงา จึงไม่มีชาวบ้านปลูก ต้องเป็พื้นที่ที่อยู่เหนือเมืองเยี่ยนขึ้นไปอีก จึงจะมีชาวบ้านปลูกงา
น้ำมันที่ทำจากงาเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า น้ำมันเมล็ดลินินหรือน้ำมันวัง ในน้ำมันเต็มไปด้วยกรดไขมันลิโนเลนิก ซึ่งมีมากที่สุดในหมู่น้ำมันพืช เปรียบเสมือน ‘น้ำมันปลาทะเลลึก’ ซึ่งเป็น้ำมันเศรษฐกิจ
หากกินน้ำมันงาบ่อยๆ จะช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยไม่ให้ร่างกายแก่เร็ว ลดความดันโลหิต และป้องกันมะเร็งได้อีกด้วย
ในโลกก่อน ราคาน้ำมันงาแพงกว่าน้ำมันพืชมาก ในโลกนี้ก็เช่นเดียวกัน
น้ำมันพืชที่ขายในร้านธัญพืชในตำบลจินจี ราคาชั่งละสามสิบทองแดง น้ำมันงาราคาชั่งละหกสิบแปดทองแดง แพงกว่าน้ำมันพืชสองเท่านิดๆ
ในหนึ่งเดือน จ้าวซื่อขายงานปักผ้าทำเงินได้ยี่สิบกว่าทองแดง ต้องทำงานสามเดือนจึงจะซื้อน้ำมันงาได้หนึ่งชั่ง นางอดที่จะกล่าวไม่ได้ว่า “น้ำมันงาหอมยิ่งนักทั้งยังแพงมากด้วย เ้าจะใช้มันทำอาหารอะไรหรือ”
หลี่หรูอี้กล่าวว่า “ขนมไหว้พระจันทร์รสหวาน”
ขนมไหว้พระจันทร์รสหวาน เป็ขนมไหว้พระจันทร์ที่ตกทอดมาจากภูมิปัญญาของชาวเผ่าบริเวณตอนกลางและตะวันตกในแถบภาคเหนือของจีน เป็ขนมไหว้พระจันทร์ซึ่งเป็เอกลักษณ์ของท้องถิ่นที่ได้รับความนิยมมากในวันไหว้พระจันทร์ของทุกปี ซึ่งเกิดจากการผสานรวมระหว่างภูมิปัญญามนุษย์ วัฒนธรรม และสภาพดินฟ้าอากาศของพื้นที่นั้นๆ เมื่อเทียบกับขนมไหว้พระจันทร์ของกวางตุ้งหรือเซี่ยงไฮ้แล้ว ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานนี้ยังมีคุณค่าทางด้านวัฒนธรรมดั้งเดิมมากกว่าเสียอีก
วิธีทำขนมชนิดนี้สอดคล้องกับนิสัยที่เปิดเผยใจกว้างและค่อนข้างหยาบกระด้างของคนภาคเหนือ กระทั่งกลายเป็ขนมไหว้พระจันทร์ที่ได้รับความนิยมที่สุดในแถบภาคเหนือของจีน
ในโลกนี้ ตำแหน่งที่ตั้งของหมู่บ้านหลี่อยู่ตอนเหนือของแคว้นต้าโจว หลี่หรูอี้เชื่อว่าคนที่นี่ต้องชอบกินขนมไหว้พระจันทร์รสหวานแน่นอน
จ้าวซื่อและเหล่าเด็กชายบ้านหลี่กล่าวขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานหรือ”
ดวงตาของหลี่หรูอี้ส่องประกายเชื่อมั่น กล่าวเสียงดังฟังชัดว่า “ใช่แล้วเ้าค่ะ อีกไม่นานจะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว ข้าจะทำขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ไปขายที่ตลาดในตำบลและอำเภอ”
หลี่เจี้ยนอันกล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ ไม่ทันไรน้องห้าก็ตั้งชื่อแซ่ให้ขนมไหว้พระจันทร์ของบ้านเราแล้ว”
หลี่ิ่หานะโโลดเต้น “ดีจริงๆ พวกเราต้องขายขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่หมดเกลี้ยงแน่”
ทว่าหลี่อิงฮว๋ากลับกล่าวด้วยท่าทีเป็กังวล “น้องห้า ร้านขนมในตำบลจินจีและในอำเภอต้องทำขนมไหว้พระจันทร์ออกมาขายใน่เทศกาลไหว้พระจันทร์แน่นอน ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ของพวกเราต้องใช้น้ำมันงา ทำให้มีต้นทุนสูง จะขายสู้พวกเขาได้หรือ”
“ประเดี๋ยวท่านพี่ลองกินขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ที่ข้าทำก่อนก็จะรู้เอง” หลี่หรูอี้จำได้ว่า ขนมไหว้พระจันทร์ที่ทำขายกันในตำบลและอำเภอจะเป็ไส้จำพวกถั่วลิสง อินทผลัม และวอลนัท รสชาติธรรมดาไม่มีเอกลักษณ์ ยังไม่อร่อยเท่าแป้งย่างสอดไส้ที่นางทำด้วยซ้ำ หากนำมาเทียบกับขนมไหว้พระจันทร์รสหวานก็ยิ่งสู้ไม่ได้เลย
จ้าวซื่อโบกมือให้บุตรีสุดที่รักด้วยสีหน้าคาดหวัง “เ้ารีบไปทำเถิด ให้พวกเราชิมดูหน่อยว่าขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่จะอร่อยขนาดไหน”
“พวกท่านมายืนดูข้างๆ ด้วยนะเ้าคะ ต้องเรียนกันไว้ให้เป็ ต่อไปพวกท่านต้องช่วยทำขนมไหว้พระจันทร์ด้วย” หลี่หรูอี้ออกคำสั่ง กระทั่งจ้าวซื่อก็ยังต้องวางเข็มและด้ายในมือลงแล้วเดินตามเข้าไปในครัว
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้