สองวันต่อมา ครอบครัวหวังหงเซิงได้ทราบข่าวเข้าก็เร่งมาอวยพร
นำข้าวของในเขตูเาและอาหารป่ามามากมาย ที่พิเศษที่สุดยังมีห่านสีเทาสองตัวที่เพิ่งยิงได้
รูปร่างใหญ่มาก น้ำหนักพอให้ถึงเจ็ดชั่งแปดชั่งเลยทีเดียว สองพี่น้องสกุลหูแบ่งกันคนละตัว
“ท่านปู่ใหญ่ ท่านร้ายกาจเกินไปแล้ว นี่เป็ลูกธนูยิงเข้ากลางเป้าเลยนี่ขอรับ” ผิงอันใช้มือทำท่าลูกธนูเข้าตรงกลางเป้าห่านป่าสีเทา
วันนี้เป็วันทำความสะอาดโรงเรียน โรงเรียนจึงหยุดหนึ่งวัน
“ฮ่าๆ นี่ไม่ใช่ปู่ยิงหรอก ปู่ใหญ่ของเ้าชราแล้ว ยิงธนูได้ไม่ไกลเพียงนั้นหรอก นี่เป็พี่ชายหูจื่อของเ้ายิงได้” หวังหงเซิงตบหวังหรงฟาที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยความปลื้มใจ
“แหะๆ” หวังหรงฟาหัวเราะ แต่สีหน้าลำพองใจกลับไม่ลดลงเลย เด็กชายอายุสิบสามปีร่างกายแข็งแรงบึกบึน ใบหน้าดำคล้ำ แต่ฟันขาวปรากฏขึ้นสว่างไสว
“ว้าว พี่ชายหูจื่อ ท่านร้ายกาจนัก!” ผิงอันกล่าวด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ห่านป่าสีเทาบินอยู่กลางอากาศ ท่านล้วนสามารถยิงได้แม่นยำเพียงนั้น ร้ายกายจริงๆ”
รอยยิ้มบนใบหน้าหวังหรงฟายิ่งฮึกเหิมมากขึ้นอีก “ห่านป่าสีเทาหนึ่งฝูง ท่านพ่อข้ายิงเข้ากลางเป้าได้สามตัว ข้ายิงเข้าเป้าได้สองตัว”
“หู... ท่านลุงก็ร้ายกาจนัก ...ท่านลุง ท่านสอนข้ายิงธนูด้วยเถอะขอรับ!” ผิงอันพุ่งเข้าไปข้างกายหวังเป่าหยวน ดึงแขนเสื้อเขาไว้อย่างอ้อนวอน
“ได้สิ แต่ยิงธนูจำเป็ต้องใช้แรงมาก แขนเล็กของเ้านี่อาจยิงไม่ไหว รอให้เ้าโตอีกหน่อยค่อยเรียนเถอะ” หวังเป่าหยวนคลำแขนเล็กของเขาแล้วยิ้มขึ้น
ใบหน้ายิ้มแย้มของผิงอันพังทลายลง พร้อมกับบ่นพึมพำ “่นี้คนเขาล้วนเรียนรู้การต่อสู้กับท่านอาจารย์ฟางอยู่ ไม่ได้แอบี้เีเสียหน่อย ตั้งหม่าปู้ทุกวันได้ถึงหนึ่งชั่วยามแล้ว ต่อไปแรงกำลังต้องมากได้แน่ขอรับ”
“ฮ่าๆๆ”
การบ่นพึมพำของเขาเรียกความขบขันขึ้นจากทุกคนพักหนึ่ง หูฉางกุ้ยยืนอยู่ข้างกายเขาลูบศีรษะอย่างรักและเอ็นดู
อาชิงกับหลัวจิ่งนั่งแกะสลักดาบไม้ในมืออยู่นอกลานบ้าน
“ยิงธนูแม่นแล้วอย่างไรกัน พออาจารย์ข้าร่างกายดีขึ้นแล้ว ก้อนหินเล็กหนึ่งเม็ดล้วนสามารถยิงห่านได้หนึ่งตัวโตเลยล่ะ” การกระทำในมือของอาชิงไม่หยุดพัก ปากก็พร่ำรำพันไป
แกะสลักดาบไม้เป็ภารกิจที่อาจารย์มอบให้พวกเขาสองคน เด็กในโรงเรียนยังเล็ก ใช้ดาบจริงจึงไม่เหมาะกับการฝึกฝน
ฟางเสิงเองได้แกะสลักไว้หนึ่งด้ามเป็ตัวอย่าง ยี่สิบเล่มที่เหลือล้วนมอบให้พวกเขาจัดการ
หลัวจิ่งขัดท่อนไม้ในมือด้วยความจริงจัง ไม่ได้ตอบรับคำพูดของอาชิง บุคคลที่มีชื่อเสียงในโลกของชาวยุทธ์เทียบการยิงธนูกับครอบครัวนายพราน จะสามารถเปรียบเทียบกันได้หรือ
อาชิงทำหน้าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ท่าทางเ็าของเขา
ส่วนหูก็ฟังบทสนทนาภายในห้องโถงต่อไป
“ผิงอัน พี่สาวเ้าล่ะ?”
