“จะไม่มีได้อย่างไร…” เจินจูเบะปาก เจ้มิใช่เข้าเรียนมาสิบกว่าปีแล้วหรือ แต่จะมีประโยชน์อะไร พอทะลุมิติมาถึงยุคโบราณก็เป็บุคคลที่ไม่ค่อยรู้หนังสือคนหนึ่งแล้ว “บุตรสาวของครอบครัวสกุลร่ำรวยเ่าั้ ล้วนเชิญอาจารย์มาสอนเล่าเรียนและอ่านหนังสือกันทั้งนั้น”
“หึๆ… เ้าก็รู้ว่าครอบครัวสกุลใหญ่โตร่ำรวย คนเขาเรียนรู้ตัวอักษรเป็การเรียนอยู่ที่บ้าน ไม่สามารถไปโรงเรียนส่วนตัวเข้าเรียนกับผู้ชายได้กระมัง?” แม้ชุ่ยจูไม่เคยออกไปไกลจากบ้านสักกี่รอบ แต่ความรู้ทั่วไปพื้นฐานยังพอเข้าใจอยู่บ้าง
“ทำไมจะไม่ได้ ผ่านไปหลายร้อยปีเท่านั้นเอง…” เจินจูบ่นพึมพำเสียงเบา ยกเท้าก้าวไปทางหลังบ้านเตรียมให้อาหารกระต่าย
“หา? …เ้ากล่าวอันใด?” ชุ่ยจูได้ยินไม่ชัด
“ไม่มีอะไร…” เจินจูหันหลังโบกมือด้วยท่างท่าสง่างาม
บ่ายวันหนึ่งหลังจากไม่กี่วันถัดมา
ชั้นเมฆบางเบาเผยให้เห็นแสงแดดออกมาเล็กน้อย อากาศภายนอกบ้านก็อบอุ่นขึ้น
ใต้ชายคาบ้าน ในมือหลี่ซื่อมีผ้าสีเหลืองอ่อน นางกำลังปักเย็บอย่างชำนาญอยู่ตลอดเวลา ส่วนเจินจูนั่งอยู่ด้านข้างในมือถือสะดึงฝึกงานเย็บปักถักร้อยอย่างไม่ตั้งใจทำ
ชิ… ดูท่าว่าตนเองจะไม่มีพร์งานเย็บปักถักร้อยจริงๆ ดูความพยายามบนมือสักครู่หนึ่งนี่สิ แค่มีรอยเข็มเพิ่มขึ้นมาบนนิ้วสองรอยเท่านั้นเอง
หลี่ซื่อสอยเข็มวนไปมาด้วยจิตใจที่จดจ่อยุ่งอยู่กับงาน พอได้ยินเสียงเลยเงยหน้าขึ้นมอง กลับเห็นบุตรสาวอมนิ้วมือด้วยท่าทางแปลกประหลาด
“…”
นี่เป็ครั้งที่เท่าไรแล้ว? เวลาชั่วครู่หนึ่งทำได้เท่านี้เอง หลี่ซื่อขบขันและบ่นนางทางสายตาแวบหนึ่งอย่างจนปัญญา
เจินจูขมวดคิ้ว เอานิ้วเล็กๆ ออกจากปากด้วยสีหน้าน้อยใจและน่าสงสาร
หลี่ซื่อเม้มปากกดรอยยิ้มไว้ รู้สึกว่าไม่สามารถปล่อยผ่านข้อเสียของนางตามอำเภอใจได้ งานเย็บปักถักร้อยขั้นพื้นฐานเป็ความสามารถที่สตรีล้วนต้องเรียนรู้ สตรีที่ทำงานเย็บปักถักร้อยไม่เป็ วันข้างหน้าเมื่อแต่งออกไปจะถูกครอบครัวสามีหัวเราะเยาะเอาได้
ดูเหมือนว่าเล่นบทน่าสงสารจะใช้ไม่ได้ผล เจินจูดึงสายตากลับมาที่สะดึงในมือด้วยความเคียดแค้น
ผ้าสีแดงอ่อนเป็ผ้าชิ้นเล็กที่เหลือจากหลี่ซื่อตัดชุดใหม่ให้เจินจู บนผ้ามีลวดลายดอกบ๊วยหนึ่งกิ่ง ตอนนี้ปักได้เพียงกิ่งแห้งๆ มากกว่าครึ่งท่อน เป็การปักเข็มที่สะเปะสะปะเล็กน้อยและมุมขอบก็ค่อนข้างชี้ฟู
