แต่ด้วยอารมณ์เช่นใดกัน ฮองเฮาช่างใจกว้างเสียนี่กระไร ไร้สาระยิ่งนัก แต่สำหรับมู่จื่อหลิงแล้วไม่มีคำดังกล่าวในพจนานุกรมของนาง ด้วยนางเป็คนตระหนี่มาก
สำหรับบางสิ่งหรือบางคน ก็จำเป็ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง
ยิ่งนางไม่ค่อยสนใจสิ่งใดยิ่งไม่ต้องพูดถึง หากไม่จำเป็ นางก็ี้เีเกินกว่าจะจดจำความเกลียดชังระยะยาวเช่นนี้ มันเหนื่อยมาก!
“ช่างเป็ความคิดที่ชั่วร้าย ฮองเฮา พวกเราไม่ใช่ผู้หญิงเหมือนกันหรอกหรือ?” มู่จื่อหลิงเหยียดนิ้วชี้ที่เรียวยาวของนางออกมา แล้วส่ายมันต่อหน้าฮองเฮา ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม
ความหมายก็คือ หากฮองเฮากำลังเยาะเย้ยนาง นางก็กำลังเยาะเย้ยตนเองไปพร้อมๆ กัน
ในยามนี้ความเคารพแบบใด เกียรติแบบใด ทั้งหมดล้วนหายไปแล้ว
และเมื่อยามนี้มาถึงจุดนี้แล้ว ทั้งยังไม่ใช่แม่แท้ๆ การที่ต้องเรียกว่าเสด็จแม่ เสด็จแม่เลี้ยงอีกครั้ง ก็ดูหน้าซื่อใจคดมากจริงๆ เรียกฮองเฮาโดยตรงยังดีเสียกว่า มู่จื่อหลิงทำหน้ามุ่ย คิดด้วยความขยะแขยงและวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในใจ
ฮองเฮายังคงสงบนิ่งและพึมพำอย่างเ็า “ปากคอเราะร้าย”
ดวงตาที่ยิ้มแย้มของมู่จื่อหลิงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ใครจะคิด ว่าฮองเฮาจะพ่นเสียงดูถูกเหยียดหยามอีกครั้งด้วยท่าทีที่เย่อหยิ่งจองหอง นางตรัสออกมาช้าๆ ว่า “แต่...เปิ่นกงเทียบกับเ้าไม่ได้เลย”
มู่จื่อหลิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มจางๆ บนริมฝีปากของนาง โดยไม่ปริปากพูดว่าใช่หรือไม่ “ท่านสูงส่งเกินไป หลิงเอ๋อร์ไม่สามารถเทียบได้เลย”
นางขมวดคิ้ว ขยับเข้าหาฮองเฮา แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “แต่ ฮองเฮา ท่านที่กำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งเช่นนี้ ท่านกล้าบอกหรือว่าท่านมีความอดทนที่มากยิ่งกว่า์? กล้าดีอย่างไรถึงบอกว่าตนเองไม่มีอะไรน่าละอาย กล้าบอกหรือว่าทุกสิ่งที่ท่านทำจะสามารถโน้มน้าวใจทุกคนได้?”
