“แปะๆๆ” เสียงปรบมือดังขึ้นหลายครั้ง หลินอวิ๋นมองไปตามเสียงกลับเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งในอาภรณ์สีขาวล้วน อายุราวยี่สิบต้นๆ ใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางสง่างาม ดูสุภาพเรียบร้อย เขากำลังระบายยิ้มให้หลินอวิ๋น “ไม่คาดคิดว่าจะยังมีผู้วิเศษเหนือโลกที่ก้าวผ่านแสงสุริยันเฉียดฟ้าอยู่บนโลกนี้ เช่นนี้ก็นับว่าเป็ผู้ที่อยู่ในปราณพิสุทธิ์ขั้นปลาย นอกจากปรมาจารย์เจิ๋นฝ่า ปรมาจารย์สวินเอ๋อ ปรมาจารย์อิ้งเยว่ และไป๋เจ๋อจวินแล้ว...ยังเพิ่มมาอีกท่านหนึ่ง”
สายตาของทุกคนที่มองมาทางหลินอวิ๋นทั้งเคารพและไม่เต็มใจนัก
ชายหนุ่มผู้นั้นก้าวลงจากที่นั่งช้าๆ เขาประสานมือให้กับหลินอวิ๋น พูดด้วยรอยยิ้มและความเคารพ “ปรมาจารย์หลิน ข้าน้อยสวี่ฮ่วนเจ๋อจากสำนักคงหลงซาน”
“ฮ่าๆๆ...” มีอีกผู้หนึ่งลุกขึ้นยืน เป็อาจารย์ลุงผู้นั้นของอี้จื่ออี ผู้ซึ่งเก็บสีหน้าหยิ่งผยองแล้วกล่าวอย่างสุภาพกับหลินอวิ๋น “เมื่อครู่ทำให้ขุ่นเคืองเสียแล้ว ยังหวังว่าปรมาจารย์ผู้มีจิตใจกว้างขวางดั่งมหาสมุทรจะให้อภัย ข้าน้อยสวีเหยียนจีจากสำนักไท่ซื่อซาน”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองสำนักเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อนักพรตผู้อยู่ในขั้นปลายของปราณพิสุทธิ์ท่านนี้โดยเร็ว ต่างแสดงถึงไมตรีจิต สำนักอื่นจึงไม่ยอมน้อยหน้า ทยอยไปพูดคุยด้วยความสุภาพ เริ่มพรั่งพรูกันไปแนะนำตัวกับหลินอวิ๋น
ในหมู่พวกเขา มีเพียงสองคนที่ไม่ได้เคลื่อนไหว หนึ่งคือไป๋เจ๋อจวินบนที่นั่ง ท้ายที่สุดแล้วก็เป็แนวหน้าของสำนักเต๋า ซึ่งมีตัวตนเป็ของตัวเอง ตามที่ได้ยินสิ่งที่สวี่ฮ่วนเจ๋อกล่าวเมื่อครู่ การฝึกฝนของเขาอยู่ในปราณพิสุทธิ์ขั้นปลาย โดยธรรมชาติแล้วจึงไม่จําเป็ต้องประจบประแจงผู้ที่อยู่ในปราณพิสุทธิ์ขั้นปลายเช่นเดียวกับตนเอง หลินอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อย เจ็ดปีในการทะลวงผ่านปราณเมฆานั้นเพียงพอที่จะทำให้ตกตะลึงแล้ว และอายุปัจจุบันของอีกฝ่าย ‘ไม่แตกต่างจากอายุของรูปลักษณ์มากนัก’ ทว่ากลับสามารถไปถึง่ปลายของปราณพิสุทธิ์ได้เชียว
อีกคนหนึ่งคือหนีรั่วหลี ผู้ซึ่งแนะนำตัวเองไปแล้วเมื่อครู่ แม้ว่าจะเป็การหยั่งเชิง ทว่ากลับรู้สึกอับอายเล็กน้อยที่พ่ายแพ้ให้กับหลินอวิ๋น เขาเดินไปที่เดิมอย่างหดหู่ ศิษย์น้อยในเครื่องแบบสีเดียวกันผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหลังก้าวไปประคอง ร้องเรียกด้วยความทุกข์ใจ “ศิษย์พี่”
อย่างไรก็ตาม เขายังจ้องมองหลินอวิ๋นด้วยสีหน้าไม่พอใจอยู่ ศิษย์น้อยที่ดูอายุเพียงสิบห้าหรือสิบหกปี บนใบหน้ากลมยังคงมีความอ่อนเยาว์ ผมลอนถูกมัดอย่างหลวมๆ ใบหน้าขึ้นสีแดง ดูเหมือนกำลังโกรธเช่นเดียวกัน
