หลัวจิ่งหวนรำลึกถึงภาพเหตุการณ์ในวันเดียวกันขึ้นมา มารดากำลังพาเขาเข้าไปจุดธูปบูชาในห้อง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลานบ้านเท่าไร มีองครักษ์พบว่าเหตุการณ์บางอย่างผิดปกตินัก มารดาจึงส่งองครักษ์ไปสืบข่าวล่วงหน้า ข่าวที่สืบได้กลับมาทำให้มารดาตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี เมื่อสติกลับคืนจึงพาเขาขึ้นรถม้าคิดจะไปหาสถานที่หลบซ่อน แต่กลับใกับทหารทางการที่มาล้อมรอบจวน ทหารม้าสี่นายพาทหารราบอีกสิบกว่านายมาเกือบจะล้อมรอบพวกเขาไว้แล้ว มารดาะโหนึ่งเสียงกับคนบังคับรถม้าด้วยความตะลึงงัน คนบังคับม้าจึงรีบเร่งตบม้าห้อตะบึงออกไป
องครักษ์ที่ติดตามมา อยู่ขัดขวางการไล่ตามของทหารอยู่พักหนึ่ง ทำให้รถม้ามีทางหนีทีไล่ได้ผ่อนลมหายใจ ตลอดเส้นทางเร่งรีบไปยังประตูเมืองที่ใกล้ที่สุด น่าเสียดายที่เพิ่งออกจากประตูเมืองได้ไม่นาน ก็มีทหารม้าสี่นายไล่ตามหลังมาจากระยะไกล สีหน้ามารดาซีดขาวและกอดหลัวจิ่งไว้ด้วยความสั่นเทาไปทั้งตัว ในปากกล่าวไม่หยุด “จิ่งเอ่อร์ อย่ากลัว”
คนขับรถม้าพุ่งเข้าไปถนนเส้นเล็กข้างทางอย่างไม่มีทางเลือก ตลอดทางเลียบๆ เคียงๆ ตามทางูเาไปข้างหน้า เสียงะโอันดุดันของทหารที่ไล่กวดราวกับว่ายิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คนขับรถม้าทำอะไรไม่ถูกจึงตัดสินใจเฆี่ยนหลังม้าด้วยความใ ม้าถูกเฆี่ยนรู้สึกได้ถึงความเ็ป ทำให้รถม้าเลี้ยวอย่างฉับพลันบนทางูเาขรุขระ จนตู้เกวียนไปชนเข้ากับหินก้อนใหญ่ที่อยู่ข้างทาง ในเวลานั้นคนขับรถม้าถูกสะบัดออกห่างไปหลายเมตร ส่วนมารดากับเขาสองคนในรถกระเด็นออกมาจากตู้เกวียนอย่างจนตรอก กลิ้งลงไปอยู่ข้างทาง ส่วนม้าตัวนั้นลากรถเปล่าควบอย่างรวดเร็วไปต่อไม่หยุด
มารดาไม่สนใจร่างกายที่ตกลงมาจนเจ็บของตนเอง รีบประคองหลัวจิ่งลุกขึ้น ริมฝีปากกล่าวปลอบเขาด้วยความสั่นเทา “ไม่เป็ไร ไม่เป็ไร”
เสียงกีบม้าที่ควบเร็วมาจากด้านหลังเหมือนหัวใจของนางที่จังหวะบีบเร่งเหมือนจะเอาชีวิต สมองของหลัวจิ่งยังคงงงงันและทันใดนั้นก็ได้สติขึ้นมา “ท่านแม่ พวกเราลุกขึ้นไปหลบซ่อนก่อนเถิด”
มารดาพยักหน้าโดยมิรอช้า วิ่งก้าวยาวๆ โดยไม่รั้งฝีเท้ามุ่งเข้าป่าที่อยู่ลึกเข้าไป คนขับรถม้าที่ตกลงมาอยู่ด้านข้างจึงรีบลุกขึ้นตามติดเพื่อหลบหนี
