ในวังไม่อนุญาตให้รถม้าผ่านเข้าไป เฉียวเยว่เดินออกมาถึงหน้าประตูวังเพื่อขึ้นรถม้าจวนซู่เฉิงโหวที่รออยู่ ก็เห็นหรงจ้านยืนอยู่ข้างกำแพงวัง เขาอยู่ในที่ร่ม ร่างกายปานจะกลืนไปกับผนังกำแพงเย็นะเื
เฉียวเยว่มองหรงจ้าน คิดอยู่ครู่หนึ่งก็เดินมาข้างกายเขา แล้วยอบกายเล็กน้อยทำความเคารพ "พี่จ้าน บังเอิญจริงๆ นะเ้าคะ"
หรงจ้านคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม หลังจากนั้นก็ย้อนถาม "บังเอิญรึ? ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น"
เขาหยุดเว้นจังหวะเล็กน้อย "มีใครรังแกเ้าหรือไม่?"
เฉียวเยว่อมยิ้ม แล้วตอบด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด "ที่นี่คือวังหลวง จะมีคนรังแกข้าได้อย่างไร ต่อให้อยากจะข่มเหงข้าสักปานใด ก็ต้องไว้หน้าพี่จ้านอยู่บ้างกระมัง?"
หรงจ้านเลิกคิ้วขึ้นช้าๆ "มันก็ไม่แน่หรอก อาจมีคนคิดร้ายต่อเ้าเพียงเพราะเห็นความสัมพันธ์ของพวกเราดีมากก็ได้ ใช่ว่าทุกคนล้วนเป็สหายของข้าเสียเมื่อไร"
"แต่คนผู้นั้นก็ไม่มีทางเป็ไทเฮาอย่างแน่นอน อย่างไรเสียพระนางก็เป็เสด็จย่าของท่าน" เฉียวเยว่เชิดหน้า แล้วเอ่ยเสียงเบา
ในที่โล่งแจ้งเช่นนี้ ต่อให้พูดอะไร ก็เป็ไปไม่ได้ที่ใครจะมาแอบฟัง เฉียวเยว่จึงไม่สนใจมากนัก
หรงจ้านยิ้มอ่อนแล้วเอ่ยว่า "บางเื่ก็ไม่แน่เสมอไป ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน"
เฉียวเยว่รู้สึกว่าคนในยุคสมัยนี้มักชอบพูดแฝงความนัย ไม่ว่าไทเฮาหรือหรงจ้านล้วนเป็เช่นเดียวกัน สมกับเป็สองย่าหลานจริงๆ แต่เฉียวเยว่ก็ไม่พูดมาก เพียงกล่าวว่า "เมื่อท่านมารับข้า เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ"
เฉียวเยว่รู้อยู่แก่ใจ การที่หรงจ้านมารับนาง ต่อให้พวกเขาหมั้นหมายกันถูกต้องตามธรรมเนียมก็ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง นับประอะไรกับตอนนี้ที่ทั้งสองยังมิได้หมั้นหมายกัน
"ข้าเป็แม่นางน้อยคบหาง่าย จิตใจกว้างขวางเป็พิเศษ หากเปลี่ยนเป็คนอื่น ป่านนี้คงกลอกตาใส่ท่านแล้วกลับไปเองคนเดียวแล้ว ท่านลองคิดดู ภายใต้สายตาของคนมากมาย ท่านมารับข้าอย่างออกหน้าออกตาเช่นนี้ ใช้ได้เสียที่ไหน? จิ๊จิ๊ ให้คนเห็นจะไม่มีคำนินทาได้อย่างไร เคราะห์ดีข้าชินเสียแล้ว มิเคยเก็บมาใส่ใจ"
คุยกันก็ส่วนคุยกัน แต่เฉียวเยว่ก็ยังมิวายโอ้อวดตนเองตลอดเวลา มุมปากของหรงจ้านโค้งขึ้นน้อยๆ แต่กลับค่อนแคะ "พวกเราคุยกันดีๆ บ้างได้หรือไม่?"