ขณะที่หลินอวิ๋นประสานมือกับทุกคนพร้อมตอบกลับสองประโยค หัวใจของเขากลับหลั่งเืออกมาอย่างลับๆ
หากเป็ไปได้ เขาไม่ได้อยากเป็นักพรตผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในปราณพิสุทธิ์ตอนปลาย เมื่อครู่ที่หนีรั่วหลีลงมือทดสอบตน หลินอวิ๋นกลัวว่าจะถูกจับได้ว่าความจริงแล้ว เขาไม่แม้แต่จะหลอมรวมปราณทองได้ด้วยซ้ำ ณ ตอนนี้! ทว่าหากเป็เช่นนั้นจะไม่มีหนทางอธิบายว่าเขามีอายุอย่างน้อยหนึ่งร้อยปีได้ ซึ่งภายนอกเขายังดูเหมือนวัยเยาว์อยู่ การโกหกของตนอาจทำให้แพ้ภัยได้! หลังไม่มีทางเลือก เขาจึงทำได้เพียงใช้ยันต์ยืมิญญาเพื่อคดโกง ทว่ายันต์สีทองยืมิญญาของเขานั้นเขียนขึ้นโดยเซียน์อย่างแท้จริง ซึ่งเป็เครื่องรางระดับทอง! และเครื่องรางประเภทนี้ล้วนเป็แบบใช้แล้วทิ้ง ใช้ไปหนึ่งก็หายไปหนึ่ง! ยันต์ยืมิญญาระดับทองที่เขียนโดยเซียน์! ใช้เพียงเพื่อรับมือกับการหยั่งเชิงจากผู้อื่น!!! นี่เป็การทำลายข้าวของตามอำเภอใจระดับใดกัน? เปรียบเหมือนการลากเกวียนทองคำไปแลกกับฟางเพียงกำหนึ่งของผู้อื่นอย่างไรเล่า
หลินอวิ๋นยิ้ม เขารู้สึกเหมือนหัวใจจะวาย อยากกระอักเืออกมา
เขาก้าวะโจากผู้ฝึกฝนธรรมดาๆ ในชนบท กลายมาเป็คนดังในหมู่สำนักเต๋าที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด โดยปกติแล้ว เขาได้รับอนุญาตกรณีพิเศษให้อยู่ในจวนของอัครเสนาบดี ทว่าการที่จู่ๆ นักพรตซึ่งอยู่ในปราณพิสุทธิ์ขั้นปลายอย่างเขาปรากฏตัว ออกจะเหมือนการแสดงมากเกินไปกระมัง ดังนั้น ไม่ว่าจะไปที่ใดย่อมถูกจับตามองและวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คน ซึ่งเื่นี้ค่อนข้างยากที่จะปรับตัว
นอกจากไป๋เจ๋อจวินแล้ว สำนักเต๋าเ่าั้ต่างก็ไม่ได้รับอนุญาตให้พาลูกศิษย์เข้ามา โดยปกติไป้เอ๋อร์ไม่สามารถเข้ามาได้ ด้วยข้ออ้างเื่การค้นหาตำแหน่งของศิษย์ หลินอวิ๋นจึงออกจากจวนอัครเสนาบดีมาได้แล้ว
อี้จื่ออีดูเหมือนจะเป็คนเชื่อถือได้ ไป้เอ๋อร์ก็เฉลียวฉลาด ทั้งยังมีหยกคู่เพลิงสุวรรณอยู่ในตัว ยิ่งไปกว่านั้น ที่พํานักของลูกศิษย์เหล่านี้ในจวนของอัครเสนาบดีก็อยู่ไม่ไกลนัก หลินอวิ๋นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอร้องให้อี้จื่ออีช่วยดูแลเขาสักหน่อย
อี้จื่ออีเป็คนตรงไปตรงมา ฉะนั้นจึงตอบรับด้วยรอยยิ้มกว้าง
เมื่อรู้ว่าเขาจะต้องไปทำธุระ แม้ว่าไป้เอ๋อร์จะจับชายเสื้อของเขาไว้ทั้งน้ำตา ทว่าก็ยังพยักหน้าเชื่อฟังคำสั่งเป็อย่างดี
หลินอวิ๋นกำชับ “ต้องเป็เด็กดีและต้องเชื่อฟัง อย่าสร้างปัญหาให้พี่อี้อย่างเด็ดขาด หากไม่มีอะไรทำก็อย่าวิ่งซน...”
