“รู้แล้วๆ แค่ท่านคนเดียว จริงๆ นะ แค่คนเดียวนี่แหละ” หลินหวั่นชิวรีบยอมจำนน นางสู้รบอีกรอบไม่ไหวแล้ว ไม่ใช่นางเอกนิยายลามกนะที่มาเป็คันรถก็รับไหว
ภรรยาตัวน้อยยอมจำนน ชายฉกรรจ์ก็พอใจแล้ว
“ภรรยาจ๋า…เหตุใดเ้าหาเงินเก่งถึงเพียงนี้…” เจียงหงหย่วนซุกหน้าลงในผมหลินหวั่นชิว สูดดมกลิ่นของนางเข้าเต็มปอด
ไพ่นกกระจอกหนึ่งชุดได้มาห้าพันตำลึง นี่เป็แค่เศษเสี้ยว รอให้บ่อนไพ่นกกระจอกเปิดแล้วย่อมมีเงินปันผลทุกปี
อันอี้จวีมีกำไรคงที่ที่เดือนละหนึ่งพันถึงสองพันตำลึง (ในฐานะที่หลินหวั่นชิวเป็ผู้ค้าส่ง นางเอากำไรออกไปแล้วครึ่งหนึ่ง ที่เหลือเป็กำไรสุทธิของอันอี้จวีที่เปิดเผยสู่ภายนอก หรือหมายความว่า แท้จริงแล้วอันอี้จวีมีกำไรต่อเดือนอยู่ที่สามถึงสี่พันตำลึง) เขาได้เงินเดือนจากบ่อนเดือนละยี่สิบตำลึง บวกกับเงินรางวัลเวลาทวงหนี้ รวมกันแล้วก็ประมาณร้อยตำลึง
เวลาขึ้นเขาไปล่าสัตว์ก็เช่นกัน ล่าสัตว์กลับมาได้เป็กอง ขนาดล่าเสือก็ยังอยู่ที่พันแปดร้อยตำลึง…
แรงกดดันเยอะเหลือเกิน
ช่างเถิด หาเงินเก่งไม่เท่าภรรยาตัวน้อย เขาไปพยายามด้านอื่นดีกว่า
“ตระกูลหลินมีแต่คนโง่ ไล่เทพเ้าแห่งความร่ำรวยออกจากบ้านเสียได้…”
“เหตุใดเล่า ท่านเป็เดือดเป็ร้อนแทนตระกูลหลินหรือ?”
“ไม่ใช่ ข้ารู้สึกว่าพวกเขาตาสุนัขต่างหาก[1]”
เสียใจที่เ้ามีพ่อแม่เช่นนั้น ขณะเดียวกันก็โทษตัวเองว่าเหตุใดไม่เกิดใหม่ให้เร็วกว่านี้ จะได้รีบพาเ้าออกจากกระแสน้ำวนสกปรกนั้น
ภรรยาตัวน้อยพอใจในคำตอบมาก
“จริงสิ ท่านให้คนช่วยจัดการหลินฉินกับหลินกุ้ยฮวาหรือ? จนถึงตอนนี้พวกนางยังไม่ได้ออกมาเลย” พูดถึงตระกูลหลินแล้วนางนึกเื่นี้ขึ้นได้
เจียงหงหย่วนส่ายหน้า “เปล่า แต่สวีเทากับสวีลั่งถูกคนยัดกระสอบอัดจนลุกจากเตียงไม่ได้ ข้าเดาว่าน่าจะเป็ฝีมือสวีเต๋อเซิ่งสองพี่น้อง หลินซย่าจื้อพลั้งปากพูดเื่สวีเทาเพื่อให้เ้าเชื่อใจจะได้รีดเงินจากเ้า ทั้งยังร่ายเื่สกปรกของสวีฝูแต่ถูกคนที่ท่านแม่สุ่ยเซิงพามาได้ยินเข้า… สวีฝูไม่ใช่คนดี สวีเต๋อเซิ่งกับสวีเต๋อเม่ายิ่งแล้วใหญ่”
“หมายความว่า ที่หลินกุ้ยฮวากับหลินฉินยังออกจากห้องขังไม่ได้เป็ฝีมือสวีเต๋อเซิ่งเช่นนั้นหรือ?”