เฉียวเยว่ย้อนถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ "หรือข้ามิได้พูดความจริง? พี่จ้าน หากท่านยังยืนทำโทษตนเองอยู่ที่นี่ต่อ ข้าจะไม่อยู่เป็เพื่อนแล้วนะเ้าคะ"
เฉียวเยว่เหยียบเก้าอี้เตี้ย เลิกม่านแล้วเข้าไปในรถม้า หรงจ้านก็กลับไปยังรถม้าของตน ทั้งสองต่างออกไปจากที่นั่น คันหนึ่งอยู่หน้าคันหนึ่งตามหลัง แม้จะมารับเฉียวเยว่ แต่หากนั่งรถม้าคันเดียวกัน ก็จะยิ่งมากความ จุดนี้หรงจ้านย่อมเข้าใจดี
เขาเองอย่างไรก็ได้ ทว่าต้องคำนึงถึงสถานการณ์ของเฉียวเยว่ด้วย
แม้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เฉียวเยว่มักรู้สึกว่าหรงจ้านอยู่ข้างกายนางเสมอ มุมปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อย ไม่อาจระงับความเปรมปรีดิ์ของตนเองไว้ได้
เมื่อมาถึงจวนซู่เฉิงโหว หรงจ้านเพียงเลิกม่านแต่มิได้ลงจากรถม้า เขามองเฉียวเยว่อย่างพิจารณา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสกระจ่างดุจหยก "กลับไปพักผ่อนให้มาก ไม่ว่าไทเฮาทรงตรัสอันใดล้วนไม่สำคัญ"
เฉียวเยว่ยิ้มพลางพูดยอกย้อน "พี่จ้านกล่าวเช่นนี้ไม่ถูก หากพระดำรัสของไทเฮาไม่สำคัญ เช่นนั้นขอบังอาจถามว่าสิ่งใดถึงจะสำคัญเล่า"
ฉีอันกลับมาจากด้านนอก เห็นทั้งสองยืนคุยกันอยู่หน้าประตู เขาก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า "ที่ใครเขาว่า การใช้ลูกไม้แสร้งยั่วเย้าเพื่อเกี้ยวพาราสี ก็คงจะเป็เช่นพวกท่าน"
"เ้าคิดว่าพี่สาวของเ้ากับข้าใครคบหาง่ายกว่ากัน?"
ฉีอันคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ตนเองเป็ที่นิยมชมชอบก็คือการรู้จักสังเกตสีหน้าและวาจาของผู้อื่น เหมือนเช่นตอนนี้ เขาเผยรอยยิ้มเห็นฟันแปดซี่ตามมาตรฐาน "คนที่คบหายากที่สุดในหมู่ทุกคนก็คือข้าเองขอรับ"
หลังจากนั้นก็เอ่ยอีกว่า "พี่จ้านจะเข้ามานั่งข้างในหรือไม่ขอรับ?"
กิริยานอบน้อมเปี่ยมไปด้วยมารยาท
"ช่างเปลี่ยนเร็วเสียจริง" เฉียวเยว่ค่อนแคะ
"ผู้รู้กาลเทศะถึงจะเป็คนเฉลียวฉลาด" ฉีอันกล่าว
หรงจ้านมองสองพี่น้องอย่างพินิจ หลังจากนั้นก็ตอบกลับไป "เอาล่ะ พวกเ้าเข้าไปเถอะ"
พูดจบก็เตรียมจะไป เฉียวเยว่คิดดูแล้วก็ขบริมฝีปากร้องทัก "ช้าก่อน"
หรงจ้านเอี้ยวศีรษะกลับมามอง
เฉียวเยว่เงยหน้า แล้วเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน "ไทเฮาตรัสว่า ท่านกับพี่หญิงหลี่ต่างเป็ชายโสดหญิงยังไม่ออกเรือน หากอยู่ด้วยกันนานไปอาจไม่ดีต่อข้า"
หรงจ้านเลิกคิ้ว ดูเหมือนว่านางยังพูดไม่จบ แล้วนางก็พูดต่อไปดังคาด "ข้าเป็คนใจกว้าง ตอนนั้นข้าปฏิเสธความช่วยเหลือของพระนางไป แต่ท่านก็ควรตอบแทนน้ำใจสักหน่อยหรือไม่ ข้าแสดงความจริงใจของตนเองไปแล้ว ท่านก็ควรทำอะไรให้ชัดเจนกว่านี้หรือไม่?"