“ขอรับ...”
นับเป็โอกาสดีที่อี้จื่ออีพูดคุยกับศิษย์พี่น้องร่วมสำนักอยู่จึงไม่ได้สนใจพวกเขา เขาจึงโน้มตัวไปกระซิบที่หูของไป้เอ๋อร์ “อาจารย์วาดเขตอาคมในห้องของเ้าแล้ว อาจารย์จะมาหาเ้าทุกวัน ยามกลางคืนเ้าห้ามออกจากเขตอาคมของอาจารย์โดยเด็ดขาด...สวมใส่หยกคู่เพลิงสุวรรณไว้บนร่างกายให้ดี อย่าทำมันหาย เข้าใจหรือไม่?”
ไป้เอ๋อร์พยักหน้า “ขอรับ”
หลินอวิ๋นบอกอีกครั้ง “อาจารย์อยู่ไม่ไกล หากมีเื่เร่งด่วนขอให้พี่อี้ไปตามอาจารย์ เข้าใจหรือไม่?”
“ขอรับ”
หลังจากบอกลาอี้จื่ออีและเหล่าศิษย์สำนักไท่ซื่อซาน หลินอวิ๋นกลับไปที่จวนอัครเสนาบดีซึ่งทันเวลาสำหรับอาหารค่ำพอดี เนื่องจากสถานะอันสูงส่งของคนเหล่านี้ที่พักอยู่ในจวน จึงเป็ไปไม่ได้ที่อัครเสนาบดีจะประมาทเลินเล่อ แม้แต่หลินอวิ๋นเองก็ทำตาม หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเขาลูบท้องด้วยความพึงพอใจพลางเรอออกมา
โชคดีที่สำนักมีชื่อเสียงเ่าั้ซึ่งปกติดูเหมือนจะเขม่นกันไม่น้อยไม่จำเป็ต้องร่วมรับประทานอาหารใดๆ พวกเขาล้วนให้คนรับใช้ส่งอาหารเย็นไปที่ห้องพัก ไม่เช่นนั้นหากคนเ่าั้ได้เห็นท่าทางการกินของหลินอวิ๋นเช่นนี้ ย่อมไม่รู้ว่าจะดูถูกอย่างไรดี ท้ายที่สุดแล้ว การบ่มเพาะด้วยธรรมชาติก็เพื่อการบรรลุเป็เซียน ถ้าเช่นนั้นก่อนที่จะบรรลุเป็เซียน ถ้อยคำและการกระทำจะต้องใกล้เคียงกับคำว่า ‘ผู้วิเศษ’ ให้มากที่สุด
เมื่อหลินอวิ๋นกินดื่มเพียงพอแล้วก็ออกไปเดินเล่นย่อยอาหาร หลังจากจดจำโครงสร้างของจวนอัครเสนาบดีได้แล้ว หลินอวิ๋นก็กลับไปที่ห้องปีกที่ตนเองพักอยู่ เขานอนลงบนเตียงขนาดใหญ่ที่สะอาดและนุ่ม เมื่อกางแขนทั้งสองข้างออก ยกขาขึ้นในท่าไขว่ห้าง แกว่งเท้าอย่างสบายๆ ความคิดของเขาพลันโลดแล่นอย่างรวดเร็ว
หากอัครเสนาบดีมีโรคร้ายแล้วบอกว่า ‘ถูกอาถรรพ์’ เช่นนั้นเมื่อถูกอาถรรพ์ไปแล้ว สิ่งที่ควรคิดคือการขจัดอาถรรพ์ ไม่ใช่มัวแต่หวาดระแวงคิดจินตนาการไปเฉกเช่นปัจจุบัน อีกฝ่ายราวกับล่วงรู้ว่าจะถูกอาถรรพ์ ทว่ายังไม่ถูก...สถานการณ์นี้ตรงข้ามกับการคาดการณ์ของเขา เป็ไปได้หรือไม่ว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้ของเขาผิด? ที่สวนฟางชิ่นนั้น...เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...