“เป็ไปได้ แต่ปล่อยให้พวกสุนัขกัดกันเองก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ?” เจียงหงหย่วนบีบเนื้อนุ่มพูดอย่างไม่ใส่ใจ
หลินหวั่นชิวคิดดูแล้วก็ใช่ ไม่ใส่ใจเื่นี้อีก ศัตรูยิ่งน่าเวทนา นางยิ่งเบิกบานใจ
เพราะที่น่ากลัวตอนนี้คือ ชายฉกรรจ์ที่กำลังบีบคลำนางอยู่ตอนนี้ต่างหาก แต่นางกลับเคยชินแล้วเสียได้!
ทั้งยังผล็อยหลับอย่างสบายใจอีก!
ขายหน้าจะตายอยู่แล้ว!
เช้าวันรุ่งขึ้น ฟ้าสว่างจ้าแล้วหลินหวั่นชิวเพิ่งตื่น ข้างกายไม่มีผู้ใด
สอบถามตอนกินข้าวเช้าก็รู้ว่าชายฉกรรจ์ออกจากบ้านไปั้แ่เช้า บอกยายสวีว่าเที่ยงนี้ไม่กลับบ้าน จะกลับมาอีกทีหลังเลิกงานจากบ่อน ให้นางช่วยบอกหลินหวั่นชิว ว่าคืนนี้ไม่ต้องรอเขา
หลินหวั่นชิวฟังยายสวีแล้วผิดหวังเล็กน้อย
จบสิ้นแล้ว
เกรงว่านางจะโดนชายฉกรรจ์วางยาเข้าเสียแล้ว
“ไท่ไท่ นายท่านบอกให้นายน้อยสามพาสหายร่วมสถานศึกษามาหลังเลิกเรียนเ้าค่ะ”
หลินหวั่นชิวรู้ว่าหมายถึงเื่ที่ให้พวกเขามาระบายสี พยักหน้าว่า “นายน้อยสามจะพาสหายมาบ้าน เช่นนั้นวันนี้ท่านซื้อกับข้าวกลับมาเยอะหน่อยเถิด ลองไปดูว่ามีเนื้อแกะขายหรือไม่ หากมีก็ซื้อกลับมา คืนนี้พวกเราทำต้มเนื้อแกะ ซื้อพวกเห็ด หัวไชเท้าและผักชีด้วย…”
“เ้าค่ะ ข้าจะไปซื้อประเดี๋ยวนี้” ยายสวีรับเงินจากหลินหวั่นชิวแล้วถือตะกร้าออกจากบ้านไป
หลินหวั่นชิวถือโอกาสไปเก็บกวาดห้องศิลปะ แกะฉลากของสีเทียนและดินสอสีที่จะใช้ออก ใส่ลงในตะกร้า
จากนั้นจัดวางหนังสือภาพสำหรับฝึก
คิดไปคิดมาก็วางหนังสือภาพลงบนชั้นหนังสืออีกจำนวนหนึ่ง
เก็บกวาดเสร็จแล้วมองดู…ค่อนข้างเข้าท่าเลยทีเดียว
นางอาศัยจังหวะที่ไม่มีผู้ใดอยู่บ้านมาซื้อขาตั้งวาดภาพขนาดใหญ่จากเสียนอวี๋หนึ่งตัว ไว้เด็กๆ จากสถานศึกษามาถึงแล้วต้องอธิบายให้พวกเขาฟังว่าต้องระบายสีอย่างไร วิธีจับคู่สีหลัก วิธีไล่สี
ก่อนพลบค่ำ เจียงหงหนิงพานักเรียนกลับมาด้วยห้าคน ทุกคนสวมเสื้อคลุมของสถานศึกษา เจียงหงหนิงใส่เสื้อนวมด้านใน ตัวเขากลมพอง ใบหน้าดวงน้อยแดงระเรื่อ ดูแล้วอบอุ่นยิ่งนัก