หรงจ้านเข้าใจความหมายของนาง หลังจากนั้นก็เอ่ยว่า "เช่นนั้นข้าจะจัดเตรียมให้ศิษย์พี่ออกไปอยู่ข้างนอก"
เฉียวยู่ปากน้อยๆ แล้วบ่นพึมพำ "ออกไปอยู่ข้างนอก ผู้อื่นคงได้นึกว่าท่านกำลังจะเตรียมแต่งงาน จึงไปสร้างเรือนทองซ่อนโฉมสะคราญเอาไว้ก่อนน่ะสิ"
อย่าว่าแต่หรงจ้าน แม้แต่ฉีอันก็ยังมีสับสน พูดตามตรง พี่สาวของเขาเป็พวกเอาใจยากจริงๆ
เคราะห์ดีที่หรงจ้านไม่คิดเช่นนี้ เขายิ้มมุมปากท่าทางจะอารมณ์ดีไม่น้อย
"เช่นนั้นเ้าคิดว่าข้าควรทำเช่นไรถึงจะดีที่สุดเล่า?" หรงจ้านถามด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
เฉียวเยว่โบกผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยอย่างน่าเอ็นดูแกมเ้าเล่ห์แสนกล สีหน้าเผยบอกว่า นี่ข้าทำเพราะหวังดีต่อท่านหรอกนะ
"ให้พี่หญิงหลี่ย้ายมาอยู่กับพวกเราที่นี่ได้ ข้าไม่ถือสา" ดวงตาคู่โตของเฉียวเยว่กะพริบปริบๆ พลางยิ้มหวาน
ฉีอันแทบสำลัก เบิกตากว้างมองพี่สาวของตนเอง เขาถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างเงียบเชียบ แล้วเอ่ย "ขะ... ข้าเข้าบ้านก่อนนะ พวกท่านค่อยๆ คุยกันไป"
หรงจ้านมองเฉียวเยว่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
"ทำไมหรือ? ท่านไม่เห็นด้วยกับความคิดของข้า?" เฉียวเยว่ถามอย่างตรงไปตรงมา
นางขบริมฝีปาก ท่าทางดึงดันจะเอาให้ได้ "พี่หญิงหลี่มาอยู่บ้านของพวกเราดีกว่า ข้าจะช่วยท่านดูแลนางเอง"
หรงจ้านเดินมาข้างกายนาง แล้วก้มศีรษะมองเฉียวเยว่อย่างพินิจ พอถูกมองเช่นนี้ เฉียวเยว่ก็ย้อนถามอย่างตกประหม่า "ท่านมองอันใด?"
หรงจ้านเอื้อมมือไปััดวงหน้าของนางต่อหน้าธารกำนัล เฉียวเยว่นึกในใจ คนผู้นี้ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก เพียงแต่ยังไม่ทันพูดค่อนขอด หรงจ้านก็ออกแรงหยิกแก้มนุ่มๆ ของนาง แล้วเอ่ยเสียงเบา "ความคิดของเ้าไม่เลวเลยนี่"
เฉียวเยว่ทำตาปริบๆ "ข้าไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น"
ถึงตอนนี้ก็ยังปากแข็ง!