ใครเป็คนวางแผนเื้ัทั้งหมดนี้! จุดประสงค์ของการลงมือ...แท้จริงแล้วคืออะไร?
ขณะที่เขาสะลึมสะลือกำลังจะหลับ ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงจากห้องพักข้างๆ มีคนผลักประตูออกมาเดินอยู่สองก้าวมายังจุดที่ไม่ไกลจากประตูของเขานัก ราวกับว่าได้พบกับใครบางคน ฝีเท้าของอีกฝ่ายหยุดก่อนทักทายอย่างสุภาพ
“ศิษย์พี่รั่วหลี อิ๋นเสวี่ย”
หลินอวิ๋นจำได้ว่าเป็เสียงของสวี่ฮ่วนเจ๋อ
“ศิษย์น้องสวี่” รั่วหลีกล่าว
สวี่ฮ่วนเจ๋อถาม “ศิษย์พี่รั่วหลี เตรียมตัวพร้อมแล้ว ไป๋เจ๋อจวินเองก็อยู่ที่นี่ คงไม่ดีนักหากไปสายกว่า พวกเราไปเร็วหน่อยดีหรือไม่?”
อีกคนหนึ่งเปิดปากพูดอย่างอดรนทนไม่ไหว “ไป๋เจ๋อจวินผู้นี้ไม่รู้ว่ากำลังวางกลอุบายอะไรอยู่...การต่อสู้ครั้งใหญ่เช่นนี้กลับตั้งรับอยู่สองวัน นอกจากปลาหรือกุ้งตัวเล็กตัวสองตัว คงไม่ได้อะไรอีกแล้ว” ดูเหมือนว่าจะเป็ศิษย์ของสำนักจงหลีซาน ผู้ที่จ้องมองหลินอวิ๋นในโถงประชุมวันนี้
หนีรั่วหลีตำหนิเขา “ไม่เช่นนั้น เ้าคาดหวังว่าจะได้ปลาตัวใหญ่อะไร?”
หนีอิ๋นเสวี่ยกล่าว “ศิษย์พี่! ลืมเื่ธรรมดาสามัญภายนอกไปได้เลย พวกเราที่อยู่ภายในมีสิ่งใดที่เรายังไม่เปิดหูเปิดตาบ้าง? พวกท่านไม่ได้นึกถึงมันหรอกหรือ? ประตูหยินเปิดออก ผีนับร้อยกระโจนเข้ามา ผู้ถูกอาถรรพ์มียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่งเช่นนี้...ไม่ใช่ว่าอัครเสนาบดีหลิวถูกอาถรรพ์ ‘คำสาปร้อยผีกลืนใจ’ หรอกหรือ?”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ หนีรั่วหลีขัดจังหวะพลางกล่าวอย่างเฉยชา “ตาข้างไหนของเ้าที่มองเห็นผีนับร้อยกำลังจะมา?”