รูปทรงดอกไม้ที่เจินจูปักไม่ได้แย่ไปเสียหมด เพียงแต่นางไม่ได้มีความสนใจต่อการปักผ้า จึงเป็ธรรมดาที่จิตใจจะฟุ้งซ่าน การกระทำในมือก็ทำตามอำเภอใจไปมาก
ช่างเถิด ในเมื่อหลี่ซื่อยืนหยัดให้นางฝึกงานเย็บปักถักร้อยให้ดีก็ไม่อาจทำให้นางผิดหวังได้
เจินจูพยายามปรับเปลี่ยนสภาพจิตใจเล็กน้อย หนึ่งเข็มหนึ่งเส้นด้ายด้วยความสงบและตั้งใจปักให้มากขึ้น
หลี่ซื่อเงยหน้าขึ้นมาสำรวจดูเป็บางครั้งคราว ในใจปลื้มอกปลื้มใจยิ่งกว่าอะไร
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วในมือของทั้งสองคนขยับลอยขึ้นลง
เสี่ยวหวงกึ่งนอนอยู่ข้างขาเจินจู เคลิ้มสบายเล็กน้อย
“แอ๊ด” เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้สองคนที่ก้มหน้าอยู่กับการปักผ้าสะดุ้งใ เสี่ยวหวงก็ตื่นใลุกขึ้นมานั่งกลมดิกเช่นกัน
“ท่านย่า”
เจินจูวางสะดึงในมือลง เดินไปต้อนรับข้างหน้า
ผู้ที่ผลักประตูลานบ้านเปิดออกเป็หวังซื่อนั่นเอง ยามนี้ในมือของนางยังหิ้วของมาไม่น้อยด้วย เจินจูรีบไปข้างหน้าแล้วรับมา
“อื้ม… ย่าถือไหว ไม่หนัก ของไม่ได้มากมาย…” หวังซื่อยิ้มแล้วกล่าว
“ทั้งหมดนี่คืออะไรหรือเ้าคะ?” เจินจูถือถุงผ้าในนั้นมาหนึ่งถุง แล้วยังหนักมากอีกด้วย
“ไม่กี่วันก่อนลุงเ้ามาอวยพรปีใหม่น่ะ เอาสินค้าในเขตูเามาให้เยอะแยะเลย” ขณะกล่าวก็วางตะกร้าไม้ไผ่ที่แบกไว้ลง
หลี่ซื่อรีบไปข้างหน้าช่วยประคองตะกร้าไม้ไผ่แล้ววางลง
“อ่า… ท่านลุงมาแล้วหรือเ้าคะ ท่านย่า เช่นนั้นทำไมพวกเขาไม่มาที่นี่เล่า?” เจินจูถาม เพราะปีที่แล้วๆ มาหวังเป่าหยวนมักถือโอกาสมาเดินเล่นที่นี่สักรอบ
“เขาน่ะ มาได้ไม่นาน ต้องรีบเข้าเมืองไปขายสัตว์ที่ล่ามาได้” หวังซื่อยิ้มแล้วกล่าวต่อ “ปีนี้พวกท่านลุงของเ้าโชคดีมากเลย ฉลองปีใหม่ก็จับกวางที่ห่างจากฝูงไว้ได้หนึ่งตัว ค่อนข้างตัวใหญ่เลยทีเดียว คาดว่าจะขายได้เงินไม่น้อยเชียวล่ะ”
“โอ้ ที่แท้เป็เช่นนี้” เจินจูพยักหน้าแล้วช่วยหิ้วของเข้าโถงบ้าน
“…ท่านแม่ ทำไมเอาของมามากมายเช่นนี้เล่าเ้าคะ ที่บ้านมีที่เก็บไม่มาก และพี่สะใภ้กำลัง้าของบำรุงมากด้วย” หลี่ซื่อรื้อค้นของในตะกร้า ซานเหอเถา เห็ดหูหนูดำ เมล็ดสนอ่อน เห็ดตากแห้งกับเนื้อตากแห้งที่ทำการหมักมาอย่างดีสองสามอย่าง แม้เป็สินค้าเขตูเาที่พบได้บ่อยในป่า แต่รวบรวมได้มากมายเพียงนี้ก็ไม่ใช่เื่ที่ง่ายเลย