หลังจากทั้งสามคนนั่งยองๆ หลบอยู่หลังกองพุ่มไม้เตี้ย ม้าเร็วสี่ตัวทั้งสูงทั้งใหญ่ทยอยปรากฏอยู่ตรงหน้าพุ่มไม้พวกเขา หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนทิศ มุ่งไปยังทิศทางรถม้าต่อไป
สามคนผ่อนลมหายใจเฮือกหนึ่งเบาๆ สีหน้ามารดาขาวซีด สองมือที่ประคองหลัวจิ่งเย็นเยือก กล่าวกับเขาด้วยเสียงสั่น “จิ่งเอ่อร์ เกรงว่าที่บ้านจะถูกองค์ไท่จื่อปิดล้อมไว้แล้ว ไม่กี่วันก่อนบิดาเ้ายังตระเตรียมให้ข้าพาพวกเ้าเล็กๆ ไม่กี่คนไปหลบซ่อนในหมู่บ้าน แต่คาดไม่ถึงนัก ว่าองค์ไท่จื่อจะกล้าบุ่มบ่ามเช่นนี้ องค์ฮ่องเต้เพียงพระวรกายประชวร เขากลับกล้าลงมือหนักเช่นนี้ บ้าน…กลับไปไม่ได้แล้ว พวกเราทำได้เพียงหลบซ่อนก่อน”
มารดาน้ำตานองหน้าสั่นระริกไปทั้งตัว
“ท่านแม่ พวกเราไปหาพี่ใหญ่เถิด” หลัวจิ่งเป็ลูกที่เกิดจากภรรยาหลวงของจวนสกุลหลัวในลำดับที่เล็กที่สุด ั้แ่เด็กถูกที่บ้านประคบประหงมอยู่กลางอุ้งมือคอยปกป้องอย่างระมัดระวัง แม้สกุลหลัวจะไม่นับว่าเป็ครอบครัวกลุ่มปัญญาชนที่มีอำนาจราชศักดิ์เก่าแก่ร้อยปี แต่ท่านปู่ของเขาเป็บัณฑิตฮั่นหลิน [1] ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ลำดับที่สอง บิดาเป็กวงลู่ซื่อชิง [2] จากลำดับที่สาม แล้วยังมีท่านอาที่เป็บัณฑิตประจำสำนักราชเลขาธิการ ล้วนเป็ขุนนางที่มีชั้นยศ เป็กลุ่มตระกูลที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีชื่อเสียงสูงมาก ขณะเดียวกันยังเป็หินหลักกลางกระแสชล [3] ด้วย ไหนเลยจะคิดว่าจู่ๆ ระหว่างนั้น ในตระกูลจะประสบกับภัยครั้งใหญ่เช่นนี้
หลัวจิ่งกัดฟันเสียจนดังกึกๆ ด้วยความโกรธแค้น หลัวรุ่ยพี่ชายคนโตกำลังต่อต้านข้าศึกที่มาจากภายนอกอยู่ชายแดนทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ส่วนองค์ไท่จื่อองค์นี้กลับ้าค้นบ้านยึดทรัพย์และฆ่าทั้งครอบครัวของเขา