“ท่านพี่อยู่ในห้องครัวกระมัง พี่ชายหูจื่อ ท่านหาท่านพี่ข้าทำไมหรือ?”
“แหะๆ ไม่ใช่ได้ยินว่าเจินจู้าปลูกพืชดอกไม้ระย้าใต้เชิงเขาหรือ ข้าเข้าไปในป่าแล้วเห็นพืชดอกไม้ระย้าที่สวยงามไม่น้อย ก็เพราะเป็เช่นนี้เลยขุดมาให้นางเยอะแยะเลย”
“มากมายเพียงนี้เลยหรือ พี่ชายหูจื่อ ท่านเสียเวลาไปไม่น้อยเลยกระมัง”
“แหะๆ ไม่ได้เสียเวลาอะไร แค่... แค่ผ่านไปเลยถือโอกาสขุดมาด้วยเท่านั้นเอง”
อาชิงได้ฟังถึงตรงนี้อดเบะปากไม่ได้ “ดอกไม้ใบหญ้าในูเามีอะไรสวยงามกัน เ้าหมอนี่น่าตลกจริงๆ ตั้งใจขุดมามอบให้คนล่ะสิ”
การกระทำในมือของหลัวจิ่งกลับหยุดลง สายตามองไปทางห้องโถงแวบหนึ่งอย่างแปลกประหลาดใจ
“มีอะไรหรือ?” อาชิงเห็นท่าทางของเขาจึงอดถามไม่ได้
หลัวจิ่งหันศีรษะกลับมา ตอบเสียงไม่สบอารมณ์ “ไม่มีอะไร”
เด็กชายที่ชื่อหูจื่อนั่น วัตถุประสงค์ชัดเจนเช่นนั้น เหอะ... เด็กสาวผู้นี้ล่อผึ้งเรียกผีเสื้อ [1] จริงๆ เลย
เขาหยิบท่อนไม้ในมือขึ้นขัดเงาอย่างดุเดือด
เจินจูที่ถูกตราคำครหาไม่ดีบางอย่าง กำลังยุ่งอยู่กับงานในห้องครัว
หลี่ซื่อตั้งครรภ์แล้ว เจินจูจึงรับ่ต่องานในครัว
ในบ้านมีแขกมา เป็ธรรมดาที่ต้องต้มน้ำชงชา
เถียนซื่อที่มาพร้อมกับหวังซื่อ กำลังพูดคุยเป็เพื่อนหลี่ซื่ออยู่
คนหนึ่งกลุ่ม แค่ยกน้ำชาเพียงอย่างเดียวก็ต้องเสียเวลาเดินสองสามรอบแล้ว
เจินจูเติมฟืนในเตาเสร็จ ต้องเริ่มเตรียมกับข้าวดูแลแขก ครั้งแรกที่ต้องจัดการกับข้าวดูแลแขกด้วยตนเอง นางไม่รู้จะทำอย่างไรดีอยู่บ้าง
โชคดี... ที่มีพานเสวี่ยหลันคอยช่วยอยู่ด้านข้าง ไม่เช่นนั้น นางคงรับผิดชอบความลำบากมากมายนี้ไม่เสร็จจริงๆ