หลงเซี่ยวเจ๋อเผลอสูดอากาศเย็นเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ คำพูดนี้แหลมคมดังใบมีด ทุกประโยคล้วนมีหนาม พี่สะใภ้สามของเขาเย่อหยิ่งเกินไปแล้ว
คำพูดของมู่จื่อหลิงดูเหมือนจะอยู่ในประโยคเดียว มันทั้งก้าวร้าวและเจาะเข้าไปในหัวใจของฮองเฮาได้โดยตรง
ดังนั้นไม่ว่าจะมีความอดทนมากเพียงใด และแม้ว่าฮองเฮาจะอารมณ์ดีเพียงใด นางก็ไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้อีก
“บังอาจ!” จู่ๆ ฮองเฮาก็ตบโต๊ะอย่างแรง และอยากจะลุกขึ้น แต่นางก็ยังไม่ขยับ ราวกับว่านางติดอยู่กับเก้าอี้
ฮองเฮาไม่ได้คิดว่าเกิดอะไรขึ้นเลย ดวงตาของนางลืมขึ้นมองออกไปอย่างรวดเร็ว นางจ้องมองมู่จื่อหลิงอย่างดุเดือด ก่อนจะละสายตาไปจากนางอีกครั้ง
แม้ว่าฮองเฮาจะเตือนตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่ามู่จื่อหลิงเป็แค่นางหนูผู้โง่งม ไม่มีอะไรต้องกลัว
แต่ว่า หัวใจไม่อาจควบคุมได้เลยจริงๆ ยามนี้นางเพียงแค่เหลือบมองที่ดวงตาของมู่จื่อหลิง หัวใจของนางอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก และแม้แต่ความโกรธของนางก็ถูกระงับลงด้วยความตื่นตระหนกเช่นกัน
แม้ว่าฮองเฮาจะโกรธเคืองอยู่ครู่หนึ่ง แต่นางก็ยังนั่งอยู่ในที่นั่งของนาง โดยไม่ได้คิดที่จะเคลื่อนไหว
อย่างไรก็ตาม เสียงตบโต๊ะนั้นมีเสียงที่คมชัดและดังมาก
หัวใจของหลงเซี่ยวเจ๋อสั่นไหว ทันใดนั้นเขาก็นั่งตัวตรงอีกครั้ง
ไม่เคยพบเคยเห็นเช่นนี้มาก่อน เหมือนมันจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ!
ยามนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะทุ่มสุดตัวและสุดความคิด เหลือแค่รอเวลาที่จะถูกสังหารเท่านั้น
เขาสงสัยว่ามู่จื่อหลิงโตมาจากการกินดีหมีหัวใจเสือจริงๆ ใช่หรือไม่
เมื่อครู่ทั้งยั่วยุและดูถูก แต่ฮองเฮากลับไม่ว่าอะไร และยามนี้มันได้กลายเป็การถามซ้ำๆ อย่างประชดประชัน
นี่เป็การกระทำที่อุกอาจมากยิ่งกว่าการอุกอาจ
หลงเซี่ยวเจ๋อััคางของตนอย่างสงสัยและส่ายหัวอย่างไม่เชื่อ
มันแปลกมาก มู่จื่อหลิงกระทำความผิดถึงเพียงนั้น มันช่างหยิ่งผยองยิ่งนัก ไม่ต้องบอกว่าฮองเฮาจะขุ่นเคืองมากเพียงใด
แต่...ที่เหลือเชื่อที่สุดคือ ‘ขีดจำกัดความอดทน’ ของฮองเฮานั้นดีเกินไป เมื่อโกรธจนเกินทนนางจึงตบโต๊ะ
และ ไม่มีสิ่งใดตามมาอีกหรือ?
นี่ไม่เหมือนฮองเฮาหน้าซื่อใจคดที่เขารู้จักเลย
จะบอกว่าฮองเฮาเป็คนหน้าซื่อใจคด แต่นางยังคงโกรธหลังจากฟังคำพูดของมู่จื่อหลิง แต่ถ้าจะบอกว่านางไม่ใช่คนหน้าซื่อใจคด เช่นนั้นเหตุใดนางถึงทำเพียงแค่ตบโต๊ะแล้วก็โกรธเคืองเช่นนี้
ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดฮองเฮาจึงไม่เรียกให้คนเข้ามา ไม่ดีแล้วหนีไปเลยดีไหม?
ก็แค่...ไร้สาระเกินไป!
และดูเหมือนมู่จื่อหลิงจะไม่แปลกใจเลย ยังยิ้มได้ เหมือนในยามปกติ
ฮองเฮากำลังจัดเสื้อผ้าแล้วนั่งตัวตรง [1] แต่กลับให้ความรู้สึกราวกับว่านางกำลังนั่งอยู่บนผ้าที่ซ่อนหมุดไว้ภายใน [2] จนทำให้นางต้องนั่งนิ่งอย่างเชื่อฟัง
สาเหตุของเื่นี้ ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ตระหนักว่า ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่จะงงงวยเมื่อได้รับรู้ ส่วนมู่จื่อหลิง ซึ่งเป็ผู้กระตุ้นนั้นรู้ดีอยู่แก่ใจ [3] จึงมีเพียงความรู้สึกแอบชื่นชมยินดีในใจเท่านั้น
เมื่อเห็นมู่จื่อหลิงยกมือขึ้นมาเท้าคาง หันหน้าไปทางฮองเฮาเพียงเล็กน้อย ยิ้มแล้วทำเสียงขึ้นจมูกเบาๆ “หือ? ฮองเฮา ท่านกล้าพูดไหม?”