“นี่…” มารดาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง นึกถึงบุตรชายคนโตที่อยู่ชายแดนห่างไกลขึ้นได้ ตอนแรกคิดว่าชายแดนทิศตะวันตกเฉียงเหนือสุขสงบร่มเย็น แต่การสมัครเข้าร่วมเป็ทหารความเสี่ยงกลับมากนัก นางจึงคัดค้านบุตรชายที่จะเข้าร่วมเป็ทหาร แต่ตอนนี้ กลับปีติยินดีอย่างหาอะไรเปรียบไม่ได้ บุตรชายคนโตไม่อยู่เมืองหลวง และทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็เป็ขอบเขตอำนาจของพระราชบุตรองค์ที่สี่ พระราชบุตรองค์ที่สี่ตั้งมั่นอยู่ชายแดน ป้องกันกลุ่มชาติพันธุ์ภายนอกมาหลายปี รากฐานองค์ไท่จื่อไม่มั่นคงนัก น่าจะไม่ตั้งตนเป็ศัตรูกับพระราชบุตรองค์ที่สี่เป็การชั่วคราว หลัวรุ่ยพักอยู่ที่นั่นนับว่าปลอดภัยแล้ว
“ฟู่ ฟู่เหริน คุณชายเจ็ด พวกเรารีบลุกไปหาสถานที่หลบซ่อนกันเถิด รถม้านั่นไม่มีคนขับอีกเดี๋ยวก็หยุดลงแล้ว ในไม่ช้าทหารทางการก็จะหันกลับมาทางนี้ได้” จูเต๋อเซิ่งคนบังคับรถม้าเตือนด้วยความกลัวจนใจเต้นรัวและตัวสั่น
เมื่อมารดาได้ฟังใบหน้าก็ซีดลงหลายส่วนอีกครั้ง “ใช่ ใช่ หลบซ่อนภัยนี้ก่อนค่อยว่ากัน
นางจูงหลัวจิ่งขึ้นแล้วเดินไปทางป่าเขาที่ลึกเข้าไป แต่... มารดาชีวิตอยู่ดีกินดีมาหลายสิบปี เส้นทางูเาเลี้ยวลดคดเคี้ยววกวน เดินได้ไม่กี่ก้าวลมหายใจก็ถี่กระชั้นแล้ว
เป็ไปดั่งคาด สามคนเดินไปได้สักพัก เสียงกีบม้าก็วนกลับมาอีกครั้ง “ต้องอยู่แถวนี้เป็แน่ ด้านนั้นยังมีรอยเท้าไม่น้อย”
“ลงจากหลังม้า ค้นหา”
ได้ยินเสียงจากระยะไกลของทหารที่ไล่ตามขึ้นเขามาค้นหา ั์ตามารดาทอความสิ้นหวัง การเดินเท้าเช่นนี้ของนางคงจะวิ่งไม่ไหวแน่ๆ นางใช้แรงกอดหลัวจิ่งเอาไว้อย่างตัวสั่น “จิ่งเอ่อร์ ยู่เซิงของข้า เ้าจะต้องมีชีวิตที่ดีต่อไป”
ทันใดนั้นนางผลักเขาออกอย่างเต็มแรง หันไปยังคนบังคับรถม้า กล่าวเสียงเบา แววตาแฝงไว้ด้วยการรอคอยและวิงวอน “เ้าชื่อจูเต๋อเซิ่งกระมัง เป็ญาติห่างๆ ของพ่อบ้านจูล่ะสิ เวลานี้ทำได้เพียงต้องพึ่งเ้าแล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะแยกทหารให้ไล่ตามข้าไป เ้าพาคุณชายเจ็ดลุกขึ้นไปหลบซ่อนก่อน หากเป็ไปได้ให้พาเขาหลบซ่อนไปก่อนสักปีสองปี” ระหว่างที่พูดคุยมารดาก็เอากำไลทองกำไลหยกที่สวมบนมือ ดึงปิ่นปักผมทอง เครื่องประดับหยกบนศีรษะทั้งหมดออกมา แล้วยัดใส่มือให้คนขับรถม้าทั้งหมด จูเต๋อเซิ่งรับมาด้วยอาการสั่นเทา “ฟู่ ฟู่เหริน นี่ นี่…”