เนื้อกวางกับเครื่องในพะโล้ที่ทำการพะโล้ขึ้นใหม่ที่บ้านมีไม่น้อย สามารถหั่นเป็กับข้าวได้สามสี่อย่าง แตงกับถั่วในแปลงผักเติบโตได้มีชีวิตชีวาดี สามารถผัดอาหารจานหลักได้สองถาด ผัดผักกาดขาวนับเป็หนึ่งถาด อืม... ซื้อซี่โครงอีกนิดน่าจะพอใช้ได้แล้ว
เจินจูใช้นิ้วมือนับประเภทอาหาร
“พี่สาวเสวี่ยหลัน ท่านเฝ้าระดับความร้อนของข้าวที ข้าจะไปบอกให้พวกเขาซื้อเนื้อกลับมาสักหน่อย” เจินจูมอบหมายงาน
“อื้ม ได้ เ้าไปเถอะ ข้าเฝ้าเอง” พานเสวี่ยหลันรับปาก
เจินจูวิ่งมาหน้าบ้าน เห็นอาชิงกับหลัวจิ่งแกะสลักดาบไม้อยู่ใต้ชายคา
“อาชิง ยู่เซิง พวกเ้าคนไหนจะช่วยข้าไปทางเข้าหมู่บ้านซื้อซี่โครงสักสองสามชั่งได้บ้าง?”
“ข้า!” อาชิงยกมือขึ้นอย่างกระตือรือร้น
อาหารของสกุลหูอร่อยนัก ตอนนี้เขากับอาจารย์หุงหากันเอง รสชาติกับข้าวหุงต้มได้แย่กว่าสกุลหูอย่างมาก
พวกเนื้อและผักอย่างเดียวกัน คนเขากลับหุงหาได้อร่อยอย่างเทียบไม่ติด
เจินจูดีใจจนยิ้มขึ้น หยิบกระเป๋าเงินจากในอกออกมา “ขอบคุณอาชิง อีกเดี๋ยวยกถ้วยซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานกลับไปด้วย”
อาชิงดวงตาสองข้างเป็ประกาย ดีใจจนจะบินได้
หลัวจิ่งชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ช่างเป็ปีศาจจะกละจริงๆ ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานหนึ่งถ้วยก็ดีใจจนเห็นแต่ฟันไม่เห็นดวงตาแล้ว
ลืมไปหมดสิ้นว่าตัวเขาเองตอนอยู่บนโต๊ะอาหาร เนื้อที่ทานก็ไม่น้อยไปกว่าอาชิงเช่นกัน
“เจินจู ไม่ต้องซื้อเนื้อแล้ว ห่านป่าสีเทาตัวนี้เอาไว้นานจะไม่อร่อย จัดการมันก่อนเลย” หวังหงเซิงหิ้วห่านป่าสีเทาออกมาจากห้องโถง
ยังมีของเช่นนี้อีกหรือ? เมื่อกี้นางไม่ทันได้ใส่ใจ เจินจูรับมา “ท่านปู่ใหญ่ นี่จัดการอย่างไรกัน? ปรุงน้ำแดงหรือตุ๋นแบบไม่ใส่เครื่องปรุงดีเ้าคะ?”