สวี่ฮ่วนเจ๋อยังพูดต่อ “ศิษย์น้องอิ๋นเสวี่ย...อันที่จริงไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยสงสัย ประตูหยินถูกเปิดออก ผีนับร้อยกระโจนมา ต่อต้าน์เปลี่ยนชะตาและกลืนกินภูตผีิญญา หากจะกล่าวว่าเคล็ดวิชาต้องห้ามใดที่สามารถพลิกชะตาฟ้า เอาชีวิตของผู้ที่ได้รับการพิทักษ์จากดวงดาวตี้ซิง[1] ย่อมมีเพียง ‘คำสาปร้อยผีกลืนใจ’ เท่านั้น แต่ในหนังสือโบราณมีบันทึกกรณีนี้ไว้ คำสาปนี้อันตรายยิ่ง เมื่อต้องคําสาปจะไม่มีทางแก้ไขได้ ทันทีที่ผีนับร้อยโผล่ออกมา มันจะกลืนิญญาของผู้ที่ต้องสาปทันใด เซียนจวินใดคุ้มครองอยู่ก็ไม่เป็ผล แต่อัครเสนาบดีท่านนี้...ยังมีอีกหลายจุดที่ไม่ตรงกันอยู่ เห็นได้ชัดเจนว่าั้แ่เมื่อหลายปีก่อน เขาดึงดูดสิ่งชั่วร้ายจากประตูหยินมาแล้ว อย่างไรก็ตาม ิญญาชั่วร้ายเ่าั้มีแค่สองสามตนเท่านั้น...นี่ดูไม่เหมือนอาการของ ‘คำสาปร้อยผีกลืนใจ’ เลยจริงเชียว”
หลังเขากล่าวจบ ทั้งสามคนที่อยู่ด้านนอกต่างเงียบงันไปครู่หนึ่ง
เป็เวลานาน อิ๋นเสวี่ยเอ่ยอย่างไม่ยอมรับ “หนังสือโบราณมีบันทึกไว้...ต้องไม่ผิดพลาดแน่ หนังสือโบราณระบุไว้อย่างชัดเจนว่าไม่มีทางที่่จะแก้คำสาปร้อยผีกลืนใจได้ แต่มีข่าวลือว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อน องค์ชายเฉิน รัชทายาทแห่งจักรพรรดิิจงในราชวงศ์นี้ พระองค์เคยโดนคำสาปนี้มาก่อนแล้วรอดชีวิตไม่ใช่หรอกหรือ?”
หนีรั่วหลีตะคอกอย่างเ็าพร้อมถามกลับ “ข่าวลือเป็จริงได้หรือไร? เป็ความจริงที่องค์ชายเฉินถูกกำหนดให้เป็จักรพรรดิ และไม่ได้ขึ้นเป็จักรพรรดิในท้ายที่สุด นี่ไม่ใช่เื่หลอกลวง แต่องค์ชายเฉินสิ้นพระชนม์จากการลอบสังหาร! ไม่มีหลักฐานใดว่าเขาเคยต้องคำสาปนี้”
“เช่นนั้นก็ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้ต้องคำสาปใช่หรือไม่?” หนีอิ๋นเสวี่ยแย้งศิษย์พี่
หนีรั่วหลีหัวเราะหยัน “คำสาปร้อยผีกลืนใจเป็คำสาปมรณะ ซึ่งเป็ความจริงที่รับรู้กันทั่วทั้งสามโลก...หากเ้าคือองค์ชายเฉิน เ้าจะถอนคำสาปให้ตนเองยามที่ ‘ผีนับร้อยกระโจนมา’ อย่างไร?”