เสียงจังหวะฝีเท้าของทหารที่ค้นหาบนเขายิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มารดาดึงหลัวจิ่งมาให้พวกเขาหลบซ่อนอยู่หลังก้อนหินใหญ่กองหนึ่ง “ยู่เซิง จำไว้ หลบซ่อนก่อน มีชีวิตต่อไปสกุลหลัวถึงจะมีความหวัง หลังจากนี้ค่อยไปหาพี่ใหญ่ของเ้า จูเต๋อเซิ่ง ไหว้วานเ้าแล้ว” กล่าวจบ มองหลัวจิ่งหนึ่งทีอย่างลึกซึ้ง แล้วจึงยกชายกระโปรงขึ้นวิ่งก้าวยาวๆ ไปยังทิศทางอีกฝั่งหนึ่ง
“ไม่…” หลัวจิ่งก้าวเท้าขึ้นคิดจะไล่ตามหลังไป จูเต๋อเซิ่งคว้าตัวไว้ “คุณชาย ท่านอย่าให้ความทุ่มเทของฟู่เหรินเสียแรงเปล่า หากออกไปไม่เพียงแต่ฟู่เหรินถูกจับกุมไว้เท่านั้น แต่ท่านเองก็หนีไม่พ้น สกุลหลัวจะไม่มีคนร้องทุกข์ขอความเป็ธรรมแทนพวกเขาแล้ว”
จูเต๋อเซิ่งดึงหลัวจิ่งที่ต่อสู้ดิ้นรนจะไปยังทิศทางข้างหน้าที่มารดาวิ่งออกไป ป่าไม้ตรงหน้าสะท้อนเสียงะโของทหารไล่ตาม หลัวจิ่งดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำและกัดริมฝีปากแน่น แววตาอันลึกซึ้งก่อนจากของมารดาทิ่มแทงใจเขาเ็ปนัก ทำได้เพียงปล่อยให้จูเต๋อเซิ่งลากตนเองที่เดินขากะเผลกไปตามทาง นับั้แ่สถานการณ์ในป่าที่ถอยหลังจากมา ตลอดทางหลังจากนั้นได้กลายเป็ฝันร้ายของเขา ทุกครั้งที่ใตื่นกลางดึก ความโศกเศร้าขนาดมหึมาก็กดทับเสียจนเขาหายใจไม่ออก
ครั้นหลัวจิ่งอยู่โดดเดี่ยวคนเดียว มักจะหวนรำลึกถึงความโศกเศร้าที่ทำให้เขาหายใจไม่ออกเช่นนั้นขึ้นมาบ่อยๆ เมื่อเป็เช่นนี้เขาจะกัดฟันสู้พยายามอดทนความเ็ปอย่างสุดความสามารถเสมอ กัดริมฝีปากของตนเองจนเืสีแดงฉานไหลออกมาไม่หยุดอยู่บ่อยๆ
เจินจูเคาะประตูห้องเบาๆ เห็นว่าไร้คนตอบกลับ จึงผลักประตูเข้ามา หลัวจิ่งที่นอนบนเตียง กัดฟัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความเ็ปทรมาน เืสีแดงฉานเล็กน้อยไหลซึมออกจากปาก เจินจูรีบก้าวมาข้างหน้า ตบหลัวจิ่งเบาๆ “ยู่เซิง ยู่เซิง ตื่นสิ ตื่นสิ”
น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นต่อเนื่องเบาๆ หลัวจิ่งขมวดคิ้วแล้วผ่อนคลายลงช้าๆ รูม่านตาที่อ่อนแรงค่อยๆ ปรับระยะความชัดแล้วมองตามไปยังทิศทางของเสียง ใบหน้าย้อนแสงของเด็กสาวอ่อนโยนเป็พิเศษ
“ยู่เซิง ยู่เซิง เ้าตื่นแล้ว? ฝันร้าย? ไม่ต้องกลัว ฝันร้ายจะกลายเป็สิ่งตรงกันข้าม ต่อไปเ้าจะดีขึ้นได้” เสียงของเด็กสาวนุ่มนวลอ่อนโยนปลอบจิตใจที่สั่นเทาของหลัวจิ่ง ราวกับสายลมอ่อนๆ เย็นสบายพัดกระจายเมฆหมอกครึ้ม แล้วม้วนตัวกลับมาร้อนผ่าวภายในใจเขาอยู่พักหนึ่ง