หรงจ้านยกยิ้มน้อยๆ หลังจากนั้นก็พูดว่า "ข้าว่าให้ศิษย์พี่อยู่ที่จวนของข้าแหละดีแล้ว นางจะได้ไม่ถูกเ้าพาไปขาย"
คำกล่าวนี้เฉียวเยว่ฟังแล้วขัดหู นางจะทำเื่เช่นนั้นได้อย่างไร
เฉียวเยว่ทำปากยื่น "ท่านแย่มากที่ประเมินข้าเช่นนี้"
หรงจ้านยิ้มพลางเอ่ย "แล้วข้าก็กลัวว่า..." เขาค่อยๆ โน้มตัวไปข้างใบหูของนาง "ข้ากลัวว่าศิษย์พี่จะโกรธเ้า จนวางยาพิษให้เ้าตายไปเลย"
เฉียวเยว่เบิกตากว้าง "จะเป็ไปได้เช่นไร ข้าออกจะน่ารักเพียงนี้" นางพึมพำเสียงเบา
หรงจ้านตบๆ ดวงหน้าน้อยของนาง "จุดแข็งของเ้าคือมั่นใจในตนเอง ส่วนจุดอ่อนก็คือไม่รู้จักตนเองดีพอ"
หลังจากนั้นก็หัวเราะเสียงต่ำ แล้วเดินขึ้นรถม้าไป เฉียวเยว่เห็นเช่นนี้ก็กระทืบเท้าไม่พอใจ
แต่ดูเหมือนว่าหรงจ้านจะอารมณ์ดีมาก มุมปากของเขาโค้งขึ้น ทั้งยังฮัมท่วงทำนองเพลงออกมาอีกสองสามประโยค
เฉียวเยว่เห็นคนไปแล้ว ก็ได้แต่เดินหน้ามุ่ยกลับเข้าจวน ฉีอันซึ่งหลบอยู่ข้างประตู เห็นนางเข้ามาก็เดินเคียงไหล่ หลังจากนั้นก็หัวเราะแล้วเอ่ยถาม "เ้ามีความคิดอันใดหรือ? คนอย่างเ้าเสียก็จุดนี้นี่แหละ แสดงเจตนาของตนเองเร็วเกินไป ทำให้ผู้อื่นตั้งกำแพงป้องกัน"
เฉียวเยว่ชำเลืองมองฉีอันเงียบๆ หลังจากนั้นก็หยิกแก้มเขา "ไม่มีอะไรก็รู้จักเกรงใจข้าบ้าง ข้าเป็พี่สาวของเ้านะ"
ฉีอันร้องจิ๊จิ๊ ในใจนึกค่อนแคะสองสามประโยค พี่สาวของเขาเลือกบีบเฉพาะพลับนิ่ม [1] จริงๆ หลังจากนั้นก็พูดขึ้นว่า "เฉียวเฉียว พรุ่งนี้พวกเราไปเยี่ยมท่านลุงด้วยกันดีหรือไม่?"
เฉียวเยว่ย่อมตอบตกลง ขณะสองพี่น้องกำลังจะเลี้ยวไปทางเรือนสาม ก็เห็นเฉิงเยว่ท่าทางลุกลี้ลุกลนเดินมาจากฝั่งตรงข้าม เฉียวเยว่อึ้งเล็กน้อย ก่อนจะร้องทัก "พี่หญิงเฉิงเยว่"
ซูเฉิงเยว่เห็นทั้งสองก็ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ปรับสีหน้าให้เป็ปรกติอย่างรวดเร็ว "น้องหญิงเจ็ด น้องชายสี่"
นางบีบผ้าเช็ดหน้าในมือแล้วเอ่ยถาม "น้องหญิงเจ็ดเพิ่งกลับมาจากวังล่ะสิ รีบไปดูอาสะใภ้สามที่เรือนหลักก่อนเถอะ ท่าทางอาสะใภ้สามจะวิตกกังวลไม่น้อย"
เฉียวเยว่ยิ้มอ่อน "ท่านแม่มักเห็นข้าเป็เด็กอยู่เรื่อย ทั้งที่ข้าโตแล้ว ไม่เห็นมีสิ่งใดต้องเป็กังวล"
พูดจบ ก็ย้อนถามเสียงเบา "แล้วพี่หญิงรองทำอะไรอยู่หรือ ถึงรีบร้อนเช่นนี้"
เฉิงเยว่ยิ้มตอบอย่างเยือกเย็น "อันที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก สร้อยข้อมือของข้าตกหายไป ข้าหาจนทั่วแล้ว ไม่รู้ว่าถูกใครเก็บไปแล้วหรือเปล่า"
หลังจากนั้นก็พูดอีกว่า "น้องหญิงเจ็ดรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ข้าเองคงจะไม่หาต่อแล้วล่ะ เดี๋ยวค่อยให้สาวใช้มาหาดูอีกครา"
เฉียวเยว่ตอบอื้อ ไม่รั้งอยู่นาน
นางลากฉีอันผละจากไป
ฉีอันแค่นเสียงเยาะ "เ้าเชื่อนางหรือ?"