กล้าไหม? ถามว่าฮองเฮากล้าไหมน่ะหรือ?
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลงเซี่ยวเจ๋อก็ใมากจนเกือบชนกำแพง
แม้ว่าเขาเตรียมใจรับความตายแล้ว แต่คราวนี้มันช่างอุกอาจและไร้ยางอายมากเสียจนหัวใจดวงน้อยของเขารับไม่ไหว
หลงเซี่ยวเจ๋อที่กำลังกะพริบตาจ้องมองมาที่มู่จื่อหลิง ด้วยั์ตาดอกท้อ [4] พร้อมคำพูดที่ออกมาจากภายในดวงตาของเขาที่สื่อว่า พี่สะใภ้สาม หยุดเพียงเท่านี้ หยุดเพียงเท่านี้เถอะนะ!
มู่จื่อหลิงกำลังจ้องไปที่ฮองเฮา ไหนเลยจะสามารถสังเกตเห็นการแสดงออกทางสีหน้าที่ดูตลกของหลงเซี่ยวเจ๋อได้ แม้ว่านางจะสังเกตเห็น นางก็คิดว่าคนผู้นี้กำลังทำตัวบ้าๆ บอๆ อีกแล้ว และจะไม่สนใจเขา
“แล้วเปิ่นกงจะเป็อย่างไร ก็ไม่มีเหตุให้นางหนูผู้โง่งมอย่างเ้ามาใส่จะงอยปาก [5]” แม้ว่าฮองเฮาจะโกรธ แต่น้ำเสียงของนางก็ยังราบเรียบอย่างหาที่เปรียบมิได้ และไม่มีวี่แววของความโกรธเลย
เดิมฮองเฮาคิดว่าไม่ว่าจะกล้าหาญเพียงใดก็ตาม มู่จื่อหลิงก็จะไม่ดื้อรั้น แต่ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้เริ่มจะบ้าขึ้นเรื่อยๆ และนางคิดว่านางจะเจิดจรัส หากให้แสงบ้างแม้เพียงเล็กน้อย
ในยามนี้ ฮองเฮาผู้อ่อนโยนและมีคุณธรรมได้หายไปอย่างสมบูรณ์ เผยให้เห็นธรรมชาติที่เยือกเย็นและเย่อหยิ่งของนาง แต่อารมณ์บางอย่างที่ควรยับยั้งก็ยังถูกยับยั้งไว้อย่างดี
มู่จื่อหลิงหัวเราะเบาๆ และโบกมืออย่างเฉยเมย “เมื่อสักครู่นี้มันเป็แค่เื่จริงก็เท่านั้น ท้ายที่สุดไม่มีผู้ใดสมบูรณ์แบบ เหตุใดฮองเฮาจึงตรัสเช่นนี้?”