“อย่ากลัว อย่ากลัว เด็กผู้ชายต้องเข้มแข็งหน่อย” ภูมิหลังของยู่เซิงคนร่อนเร่ผู้นี้ต้องมีเื่ราวเ็ปใจที่ไม่มีใครรู้แน่นอน ในแววตาของเขามีอารมณ์เชิงลบมากเกินไป ในบ่อโคลนเลนที่รวมเอาความรู้สึกสับสน อ่อนแอ ความเ็ปทรมาน ความเคียดแค้นพันไว้ด้วยกัน จึงทำให้เขาหล่นลงไปในหลุมลึกของความเ็ปทุกข์ทรมาน
เจินจูไม่อยากสืบสาวความลับในนั้น แต่ละวันบนโลกแสดงให้เห็นทุกข์สุขของการพบปะแล้วลาจากมากมายเพียงใด และการจากลาที่กว่าจะพบกันอีกครั้งก็ไม่ง่ายเลย ตราบใดที่มีชีวิตอยู่ จะต้องประสบพบเจอผ่านไปได้ด้วยตนเอง มนุษย์อ่อนแอตัวเล็กเพียงนิด เกิด แก่ เจ็บ ตาย เคียดแค้นบ้านเกิดเกลียดชังประเทศ [4] านับไม่ถ้วน นางมิใช่พระแม่มารีย์ กอบกู้ชีวิตใครไม่ได้ ทุกสิ่งที่นางทำได้ขณะนี้ คือฟื้นฟูให้อาการาเ็เขาดีขึ้น เื่หลังจากนี้นางจัดการไม่ได้แล้ว
ชุ่ยจูยืนมองเด็กชายที่ชื่อยู่เซิงผู้นี้อยู่ด้านหลังอย่างประหลาดใจ รอยแผลทั่วใบหน้าและสีอมเขียวเกิดขึ้นพร้อมกัน หน้าบวมเสียจนมองเครื่องหน้าไม่ออกเลย มุมปากมีร่องรอยเืสีแดงฉานเล็กน้อย น่าใเสียจนชุ่ยจูหดศีรษะไปหลบอยู่เื้ัของเจินจู
หลัวจิ่งค่อยๆ สงบจิตใจลง แต่ในใจกลับรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่ถูกคนมองทะลุจิตใจ อดไม่ได้ที่จะย้ายสายตาออกไปมองสิ่งอื่นและนิ่งเงียบ
เจินจูไม่ได้โกรธ จิติญญาของนางเป็ผู้ใหญ่คนหนึ่งจะโต้เถียงอะไรกับเด็กชายที่่เวลาสองกลาง [5] ตอนนั้นจึงยิ้มบางๆ แล้วใช้เสื้อผ้าเก่ารองศีรษะให้เขา “ยู่เซิง ดื่มน้ำสักเล็กน้อยให้ชุ่มคอก่อน อาหารกลางวันยังต้องรออีกสักครู่” ป้อนน้ำร้อนที่ผสมน้ำแร่จิติญญาลงไปทีละช้อนๆ
หลัวจิ่งมองเด็กสาวแวบหนึ่ง มุมปากอมยิ้มท่าทางลมเบาเมฆจาง [6] ท่าทางของนางที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใจเย็นราวกับไม่คิดเล็กคิดน้อยในท่าทีของเขาแม้เพียงนิดนั่น กลับยิ่งทำให้เขาเอาแต่ใจและไม่สบอารมณ์ยิ่งขึ้นไปอีก น้ำอุ่นหวานบริสุทธิ์ที่ดื่มลงไปถึงในท้อง ช่วยปลอบประโลมให้จิติญญาที่กระสับกระส่ายไม่สงบของเขาชุ่มชื้นผ่อนคลาย เขาจึงเปิดปากกล่าวความรู้สึกภายในใจ “ขอบคุณ!”