หนีอิ๋นเสวี่ยพูดไม่ออก
สวี่ฮ่วนเจ๋อยังเสริมต่อ “อีกทั้ง...คำสาปร้อยผีกลืนใจ เป็เคล็ดวิชาต้องห้ามระดับสูง หาก้าทำลายการพิทักษ์จากดาวนำโชคของผู้ที่มีดวงชะตาเป็จักรพรรดิ ต้องเป็ผีในระดับที่สูงมาก เคล็ดวิชาต้องห้ามนี้ฝืนกฎ์ ผู้ใช้คำสาปจะต้องเป็ระดับาาผีเพื่อเปิดประตูของสองโลก แล้วปล่อยภูตผีปีศาจร้ายออกมา แต่ในปัจจุบัน อัครเสนาบดีไม่มีิญญาชั่วร้ายระดับสูงอยู่ใกล้ตัวเลยแม้แต่น้อย”
ทั้งสามคนเงียบไปอีกพักหนึ่ง พวกเขาทําอะไรไม่ถูก หลังจากพูดคุยกันอีกครั้งถึงเดินจากไป
หลินอวิ๋นลุกขึ้นจากเตียงแล้ววางเท้าลงบนพื้น เขาเอนตัวลงก่อนถอนหายใจลึก ในที่สุดก็รู้ว่าทําไมคนผู้นั้นถึงคะยั้นคะยอที่จะขุดตนออกจากูเาฉู่อวิ๋น ไม่ยอมปล่อยเขาไป ทั้งยังบอกอีกว่าต้องเป็เขาจัดการเท่านั้น
หลินอวิ๋นขมวดคิ้วแล้วลุกขึ้นเดินตามรอยเท้าของทั้งสามคนออกไปยังค่ายกล
ภายในจวนนั้นเงียบสงัด ทว่ากลับเงียบจนมีความรู้สึกราวกับว่าเป็บรรยากาศตึงเครียดก่อนเกิดการปะทะขึ้น
หนีรั่วหลีและอีกสองคนตรวจสอบการป้องกันของจวนอยู่รอบหนึ่ง โดยคิดว่าเป็อีกคืนที่ไม่มีเื่อันใด ทันใดนั้นพลันเห็นศิษย์ผู้มีชื่อเสียงสวมชุดคลุมแม่น้ำรั่ววิ่งเข้ามาอยู่ไม่ไกลนัก อีกฝ่ายประสานมือให้ทั้งสามคนอย่างมีมารยาท รีบร้อนกล่าว “นักพรตทั้งสาม เมื่อครู่ค่ายกลที่ไป๋เจ๋อจวินวางไว้รอบนอกมีการเปลี่ยนแปลง ไป๋เจ๋อจวินรีบนำไปก่อนแล้ว นักพรตทั้งสาม้าไปด้วยกันหรือไม่ขอรับ?”
หลังจากทั้งสามคนได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รอช้า รีบไปยังสถานที่ซึ่งศิษย์กล่าวถึง หลินอวิ๋นซึ่งอยู่ด้านหลังพวกเขาในที่ไกลๆ ไม่แอบซ่อน เขาติดตามไปด้วย
เมื่อมองที่ด้านหน้าของค่ายกลแล้วก็พบว่า รอบนอกจวนอัครเสนาบดีถูกไป๋เจ๋อจวินวางค่ายกลเซียนไว้อยู่ ศิษย์ที่คุ้มกันค่ายกลคือศิษย์สำนักเต๋าที่ถูกส่งออกไปนอกจวนอัครเสนาบดีซึ่งมีหลายร้อยคน ดังนั้นจึงใช้ใจกลางของจวนสกุลหลิวในการวาดค่ายกลเซียน นอกจากผู้คนแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงภูตผีร้าย แม้ว่าจะเป็เซียนทองคำต้าหลัวหากเข้าสู่ค่ายกลนี้ เกรงว่าอาจออกไปไม่ได้ง่ายนัก
สถานที่ซึ่งทุกคนรวมตัวกันอยู่บนถนนที่ประตูหลังของจวนสกุลหลิว เงาสีดำกึ่งโปร่งแสงเงาหนึ่งกำลังถูกโอบล้อมไปด้วยองค์รักษ์ในชุดแม่น้ำรั่วผู้คุ้มกันค่ายกลของไป๋เจ๋อจวินทั้งสิบสอง ศิษย์ทั้งสิบสองคนมีรอยมือบนฝ่ามือ กรงที่สร้างขึ้นโดยพลังิญญาในฝ่ามือของศิษย์ทั้งสิบสองคนได้โอบล้อมเงาดำไว้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะกรีดร้องอย่างน่าสยดสยองและกระแทกเข้ากับเขตอาคมเพียงใดย่อมไม่มีทางหลบหนี
เมื่อหนีรั่วหลีและคนอื่นๆ มาถึง หนีอิ๋นเสวี่ยกล่าว “ถูกจับได้อีกหนึ่ง? ดูเหมือนจะไม่ใช่ระดับสูง”
ยามนี้มีองครักษ์ของไป๋เจ๋อจวินสิบสองคนกับไป๋เจ๋อจวินเท่านั้น ส่วนองครักษ์ของสำนักเต๋าจำนวนมากยืนอยู่บริเวณด้านนอกเนื่องจากต้องคุ้มกันค่ายกล ยังดีที่ขอบเขตของค่ายกลไม่ใหญ่นัก ดังนั้นพวกเขาจึงยืนอยู่ไม่ไกลเกินไป สามารถมองเห็นสถานการณ์ได้อย่างง่ายดาย
หลินอวิ๋นไม่ได้คาดคิด เขาเห็นร่างที่คุ้นเคยอยู่นอกค่ายกล
“คุณชายอี้!” เขาโบกมือทักทาย
อี้จื่ออียิ้มแล้วกล่าว “นักพรตหลิน ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ?”