สิ่งที่นางพูด หากฮองเฮาทรงโกรธด้วยเหตุนี้จริงๆ มันก็จะเป็การยืนยันสิ่งที่นางพูดไปก่อนหน้านี้ ฮองเฮารู้สึกหายใจไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง หัวใจของนางเต็มไปด้วยความโกรธ แต่ก็ยากที่จะให้มันปะทุออกมา
“ฮึ่ม” ฮองเฮาคำรนอย่างไม่พอใจ
ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ นางเป็ไม่เหมือนดังในข่าวลือที่ว่าไม่เรียนก็เลยไม่รู้ [6] ไม่รู้ว่าสิ่งใดควรพูดไม่ควรพูด ในวันนี้ทุกคำที่พูดเฉิดฉายดั่งไข่มุก [7] ทุกคำเต็มไปด้วยการประชดประชัน และนางก็รู้สึกกระอักอยู่ภายในตลอดเวลา มันมีแต่ความเกลียดชัง
ข่าวลือก็เป็ได้แค่ข่าวลือจริงๆ ไม่อาจให้ค่ากับมันได้
สิ่งต่างๆ ที่มู่จื่อหลิงทำลงไปในวันนี้ ได้เปลี่ยนความเข้าใจของฮองเฮาที่มีต่อนางใหม่อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ฮองเฮายังคงแอบดีใจที่ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้จะถูกนางใช้งานในวันหน้า ไม่อย่างนั้น หากคนเช่นนี้อยู่ข้างกายหลงเซี่ยวอวี่ ในภายภาคหน้ามันจะกลายเป็สิ่งกีดขวางที่ใหญ่ที่สุดของพวกนาง
หลงเซี่ยวเจ๋อที่อยู่ข้างๆ มองไปที่ปากของฮองเฮาราวกับเป็การเดิมพัน และเมื่อเห็นว่านางยังคงนั่งนิ่ง และจบลงที่การคำรนว่าฮึ่มหรือ? เขาแทบจะเป็ลม
คำพูดไม่กี่คำนี้ทำให้ฮองเฮากระอัก?
ต้องบอกว่าปากของพี่สะใภ้สามมีพลังมากกว่านิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้พูดเกินจริงเกินไป มันไม่สมเหตุสมผลเลย
มู่จื่อหลิงเท้าแขนลงบนโต๊ะ เอนศีรษะลงอย่างสบาย หันหน้ามาด้วยรอยยิ้มสดใสราวกับดอกไม้บาน และจ้องมองฮองเฮาอีกครู่หนึ่ง “กลับมาพูดถึงสิ่งที่ต้องทำดีกว่า กับสิ่งที่ฮองเฮาทรงกระทำต่อหลิงเอ๋อร์ ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร?”
ยามนี้ฮองเฮาไม่กล้าแม้แต่จะจ้องมองมู่จื่อหลิง การหลบเลี่ยงของนางก็ดูน่าอายเล็กน้อย
ต้องหลีกเลี่ยงดวงตาที่ทำให้ตนเองรู้สึกไม่ดีของยายเด็กหน้าเหม็นอย่างไม่อาจควบคุมได้ ฮองเฮารู้สึกทุกข์ระทมอยู่ในใจ
ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงดวงตาของมู่จื่อหลิง ฮองเฮาจึงหยิบชาเย็นๆ ขึ้นมาแล้วแตะเบาๆ ที่ริมฝีปากของนาง
นางยกมุมปากสีแดงของตนขึ้น และพูดด้วยความรังเกียจ “ก็แค่เื่เมล็ดพืชเมล็ดงาเก่า [8] เ้าจะใช้มันมาสู้กับเปิ่นกงหรือ?”
สู้? ฮองเฮาผู้เมตตาผู้นี้ตรงไปตรงมาจริงๆ
แต่พูดตรงๆ ไปก็ไม่มีความหมาย...
นางมาที่นี่วันนี้ ไม่ใช่แค่เพื่อมาสู้กลับ
กล่าวได้ว่า มู่จื่อหลิง ยังคงมีความสุขมากที่ได้สื่อสารกับฮองเฮาที่ไม่แสร้งทำเป็สง่างามในยามนี้
หาได้ยากที่ฮองเฮาจะน่ารักและตรงไปตรงมาได้ถึงเพียงนี้ และดูเหมือนว่าฮองเฮาจะชอบฟังสิ่งที่นางพูด มู่จื่อหลิงยิ้มและพยักหน้า รอยยิ้มของนางสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์
สำหรับความหมายของการพยักหน้า มันย่อมแสดงถึงการยอมรับสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น
แต่ฮองเฮาผู้มั่นใจคิดว่ามันเป็เพียงเื่อดีต และมู่จื่อหลิงก็ทำได้เพียงพูดเพื่อหากระดูกในไข่เท่านั้น
รอยยิ้มประชดประชันปรากฏขึ้นที่มุมปากของฮองเฮา “เื่เพียงเท่านั้น เ้ากล้าดีอย่างไรใช้มันมาสู้กับเปิ่นกง เ้ามีความสามารถใดถึงนำเื่นี้มาคุกคามเปิ่นกงได้?”