เจินจูเลิกคิ้ว แสดงออกว่าแปลกใจเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าเด็กน้อยที่ไม่สบอารมณ์จะกล่าวขอบคุณ เฮอ... เด็กน้อยที่มีมารยาททำให้คนชอบกว่ามากจริงๆ “ไม่ต้องขอบคุณ เ้าพักอีกสักหน่อย อย่าฝันร้ายอีกนะ คนที่มีชีวิตอยู่เอาแต่คิดเื่ไม่ดีอยู่ตลอดไม่ได้หรอก ต้องมุ่งไปข้างหน้ามองโลกในแง่ดีให้มากไว้”
เจินจูปลอบโยนไปเรื่อยเปื่อย บางคำกล่าวอ้อมๆ ให้ตรงประเด็น ไม่จำเป็ต้องตรงไปตรงมามากนักหรอก
หลัวจิ่งเงียบ เจินจูก็ไม่เอามาใส่ใจ แล้วยกถ้วยออกจากห้องไป ชุ่ยจูตามติดตลอดทาง เมื่อห่างออกมาไกลจึงถามอย่างแปลกใจ “เจินจู เขาาเ็รุนแรงมากนัก ทั่วทั้งใบหน้ามองแล้วทำให้คนใจริงๆ เ้าไม่กลัวหรือ?”
“มีอันใดน่ากลัวกัน เขาได้รับาเ็และขาหัก ยังจะสามารถทำอันใดท่านได้” เจินจูมองนางอย่างขบขันแล้วกล่าว
“แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ใบหน้านั่นบวมเสียจนทำให้คนใมากนัก ผู้ใดใจอำมหิตเช่นนั้น จึงทุบตีคนจนกลายเป็เช่นนี้ได้” ชุ่ยจูยังคงตบหน้าอกเบาๆ ขัดแย้งอยู่ภายในใจเล็กน้อย
“อื้ม เช่นนั้นท่านอย่าเข้าไปเยี่ยมเขาก็พอ การาเ็ของเขามองแล้วน่ากลัวนัก ที่จริงผ่านไปสิบกว่าวันก็หาย ถึงตอนนั้นก็ไม่ทำให้คนใแล้ว” เจินจูกล่าวตอบ
“หายได้เร็วเช่นนี้?”
“เร็วที่ไหนกัน เด็กน้อยใหม่เก่าสับเปลี่ยน [7] เร็วนัก หากอาการบวมหายไปก็ดีขึ้นเร็วแล้ว”
“ใหม่เก่าสับเปลี่ยนคืออันใดหรือ?”
“เอ่อ… ไม่ใช่ หมายความว่าเด็กน้อยโตเร็วนัก ท่านไม่เห็นครั้งก่อนที่หน้าผากข้ากระแทกแล้วพันศีรษะอยู่ไม่กี่วันก็หายแล้วหรือ”
“เอ๋... ใช่แล้ว ครั้งก่อนเจินจูก็ดูรุนแรงนัก แต่ดีขึ้นได้เร็วมากจริงๆ”
“ฮ่า ฮ่า ใช่ไหมเล่า เด็กน้อยก็เช่นนี้” เจินจูเบี่ยงเบนหัวข้อออกไป “ไปดูลูกชิ้นหัวไชเท้าของท่านย่าว่าทำเสียจนเป็เช่นไรแล้วเถิด”
หวังซื่อคู่ควรกับการเป็คนที่มีฝีมือบนเตานัก ตอนนี้ได้เริ่มทอดลูกชิ้นแล้ว แต่ละเม็ดลูกเล็กใหญ่สีทองได้สัดส่วนกำลังดี อยู่ในหม้อน้ำมันที่เสียงดังออกมา ฉี่...ฉี่ ในถาดด้านข้างมีอยู่หลายเม็ดทอดเสร็จแล้ว เจินจูหยิบเอาหนึ่งเม็ดขึ้นมาชิมอย่างรอไม่ไหว อื้ม... เจินจูแก้มนูนขึ้นแล้วพยักหน้าไม่หยุด ข้างนอกเหลืองกรอบข้างในหอมนุ่มเป็ความสำเร็จอย่างมาก ยกนิ้วหัวแม่มือใหญ่ๆ ตั้งตรงให้กับหวังซื่อ บนใบหน้าเคร่งขรึมของหวังซื่อยิ้มบานสะพรั่งอยู่พักหนึ่ง