“ปรุงน้ำแดงอร่อยกว่า ใส่พริก ขิงสดกับเห็ดหอมนิดหน่อย อบให้สุกก็อร่อยแล้ว ท่านย่าเ้าชอบทานเนื้อห่านที่สุดนักล่ะ ให้ท่านย่าเ้ามาจัดการก็ได้” หวังหงเซิงกล่าวอย่างเบิกบานใจ
“ได้เ้าค่ะ เช่นนั้นก็ไม่ซื้อซี่โครงหมูแล้ว อาชิง อีกเดี๋ยวชิมเนื้อห่านแล้วกัน” ขณะกล่าวนางก็หิ้วห่านป่าสีเทาไปหาหวังซื่อ
ต้มอาหารทำกับข้าวไม่ได้ยากสำหรับนาง แต่สัตว์ปีกเหล่านี้จำเป็ต้องถอนขนควักเครื่องใน สิ่งเหล่านี้นางไม่เคยทำจริงๆ
รอให้กับข้าวขึ้นโต๊ะ กลิ่นหอมของเนื้อก็เต็มไปทั่วห้อง พวกเด็กๆ อยากทานเสียจนน้ำลายเกือบจะไหลออกมาอยู่แล้ว
หลังทานข้าวกันอย่างคึกคักร่าเริง และนำเนื้อกวางพะโล้หนึ่งโถมอบให้อย่างมีความสุขแล้ว จึงโบกมือบอกลาครอบครัวหวังหงเซิง
เ้าหนุ่มน้อยหวังหรงฟาสายตาอาลัยอาวรณ์อย่างหนึ่งก้าวสามหันหลังกลับ แต่ถูกเจินจูเพิกเฉยไม่ได้สนใจเขา
่บ่ายสกุลหูก็มีแขกที่มาแสดงความยินดีอีกระลอกหนึ่ง
ครอบครัวหูชิวเซียงห้าคน
เจี่ยงเจียเซิ่งอายุสิบเจ็ด เจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนอายุสิบสี่ และเจี่ยงเจียเฉียงอายุสิบสอง ภายใต้การพามาของหูชิวเซียงและเจี่ยงจินไฉ ได้หิ้วข้าวของจำพวกที่มีเฉพาะในท้องถิ่นเข้ามาทางประตูใหญ่ของสกุลหู
เจี่ยงเจียเซิ่งกับเจี่ยงเจียเฉียงสองพี่น้องหน้าตาละม้ายคล้ายคลึง ผิวสีข้าวสาลีขับให้เครื่องหน้าประณีต หน้าตาสง่างามกว่าคนครอบครัวเกษตรกรทั่วไป
เจี่ยงจินไฉแต่ไหนแต่ไรมาหากไม่จำเป็ มักมาถึงบ้านสกุลหูน้อยมาก
ประเด็นแรกคืออยู่ค่อนข้างห่างไกล ส่วนประเด็นที่สองหรือ เขารังเกียจสองพี่น้องสกุลหูที่ตกอับในตอนนั้น
แม้สกุลเจี่ยงคนมากที่นาน้อย และแม้ชีวิตความเป็อยู่ผ่านไปอย่างไม่นับได้ว่าร่ำรวย แต่เทียบกับสกุลหูที่ผ่านมา เช่นนั้นก็นับว่าดีกว่าไม่น้อยเลย
ด้วยเหตุนี้ แต่งงานกับหูชิวเซียงมาหลายปี แต่จำนวนครั้งที่มาบ้านสกุลหู หนึ่งฝ่ามือล้วนนับได้
เขาเข้ามานั่งในห้องโถง ดื่มน้ำชาที่พานเสวี่ยหลันยกเขามา กล่าวทอดถอนใจท่าทางเรื่อยเปื่อย “ฉางกุ้ยเอ๋ย เ้าใช้ได้เลยนี่ ที่บ้านล้วนมีเด็กรับใช้หญิงได้แล้ว ไม่ได้แย่ไปกว่าครอบครัวร่ำรวยในเมืองเลย”
หูฉางกุ้ยรีบโบกไม้โบกมือทันที “พี่เขย ห้ามกล่าวเช่นนี้เด็ดขาด เสวี่ยหลันไม่ใช่คนรับใช้ นางเป็หลานสาวของผู้าุโหลิง แค่ช่วยทำงานบ้านนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“ผู้าุโหลิงเป็ผู้ใดอีก?” หูชิวเซียงยกน้ำชาขึ้น กำลังคิดจะวางมาดเรียกใช้พานเสวี่ยหลัน เมื่อได้ยินดังนั้นจึงรีบถามออกมา