“ที่บ้านยังเก็บไว้อยู่ จะขาดของนางไปไม่ได้ เ้าไม่ต้องเป็ห่วง บำรุงร่างกายเหล่าเด็กๆ ให้ดีเถิด เมื่อก่อนที่บ้านสภาพไม่ดีก็เป็ผักดองกับข้าวซ้อมมือมาตลอด ตลอดทั้งปีทานอาหารเนื้อได้ไม่กี่มื้อ แต่ก่อนผิงอันเอาแต่ป่วยอยู่บ่อยครั้ง ก็ไม่ใช่เป็เพราะทานอาหารได้แย่เกินไปหรือ ขณะนี้กว่าสภาพทางบ้านจะดีขึ้นได้ แน่นอนว่าต้องบำรุงร่างกายที่แย่เกินไปให้กลับมา” หวังซื่อแบ่งของเก็บพร้อมกับเอ่ยปากไม่หยุด “หรงเหนียง อย่าให้ตนเองเสียเปรียบ คิดถึงพวกเด็กๆ มากหน่อย”
“…อื้ม เข้าใจแล้วเ้าค่ะ ท่านแม่” เบ้าตาหลี่ซื่อรื้นแดงขึ้นแล้วไม่กล่าวมากอีก คำพูดของหวังซื่อกล่าวเข้ามาถึงส่วนลึกของหัวใจนาง หลายปีมานี้ตนเองทนหิวและได้รับความทุกข์นางก็ไม่รู้สึกว่าทรมานมากเท่าไร แต่พวกเด็กๆ ล้วนร่างกายอยู่ใน่กำลังเจริญเติบโตจำเป็ต้องบำรุงร่างกาย
“แกร็บ…” เจินจูคว้าเมล็ดสนหนึ่งกำขึ้นมาแทะ อืม เนื้อละเอียดอ่อนนุ่มและกลิ่นหอมไม่เลวเลย แน่นอนว่าหากผ่านการคั่วมาก่อนน่าจะหอมขึ้น
“พ่อเ้าเล่า?” วางของในมือลงดีแล้ว หวังซื่อมองซ้ายขวาสองสามที แล้วกล่าวถามออกมาเรื่อยเปื่อย
“เขาพาผิงอันไปทำความสะอาดพื้นที่ลาดเอียงตรงนั้นเ้าค่ะ” เจินจูตอบ
“อื้ม…” หวังซื่อพยักหน้า ถือโอกาสดึงเก้าอี้หนึ่งตัวมาแล้วนั่งลง “เจินจู มานั่งลง พวกเรามาหารือกันหน่อย”
“ท่านย่า เกิดอะไรขึ้น? มีเื่อะไรหรือเ้าคะ?” เจินจูวางเมล็ดสนในมือกลับเข้าไปในถุงผ้า นั่งลงที่ข้างกายหวังซื่อ
“ก็มีเื่นิดหน่อย” หวังซื่อหยุดไปพักหนึ่ง ถอนหายใจแล้วจึงกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “สองวันก่อน ลุงและป้าสะใภ้ของผิงซุ่นมา ต่อหน้าบอกว่ามาอวยพรปีใหม่ อันที่จริงแล้ว้าเรียนรู้การเลี้ยงกระต่ายตามครอบครัวของเรา ล้วนเป็ความสัมพันธ์เกี่ยวดองกันจากการแต่งงานที่ใกล้ชิด ย่าก็ปฏิเสธได้ไม่ง่าย ความเป็อยู่ครอบครัวพวกเขาผ่านไปไม่ค่อยดีจริงๆ เจินจู เ้าว่า…”