มู่จื่อหลิงยืดตัวขึ้นอย่างเฉยเมย หาวอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะพูดช้าๆ “แน่นอน มันมีมากกว่านั้น”
รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของนาง นางค่อยๆ ลูบผมนุ่มที่ระอยู่บนไหล่ของนางอย่างช้าๆ โดยไม่สนใจฮองเฮาที่อยู่ตรงหน้านาง
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ นางก็ลากน้ำเสียงของนางพูดว่า “หลิงเอ๋อร์บอกไปแล้วว่า อยากได้การชดใช้จากทุกๆ ครั้งที่ได้รับ ย่อมต้องคำนวณมาก่อนให้ชัดเจน”
ฮองเฮาหัวเราะเยาะและไม่พูดอะไร
นางทรงมั่นใจ พูดไปพูดมาอย่างไรก็มีเพียงเื่นั้น พูดมา นางจะฟัง
เพียงแต่ว่าฮองเฮาไม่รู้ว่านางกำลังฟังสิ่งใดอยู่ และใจที่หยิ่งยโสของนางก็ค่อยๆ จมดิ่งลงเมื่อได้ฟังเื่นี้ และไม่สามารถลุกขึ้นได้อีก
มู่จื่อหลิงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากแขนของนางแล้วกางออกต่อหน้าฮองเฮา
ดวงตาที่หลบเลี่ยงของฮองเฮาเงยขึ้นเล็กน้อย สายตาที่เ็าและจองหองของนางก็ตกลงบนแผ่นกระดาษบนโต๊ะ
เพียงแค่เหลือบมอง สีหน้าของฮองเฮาก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
มุมปากของมู่จื่อหลิงกระตุก นางมองไปที่ฮองเฮาอย่างช้าๆ “ฮองเฮา ท่านจำกระดาษแผ่นนี้ได้หรือไม่ ไม่ ควรจะกล่าวว่าเนื้อหาภายในเป็สิ่งที่ท่านคุ้นเคยกับมัน”
หลงเซี่ยวเจ๋อเดินเข้าหาอย่างสงสัยและจ้องมองมัน “หนังสือกล่าวโทษ?”
“มันเป็หนังสือกล่าวโทษ” มู่จื่อหลิงพยักหน้า
หนังสือกล่าวโทษนี้เป็ฉบับก่อนที่สิงกู้เหวินจะถูกข่มขู่ในเรือนจำหลวง และเขาได้เขียนคำสารภาพออกมาหนึ่งฉบับ โดยกุ่ยเม่ยได้มอบให้นางก่อนที่นางจะออกไป
นอกจากนี้กุ่ยเม่ยยังบอกกับนางว่า สิงกู้เหวินถูกลอบสังหารในระหว่างทางลี้ภัย แต่ในที่สุดก็ได้รับการ ‘ช่วยชีวิตไว้’
เหตุใดกุ่ยเม่ยจึงรู้ และยังมีกระดาษฉบับนี้อีก นางไม่ต้องคิดมากก็เข้าใจได้แล้ว
เมื่อมู่จื่อหลิงเห็นว่าการแสดงออกของฮองเฮาไม่เปลี่ยนไปในยามที่นางเห็นกระดาษแผ่นนี้ นางจึงกล่าวอย่างเป็กันเองและใจดี “ข้าได้ยินมาว่าท่านสิงถูกลอบสังหารระหว่างทางไปสถานที่เนรเทศ ในท้ายที่สุดแล้วก็ได้รับการช่วยเหลือ ไม่รู้ว่าผู้ใดช่วยเขาไว้นะ?”