“ผู้าุโหลิงเป็ผู้เชี่ยวชาญที่เจินจูเชิญมาวางแผนสร้างบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ ฐานะเดิมเป็จิ้นซื่อที่ซื่อสัตย์ เมื่อก่อนผู้าุโอยู่เมืองหลวงเคยดำรงตำแหน่งขุนนาง ตอนนี้มาพักอาศัยอยู่ที่บ้านเป็การชั่วคราว” สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็ข้ออ้างที่บอกแก่ภายนอก โดยเจินจูได้ตั้งใจกำชับไว้เป็พิเศษ
“ผู้เชี่ยวชาญวางแผนอะไร? แล้วยังเป็จิ้นซื่อ?” ดวงตาสองข้างของหูชิวเซียงจ้องกลมดิก นายท่านจิ้นซื่อเลยนะ สูงกว่านายท่านที่สอบได้ตำแหน่งบัณฑิตระดับท้องถิ่นอีกหนึ่งระดับเลยเชียว แต่ผู้เชี่ยวชาญอะไรนี่คือจะทำอะไรกัน
สี่คนของสกุลเจี่ยงที่อยู่ด้านข้างก็มองไปทางหูฉางกุ้ยอย่างประหลาดใจ
“แค่กๆ” หูฉางกุ้ยไอสองที “ก็ช่วยก่อสร้างสถานที่หนึ่งตรงริมฝั่งแม่น้ำผืนนั้นขึ้นมา”
ที่จริงเขาก็ไม่ค่อยแน่ชัดมากนัก แต่บุตรสาวกล่าวไว้เช่นนี้
“ท่านน้ารอง บ้านใหม่ของครอบครัวท่านไม่ใช่ล้วนสร้างเสร็จแล้วหรือ? ยังต้องสร้างอะไรอีกเ้าคะ?” เจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนถามด้วยเสียงออดอ้อน มิน่าเล่าที่เมื่อสักครู่เห็นคนกำลังจัดเก็บอะไรให้เป็ระเบียบอยู่ละแวกบ้านสกุลหูมากมาย
“เอ่อ... ก็ ลานบ้านกับสวนดอกไม้อะไรพวกนี้ แหะๆ” ใบหน้ายิ้มแย้มของหูฉางกุ้ยเขลาไปเล็กน้อย เขาไม่แน่ใจจริงๆ
“…ลานบ้านกับสวนดอกไม้!” หูชิวเซียงกับเจี่ยงจินไฉมองตากันแวบหนึ่ง ต่างก็มองเห็นความประหลาดใจและอิจฉาในตาจากฝ่ายตรงข้าม
ครอบครัวหูฉางกุ้ยเลียนแบบครอบครัวร่ำรวยในเมืองหรือนี่ ถึงได้จะสร้างที่ริมฝั่งแม่น้ำทั้งผืนให้เป็เหมือนกับจวนที่ผู้สูงศักดิ์อยู่อาศัย
ครอบครัวเขามีเงินมากมายจริงๆ
หูชิวเซียงประคองถ้วยชาและดื่มลงไปสองอึก ความขมฝาดของใบชาช่างเหมือนกับความรู้สึกของนางในตอนนี้นัก
น้องชายไร้เดียงสาจนเกือบโง่เง่าทึ่มทื่อ ่เวลาสั้นๆ ได้เปลี่ยนไปเป็ผู้มั่งคั่งในท้องถิ่นที่ใช้จ่ายเงินดุจสายน้ำแล้ว
ทำไมเขาถึงโชคดีได้เพียงนี้นะ
หูชิวเซียงกวาดสายตาไปทั่วลานบ้านกว้างขวางใหญ่โตของสกุลหูด้วยความอิจฉาริษยาแวบหนึ่ง
หวังซื่อกับชุ่ยจูก็ออกมาจากบ้านเก่าเข้ามาช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว
หลี่ซื่อไม่เหมาะให้ทำงานหนักเป็การชั่วคราว งานของห้องครัวเจินจูยังไม่คุ้นชินเป็อย่างมาก
ที่บ้านมีแขกมา หวังซื่อออกมายืนรับหน้าอย่างไม่ลังเลใดๆ
นางกับชุ่ยจูซื้อเนื้อกับซี่โครงกระดูกหมูที่ร้านขายเนื้อปากทางเข้าหมู่บ้านมาไม่น้อย เมื่อตอนเที่ยงได้ยินเจินจูบอกว่าอยากทำซี่โครงกระดูกหมูเปรี้ยวหวาน จึงซื้อมาเพิ่มเติมได้พอดี
หูฉางกุ้ยนำทางเจี่ยงจินไฉกับบุตรชายสองคนเดินเล่นรอบบ้านสกุลหูหนึ่งรอบ