“ท่านย่า ครั้งก่อนไม่ใช่เคยคุยกันแล้วหรือ สภาพอากาศตอนนี้ยังหนาวมากอยู่เลย หากครอบครัวพวกเขาอยากเลี้ยงกระต่ายก็ต้องสร้างเพิงกระต่ายที่อบอุ่นเล็กน้อยขึ้นมาก่อน กระต่ายเองก็กลัวความหนาวเช่นกัน” พอเจินจูได้ฟังปัญหาก็ถือเมล็ดสนขึ้นมาแทะอีกครั้ง “หากพวกเขาอยากเริ่มเลี้ยงตอนนี้ก็ได้ จับกระต่ายโตไปเลี้ยงสักสองสามตัว แต่ท่านย่า พวกเราต้องพูดคุยกันให้ดีล่วงหน้าก่อน พันธุ์กระต่ายของพวกเราไม่สามารถให้ครอบครัวพวกเขาเปล่าๆ ได้ ต้องซื้อกลับไปตามราคาตลาดนะเ้าคะ”
หวังซื่อที่ฟังอยู่สีหน้าท่าทางขยับทันที ริมฝีปากอ้าเล็กน้อย คำพูดเพิ่งถึงริมฝีปากแต่พอเห็นดวงตาเจินจูสงบเงียบก็กลืนลงไปอีกครั้ง
เจินจูเห็นสภาพนั้นก็ยิ้ม
“ท่านย่า มิใช่ว่าข้าขี้เหนียว แต่ต้องมีข้อบังคับ ท่านคิดดูนะเ้าคะ หากหนนี้พวกเราให้พวกเขาไป หนหน้าพวกเขา้ากระต่ายอีกครั้งจะให้หรือไม่? หรือจะขายดี? อีกอย่างตอนพี่ใหญ่กลับมาอวยพรปีใหม่ยังเอ่ยถึงการเลี้ยงกระต่ายขึ้นมาอีก หากนางรู้ว่าพวกเราให้กระต่ายครอบครัวฝั่งมารดานางไป เช่นนั้นจะไม่กลับมาโวยวายกับท่านหรือเ้าคะ” ล้วนเป็ญาติสนิทกัน การลำเอียงยิ่งทำให้คนตำหนิ ไม่สู้กำหนดข้อบังคับให้ดีไปเลยั้แ่ต้นดีกว่าหรือ จะได้ไม่ช่วยผู้อื่นแล้วถูกตำหนิเอาได้อีก
ควรเอาปัญหาแยกแยะจัดการให้ชัดเจน กำหนดกฎระเบียบในการขายพันธุ์กระต่าย เอาหัวข้อที่จำเป็ต้องใส่ใจของกระต่ายบอกกล่าวออกมาทีละอย่างให้ชัดเจน เื่ที่เหลือก็ไม่ต้องกลับไปสนใจพวกเขาแล้ว
หวังซื่อคิดไปแล้วก็เป็แบบนั้นจริงๆ จะว่าไปแล้วกระต่ายนี่สืบพันธุ์เร็ว ซื้อพันธุ์กระต่ายไปสองสามตัว เอาใจใส่ดูแลพักหนึ่งก็สามารถได้ลูกกระต่ายออกมาหนึ่งรุ่นแล้ว เลี้ยงวนไปวนมาเช่นนี้ กำไรที่ได้ก็คุ้มค่าที่จะทำในอนาคต ที่พวกเขาจำเป็ต้องจ่ายออกไปแค่เป็เงินซื้อพันธุ์กระต่ายไม่กี่ตัวเท่านั้น
จัดการเื่ราวของกระต่ายให้เข้าหลักเหตุผลได้ หวังซื่อก็ถอนหายใจออกมาด้วยความสบายใจ รับชาร้อนที่หลี่ซื่อยกมาให้ดื่มขึ้นอย่างสงบจิตสงบใจ
“วันเวลาผ่านไปไวนัก วันนี้วันที่สิบ อีกไม่กี่วันก็จะสิบห้าแล้ว ยังห่างจาก่ปรับปรุงดินก่อนหว่านข้าวในฤดูใบไม้ผลิอีกระยะหนึ่ง พวกเราถือโอกาสเวลาว่างนี้ซ่อมแซมบ้านขึ้นก่อน เจินจูเอ๋ย บ้านของครอบครัวเ้าคิดจะก่อสร้างอย่างไร?” หวังซื่อกล่าวประเด็นสร้างบ้านขึ้นมา