"เื่ของผู้อื่น ไม่เกี่ยวกับพวกเราเสียหน่อย" เฉียวเยว่ตอบ
พอฉีอันมานึกดูก็จริง จึงไม่พูดอะไรต่อ
เฉียวเยว่พึมพำเสียงเบาราวกับคุยกับตัวเอง "เ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้ในจวนมีแขกหรือเปล่า?"
พอคำนี้เอ่ยออกมา ฉีอันก็มองนางด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แล้วถามย้อนกลับไป "เ้าบอกว่าไม่เกี่ยวกับพวกเรามิใช่หรือ?"
เฉียวเยว่อมยิ้ม "นี่เรียกว่าััที่หกของสตรี ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี เ้าเชื่อหรือไม่?"
ฉีอันรู้สึกว่าพี่สาวของตนช่าง... เขากลอกตาใส่นาง "เ้าถูกหรงจ้านพะเน้าพะนอจนโง่งมไปแล้ว คำพูดเช่นนี้ ข้าหรือจะเชื่อ?"
เฉียวเยว่ยกเท้าเตะฉีอันโดยไม่นำพาว่ายังอยู่ในลานสวน หลังจากนั้นก็เอ่ยว่า "ไปไกลๆ เลย"
นางหน้าแดงระเรื่อ รู้สึกว่าฉีอันเป็น้องชายที่แย่จริงๆ หรงจ้านเคยพะเน้าพะนอนางเสียที่ไหน เฉียวเยว่ยู่ปาก แล้วพูดอีกว่า "อย่าเอาข้าไปเชื่อมโยงกับเขาอีก พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแม้แต่น้อย ข้า... ถึงอย่างไรข้ากับเขาก็ไม่ได้เป็อะไรกัน"
ฉีอันถอนหายใจลึก "เ้าปิดหูขโมยกระดิ่งเยี่ยงนี้จะไม่มีปัญหาแน่หรือ?"
"นางจะปิดหูขโมยกระดิ่งหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่าหากเ้ารังแกพี่สาว ต้องไม่เจอดีแน่ ตามข้าไปลานฝึกยุทธ์เดี๋ยวนี้" เฉียวเยว่กับฉีอันหันกลับไปพร้อมกัน ก็เห็นท่านลุงอยู่ตรงนั้น ทั้งสองต่างดีใจมาก
เฉียวเยว่จับชายเสื้อของฉีจือโจว แล้วเอ่ย "ท่านลุง สุขภาพของท่านเป็อย่างไรบ้าง?"
ฉีจือโจวลูบศีรษะของเฉียวเยว่ "ดีขึ้นแล้ว" หลังจากนั้นก็มองฉีอัน "ไป ตามข้าไปลานฝึกยุทธ์
ฉีอันร้องโวยวาย "ท่านลุงได้โปรดอย่าถือสา ด้วยสุขภาพของท่านตอนนี้ หากแพ้ขึ้นมาจะกลายเป็ว่าข้ารังแกท่านนะขอรับ
เฉียวเยว่ยกมือปิดหน้า ถึงนางจะเคยเห็นคนรนหาที่ตายมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครรนหาที่ตายขนาดนี้ ได้แต่ภาวนาให้เขาในใจ
แล้วคนก็ถูกหิ้วไปทันที...
...
[1] เลือกบีบเฉพาะพลับนิ่ม หมายถึงไม่กล้าหือกับคนที่แข็งแกร่งกว่า แต่เลือกที่จะรังแกคนอ่อนแอกว่า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้