ทันทีที่คำเหล่านี้หลุดออกมา ใบหน้าที่เฉยเมยของฮองเฮาในที่สุดก็มีรอยร้าว
เดิมหลงเซี่ยวเจ๋อคิดว่าอาชญากรรมของฮองเฮาถูกระบุไว้ในนี้ เขาคิดว่าด้วยสิ่งนี้ พวกเขาจะสามารถปราบฮองเฮาลงได้ เขาคิดไม่ถึงว่า มันกลับแสดงรายละเอียดอาชญากรรมของมู่จื่อหลิงและหลงเซี่ยวอวี่
เนื้อหาในกระดาษเขียนคร่าวๆ ว่า ด้วยฉีอ๋องทรง้าอำนาจของฮ่องเต้ พระองค์จึงสมรู้ร่วมคิดกับคนเลี้ยงกู่ และลอบสังหารพี่น้องด้วยความโเี้อย่างไม่ลังเล ทั้งยังสั่งให้ฉีหวางเฟยลอบมอบกู่ให้กับองค์ชายห้า...
เนื้อหาสั้นแต่ชัดเจน หลงเซี่ยวเจ๋ออ่านทุกคำอย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้น เขาก็ชี้ไปที่แผ่นกระดาษ และหัวเราะออกมาดังๆ “ฮ่าฮ่าฮ่า มันตลกมาก ผู้ใดเขียนสิ่งนี้กัน ฮ่าฮ่าฮ่า”
มันตลกมาก ตลกมากจริงๆ เขายอมเชื่อว่าแม่หมูสามารถปีนต้นไม้ได้ [9] มากกว่าที่จะเชื่อว่าพี่สามและพี่สะใภ้สามของเขาจะทำสิ่งที่ไร้ความหมายเช่นนี้
สมรู้ร่วมคิดกับคนเลี้ยงกู่? หากฉีอ๋องประสงค์จะสังหารใครสักคน จะต้องใช้กำลังทำสิ่งต่างๆ มากมายด้วยหรือ เพียงแค่กระดิกนิ้วก็พอแล้ว
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] จัดเสื้อผ้าแล้วนั่งตัวตรง (正危襟坐) เป็วลี มีความหมายว่าจริงจังและให้เกียรติ หรือนั่งตัวตรงและตั้งใจฟังอย่างตั้งใจ
[2] นั่งอยู่บนผ้าที่ซ่อนหมุดไว้ภายใน (坐如针毡) เป็สำนวน มีความหมายว่ากระสับกระส่าย
[3] รู้ดีอยู่แก่ใจ (心知肚明) เป็สำนวน มีความหมายว่าตระหนักเป็อย่างดี ส่วนมากจะใช้กับอีกวลีหนึ่งเป็ 一不必多说,心知肚明 มีความหมายว่าไม่จำเป็ต้องพูดเยอะ ด้วยรู้ดีอยู่แก่ใจ
[4] ั์ตาดอกท้อ (桃花眼) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่าดวงตาที่ให้ความรู้สึกน่าสงสาร น่าเอ็นดูและน่าเสน่หา
[5] ใส่จะงอยปาก (置喙) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่าแสดงความคิดเห็น ส่วนมากใช้สำหรับปฏิเสธ
[6] ไม่เรียนก็เลยไม่รู้ (不学无术) เป็สำนวน มีความหมายว่าไม่มีความรู้หรือทักษะใดๆ เป็คำที่ใช้ในการวิจารณ์ในเชิงดูถูกดูแคลน
[7] ทุกคำที่พูดเฉิดฉายดั่งไข่มุก (句句珠玑) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่าถ้อยคำที่พูดมีความงดงาม กระชับ ลึกซึ้งและทรงพลัง
[8] เมล็ดพืชเมล็ดงาเก่า (陈芝麻烂谷子) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่าเื่เก่าๆ ไร้สาระ เทียบคำไทยจะใกล้เคียงกับคำว่าเื่ขี้หมูราขี้หมาแห้ง
[9] แม่หมูสามารถปีนต้นไม้ได้ (母猪会上树) เป็วลี มีความหมายว่าสถานการณ์ที่เป็ไปไม่ได้ หรือคนไม่น่าเชื่อถือ ส่วนมากจะใช้เป็ประโยคยาวว่า 男人靠得住,母猪都能上树 มีความหมายว่าถ้าผู้ชายเชื่อถือได้ แม่หมูก็ปีนต้นไม้ได้แล้ว ซึ่งใช้ในการเสียดสีผู้ชายที่ทำอะไรไม่จริงจัง เชื่อถือไม่ได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้