ในมือกอบกุมถ้วยชาอุ่นๆ เจินจูเลิกคิ้วและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดช้าๆ “บ้านนี้ของครอบครัวเราเก่ามากเกินไป รื้อแล้วสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งก็ยุ่งยาก ผนวกกับที่นี่ยังห่างจากทางเข้าหมู่บ้านค่อนข้างไกลระยะหนึ่งเลย และตอนนี้ครอบครัวพวกเราก็ส่งสินค้าเข้าเมืองอยู่ตลอด อาศัยอยู่จุดนี้ค่อนข้างไม่สะดวกจริงๆ”
“ความหมายของเ้า… คืออยากสร้างบ้านอยู่ทางเข้าหมู่บ้านหรือ?” หวังซื่อคิดเล็กน้อย ซื้อที่ดินอยู่ทางเข้าหมู่บ้านแล้วสร้างบ้านก็ไม่เลวเลย แต่ที่ดินตรงทางเข้าหมู่บ้านทั่วไปล้วนมีเ้าของ ซื้อที่ดินจากชาวไร่ชาวนาคาดว่าราคาต้องแพงไม่น้อยเลย
เจินจูส่ายหน้า “ที่ว่างตรงทางเข้าหมู่บ้านล้วนกระจัดกระจาย พื้นที่มิได้เป็ผืนใหญ่เต็มๆ พวกเราต้องสร้างลานบ้านกับบ้านให้กว้างขวางสักหน่อย อาหารหมักของพวกเราจำเป็ต้องมีลานบ้านกว้างเพื่อรับแสงแดด แล้วยังต้องแขวนขึ้นตากแดดอีก สถานที่ไม่สามารถเล็กได้เ้าค่ะ”
“อื้ม… อื้ม…” หวังซื่อไตร่ตรองแล้วพยักหน้าคล้อยตาม ไม่ผิด ลานบ้านไม่สามารถเล็กได้ ใบสั่งสินค้าอาหารหมักหนึ่งใบเป็จำนวนมากเช่นนี้ แม้แต่สถานที่ผึ่งแดดก็แทบจะไม่พอแล้ว
“เช่นนั้น… เ้าคิดว่าพื้นที่ไหนในหมู่บ้านที่เหมาะสม?” นางถาม
“แหะๆ ท่านย่า ทางทิศตะวันออกของทางเข้าหมู่บ้านเรามิใช่ว่ามีที่ดินว่างผืนหนึ่งที่ค่อนข้างใหญ่หรือเ้าคะ?” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว
“ฝั่งตะวันออกของทางเข้าหมู่บ้าน?” หวังซื่อคิดเล็กน้อย “ริมฝั่งแม่น้ำผืนนั้นหรือ?”
“ใช่แล้วเ้าค่ะ! ท่านย่า ที่ดินว่างผืนนั้นไม่เลวเลย แค่มีวัชพืชรกร้างและก้อนหินมากไปหน่อย”
“อื้ม… แม้ที่รกร้างว่างเปล่าผืนนั้นจะใหญ่ แต่ไม่เหมาะจะปลูกธัญพืช ในหมู่บ้านมีคนลองปลูกธัญพืชที่นั่นแล้ว การเก็บเกี่ยวไม่ดีเสียเวลาเปล่าๆ”
“ท่านย่า พวกเราไม่ได้ซื้อมาเพราะปลูกเสียหน่อย ใช้ปลูกบ้านดีมากเลยนะเ้าคะ ใกล้กับทางเข้าหมู่บ้าน เลี้ยวโค้งเดียวก็ออกไปได้แล้ว ด้านหลังเป็ูเาซิ่วซี ขึ้นเขาไปตัดฟืนเก็บหญ้ามาเลี้ยงหมูก็สะดวกสบายมาก อีกอย่างที่นั่นห่างจากในหมู่บ้านระยะหนึ่ง อาศัยอยู่ไกลสักหน่อยความขัดแย้งก็จะน้อยลงด้วยนะเ้าคะ”
“อื้ม… อื้ม… ไม่เลว แต่ที่ผืนนั้นใหญ่ไปหน่อยจริงๆ พวกเ้าครอบครัวเดียวอยู่อาศัยจะไม่เงียบเหงาหรือ?”