ชุ่ยจูเองก็ชิมหนึ่งเม็ด ข้างนอกกรอบข้างในหอมอร่อยถูกปากจริงๆ ยังไม่ทันได้กลืนลูกชิ้นลงไปก็รีบชื่นชมแล้ว “ท่านย่า ท่านทำได้อร่อยนัก อร่อยมากจริงๆ”
ชิมลูกชิ้นของหวังซื่อแล้ว เจินจูมีความมั่นใจในการขายช่วนช่วนเซียงมากขึ้น ลูกชิ้นหัวไชเท้านี้เทียบกับยุคปัจจุบันที่นางทานแล้วอร่อยกว่ามากนัก แน่นอนว่าที่นี่ต้องอันดับหนึ่ง หัวไชเท้าที่รดน้ำด้วยน้ำแร่จิติญญาก็มีคุณงามความดีอยู่หลายส่วน แต่... นางเชื่อว่าหากเป็หัวไชเท้าธรรมดา ลูกชิ้นนี้ก็จะไม่ต่างไปเท่าไร
“อ่า... ลูกชิ้นทอดเสร็จแล้ว” ผิงอันเปล่งเสียง “อู้ฮู” ออกมา
เชิงอรรถ
[1] บัณฑิตฮั่นหลิน ก่อตั้งครั้งแรกในราชวงศ์เหนือใต้ และต้นราชวงศ์ถัง มีร่างพระราชกฤษฎีกาภายใต้ชื่อบัณฑิตหรู ในรัชสมัยของจักรพรรดิถังเสวียนจง บัณฑิตฮั่นหลินได้กลายเป็คนสนิทของฮ่องเต้ และมักได้รับเลื่อนตำแหน่งให้ขึ้นเป็อัครเสนาบดี
[2] กวงลู่ซื่อชิง “กวงลู่ซื่อ” หมายถึง วัดกวงลู่ “ชิง” หมายถึง ตำแหน่งที่มีมาั้แ่สมัยราชวงศ์ฮั่น เป็ฝ่ายจัดการฝ่ายหนึ่งในวังหลวง จะดูแลจัดการงานเซ่นไหว้บูชา พระกระยาหารฮ่องเต้และงานเลี้ยง ซึ่งลำดับชั้นแบ่งเป็ ชิง เซ่าชิง เฉิง และจู่ป๋อ จำนวนตำแหน่งละหนึ่งคน
[3] หินหลักกลางกระแสชล อุปมาว่า เป็บุคคลที่เป็แกนกลาง
[4] เคียดแค้นบ้านเกิดเกลียดชังประเทศ หมายถึง ความเคียดแค้นที่ประเทศชาติถูกรุกราน ความเกลียดชังที่บ้านเกิดเมืองนอนถูกทำลาย
[5] ่เวลาสองกลาง หมายถึง วัยรุ่นที่อยู่ใน่หนุ่มสาว (ชายอายุ 15-16 ปี หญิงอายุ 13-14 ปี) เด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีปัญหาที่คิดว่าตนเองทำหรือคิดอะไรล้วนถูกต้อง
[6] ลมเบาเมฆจาง หมายถึง ลมอ่อนๆ พัดผ่านบางเบา ใช้บรรยายว่าท้องฟ้าปลอดโปร่ง ในที่นี้จึงหมายความว่าอมยิ้มท่าทางสงบนั่นเอง
[7] ใหม่เก่าสับเปลี่ยน อุปมาว่า ของใหม่ได้เจริญเติบโตขึ้นมาแทนที่ของเก่า ส่วนในนิยายหมายถึง ร่างกายของเด็กสร้างเมแทบอลิซึมได้ดีจึงทำให้การฟื้นฟูร่างกายเป็ไปอย่างรวดเร็ว