แต่เด็กหนุ่มห้าคนที่เขาพามาด้วยนั้นตรงกันข้าม แต่ละคนสวมเสื้อผ้าชั้นบาง ใบหน้าซีดขาว มือมีแผลเปื่อยที่เกิดจากอากาศหนาว
“พี่สะใภ้” เจียงหงหนิงทักทายหลินหวั่นชิวอย่างตื่นเต้น ทำหน้าราวกับคนที่รอรับคำชมหลังทำภารกิจสำเร็จ
“เขามีนามว่าโจวปิน…เฉียนซูเจิ้ง กู้เฉวียน ซื่อหม่าหลิวอวิ๋น ไต้หงเฟย” เจียงหงหนิงแนะนำให้หลินหวั่นชิวรู้จักทีละคน
“คารวะพี่สะใภ้” เด็กหนุ่มทั้งหลายพากันประสานมือคารวะให้หลินหวั่นชิว พวกเขามีอายุระหว่างสิบเอ็ดถึงสิบห้าปี เด็กหนุ่มที่โตที่สุดอายุพอๆ กับหลินหวั่นชิว
“รีบไปล้างมือเถิด พวกเรากินข้าวก่อนค่อยไปคุยงานที่ห้องศิลปะ” หลินหวั่นชิวบอก
“ไม่ล่ะขอรับ พวกข้าค่อยกลับไปกินที่บ้าน” ไต้หงเฟยรีบปฏิเสธ แม้กลิ่นหอมของเนื้อที่อบอวลทั่วบ้านจะทำให้เขากลืนน้ำลายไม่หยุด แต่เขาก็ยังปฏิเสธอย่างสำรวม
“ใช่ขอรับ เดี๋ยวข้าต้องกลับไปกินที่บ้านเช่นกัน”
“พี่สะใภ้ไม่ต้องเกรงใจขอรับ เชิญพวกท่านไปทานกันก่อนเถิด พวกข้ารอได้…”
หลินหวั่นชิวโน้มน้าว “พวกเ้าเป็สหายร่วมสถานศึกษาของหงหนิง มาถึงบ้านแล้วจะไม่กินข้าวได้อย่างไร ผู้อื่นรู้เข้าจะมองหงหนิงเช่นไร? อีกอย่าง หากพวกเ้าสามารถช่วยข้าระบายสี นอกจากค่าแรงแล้วยังมีอาหารให้หนึ่งมื้อ”
เหล่าเด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นเก้ก็ไม่ปฏิเสธอีก ตามหงหนิงไปล้างมืออย่างเก้ๆ กังๆ แล้วตามเข้ามาในห้องโถง
บนโต๊ะตัวใหญ่ในห้องโถงมีแกงเนื้อแกะหม้อใหญ่ ใต้หม้อมีเตาถ่านใบเล็ก น้ำแกงเดือดปุดๆ อยู่ด้านใน ส่งกลิ่นหอมชวนให้น้ำลายไหล
“น้ำจิ้มมีแบบเผ็ดกับไม่เผ็ด ท่านเลือกเองได้เลย” เจียงหงหนิงแนะนำน้ำจิ้มให้บรรดาศิษย์พี่อย่างกระตือรือร้น ดูแลแขกในฐานะเ้าบ้านได้อย่างสมบูรณ์
เชิงอรรถ
[1] ตาสุนัข(狗眼) หมายถึง คนที่มองไม่เห็นคุณค่าของดีของสูง เปรียบกับสุนัขที่ระดับสายตาจะสามารถมองได้ไม่สูงนัก มองเห็นเพียงสุนัขด้วยกัน มองคนก็จะมองเห็นเพียงแค่ขา ซึ่งมีความหมายคล้ายคํา ว่า “ตาต่ำ” ในภาษาไทย