“ฮ่าๆ ไม่หรอก ท่านย่า พวกเราอยู่ที่นี่ก็ไม่มีครอบครัวใกล้เคียงมากนัก จะว่าไปอีกอย่าง จากบ้านเก่าไปถึงปากทางเข้าหมู่บ้านอย่างไรก็ใกล้กว่ามายังจุดสิ้นสุดของหมู่บ้านกระมัง?”
“เช่นนั้นก็…” หวังซื่อหัวเราะเบาๆ หนึ่งเสียง
“ไม่เช่นนั้นเอาอย่างนี้ ท่านลุงก็สร้างบ้านอยู่ปากทางเข้าหมู่บ้านด้วย พวกเราสองครอบครัวก็เรียงหน้ากระดานอยู่ใกล้กัน วันข้างหน้าไปมาหาสู่กันสะดวกสบายยิ่งนัก” เจินจูยิ้มแล้วเสนอความคิดเห็น
ดวงตาหวังซื่อเป็ประกายขึ้นทันที ค่อนข้างเอนเองไปเล็กน้อย หากสองพี่น้องพักอยู่ติดกัน นางคงมีความสุขที่สุดเลย!
แต่พอคิดอีกที มุมปากที่ยกขึ้นก็หุบลงไปอีกครั้ง
“ไม่ได้ บ้านเก่าเป็บ้านบรรพบุรุษ โยกย้ายตามอำเภอใจไม่ได้ อีกประการหนึ่ง ค่าใช้จ่ายสร้างบ้านพักใหม่สูงนัก บ้านพักเก่าซ่อมแซมขึ้นใหม่สักรอบก็พอแล้ว” หวังซื่อกล่าวจบน้ำเสียงยิ่งหนักแน่นขึ้น “แล้วก็ตอนนี้ป้าสะใภ้ของเ้าตั้งครรภ์อยู่ ไม่เหมาะอยู่ในบ้านที่ทำการก่อสร้างใหญ่ๆ”
เจินจูฟังแล้วพยักหน้า นางแค่เสนอความคิดเห็นเท่านั้น
สองย่าหลานถกกันเื่ที่ดินสร้างบ้านอยู่พักหนึ่ง แล้วหวังซื่อจึงหยัดกายขึ้นอย่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“เอาล่ะ ย่าจะกลับไปคุยกับปู่ของเ้าดู แล้วค่อยให้ท่านลุงของเ้าไปถามราคาที่ดินกับหัวหน้าหมู่บ้าน พรุ่งนี้ก็จะได้รู้ผลแล้ว เ้าให้พ่อแม่ของเ้าได้พักหายใจก่อน แล้วค่อยถามความเห็นของพวกเขา” นางกล่าว
“ได้เลยเ้าค่ะ อีกเดี๋ยวทานข้าวมื้อเย็นแล้วจะถาม ท่านย่า ท่านแม่กำลังเตรียมอาหารเย็นแล้ว ท่านทานเสร็จค่อยกลับไปเถิด” เจินจูยิ้มแล้วรั้งนางไว้ให้อยู่
“ไม่แล้ว ที่บ้านยังมีงานอีก ปัญหาของราคาที่ดินยังต้องรีบไปถาม ย่าจะกลับไปก่อน”
ขณะกล่าวก็หยิบตะกร้าไผ่สานใบเปล่าที่พื้นขึ้นแล้วรีบกลับไป