ครั้งก่อนเจี่ยงจินไฉมาได้รีบร้อน เพียงทานมื้ออาหารที่บ้านสกุลหูลวกๆ ภาพความประทับใจในความทรงจำต่อครอบครัวเขาคือ กว้างขวางและมีชีวิตชีวา
เมื่อเดินเล่นเสร็จหนึ่งรอบ ถึงค้นพบว่าแค่ห้องพักของสกุลหูอย่างเดียวก็มีมากถึงแปดเก้าห้องแล้ว ในบ้านกับลานบ้านล้วนปูด้วยแผ่นอิฐสีฟ้าสะอาดและเป็ระเบียบเรียบร้อย ในพื้นที่ว่างที่เหลือต่างก็ปลูกต้นกล้ากับพืชไม้ดอกระย้า แม้ล้วนยังเป็ต้นกล้าอยู่ แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาอย่างมาก
จากซี่กรงหน้าต่างที่แง้มไว้ครึ่งหนึ่ง พอมองเข้าไปข้างในแต่ละห้อง ต่างก็ล้วนจัดวางเตียงไม้และตู้เสื้อผ้าที่ทำขึ้นใหม่ จัดวางได้เป็ระเบียบเรียบร้อยสะท้อนแสงสว่างไสว ไม่มีความสกปรกและรกรุงรังไม่สะอาดเลยสักนิดเดียว
ไม่เหมือนกับบริเวณที่พักอาศัยของครอบครัวเกษตรกรทั่วไปอย่างมาก
หูชิวเซียงและเจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนกำลังพูดคุยอยู่ในห้องของหลี่ซื่อ
การตั้งครรภ์ของหลี่ซื่อยังไม่ครบสามเดือน หวังซื่อให้นางพักผ่อนอย่างสงบ ด้วยท่าทางนิ่งๆ
ด้วยเหตุนี้ นางเลยทำได้เพียงงานเย็บปักถักร้อยนิดหน่อยอยู่ในห้อง เย็บเสื้อผ้าตัวเล็กให้บุตรที่ยังไม่กำเนิดออกมา
“น้องสะใภ้รอง ช่างมีวาสนาจริงๆ ที่บ้านหาเงินได้ เ้ายังมีครรภ์อีก ช่างนั่งเสวยสุขได้แล้วจริงๆ” หูชิวเซียงมองใบหน้าขาวสะอาดและงดงามของหลี่ซื่อ อดกล่าวด้วยความอิจฉาไม่ได้
“จะไม่ใช่ได้อย่างไรล่ะ ท่านน้าสะใภ้รอง ท่านน้ารองหาเงินได้มากมายเพียงนี้ ต่อไปชั่วชีวิตของพวกท่านล้วนไม่ต้องกลุ้มใจแล้ว ทำไมท่านยังทำเสื้อผ้าเองอยู่อีกเล่า ซื้อที่ร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปตรงๆ ก็ได้แล้วเ้าค่ะ” เจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนยิ่งอิจฉามากยิ่งกว่า
ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีขาวในมือของหลี่ซื่อ ละเอียดสะอาดอ่อนนุ่ม พอมองก็รู้ได้ว่าเป็วัสดุผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดชั้นดี ยกให้นางเอามาทำชุดซับในน่าจะดีตั้งเท่าไร
ตอนเจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนเข้าห้องมา เมื่อเห็นผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสองสามพับที่วางอยู่บนเตียงของหลี่ซื่อ ในใจก็พิจารณาทันทีว่านางสวมสีอะไรจะดูงามกว่ากัน
ราวกับผ้าเหล่านี้เป็ของในอ้อมอกของนางแล้ว
เจินจูยืนอยู่หน้าประตู กำลังมองผู้หญิงสองคนที่ในคำพูดไม่ค่อยเป็มิตรอย่างเงียบๆ
เชิงอรรถ
[1] ล่อผึ้งเรียกผีเสื้อ หมายถึง ดึงดูดผู้คนให้สนใจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้