หลินอวิ๋นพยักหน้าก่อนถาม “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
อี้จื่ออีตอบ “ตามคำสั่งของไป๋เจ๋อจวิน พวกเรากำลังคุ้มกันค่ายกลเซียนอยู่”
หลินอวิ๋นเอ่ย “ค่ายกลเซียนของไป๋เจ๋อจวินนี้วางมาสองวันแล้วหรือ? การต่อสู้ครั้งใหญ่เช่นนี้...พวกเขา้าจับอะไร?”
อี้จื่ออียักไหล่ “ข้าไม่รู้...เพียงแค่บอกให้เราคุ้มกันค่ายกลเท่านั้น” เขาเหลือบมองไปที่เงาดำในค่ายกลเล็กๆ ของไป๋เจ๋อจวินตรงนั้นอีกครั้ง คาดเดาว่าเป็ ‘ิญญาร้าย’
หลินอวิ๋นทำได้เพียงผงกศีรษะ เขาจมดิ่งลงก้นบึ้งหัวใจ รู้สึกราวกับว่าตนเองได้ัักับกุญแจสำคัญเื้ัเื่ราวทั้งหมด
อีกด้านหนึ่ง ไป๋เจ๋อจวินและคนอื่นๆ มองไปยังิญญาชั่วร้ายที่กำลังดิ้นรนอย่างสุดชีวิต “ระดับไม่สูง จิติญญาและสติปัญญายังไม่พัฒนา” มีคนแสดงความคิดเห็น
“หากจิติญญากับสติปัญญายังไม่พัฒนา...จะถามอะไรก็ถามไม่ได้...” สวี่ฮ่วนเจ๋อกล่าว
“สุดท้ายแล้วมันถูกนำมาโดยพลังหยิน หรือว่า...” หนีอิ๋นเสวี่ยบีบคางของตนเองอย่างครุ่นคิด
หลินอวิ๋นกำลังระบุตัวบุคคลอยู่ หลังจากไป๋เจ๋อจวินและคนอื่นๆ ทำการตรวจสอบแล้วไม่พบอะไร หนีอิ๋นเสวี่ยถามแทรกขึ้นมา “จะจัดการกับ ‘สิ่งนี้’ อย่างไร? หรือว่าจะจับมาเหมือนคราวก่อน? ไม่สู้ทำลายมันไปให้สิ้นซากเสีย”
ไป๋เจ๋อจวินฉวีซูไม่ตอบอะไร
หนีรั่วหลีกระแอมไอแล้วเอ่ยอย่างตำหนิ “นี่เป็การจัดการของไป๋เจ๋อจวินเอง เหตุใดเ้าต้องปากมากเช่นนี้?”
หลังจากนั้นไม่นาน ไป๋เจ๋อจวินกล่าวเพียง “จับมันขังไว้ก่อน...ยังต้องคิดถึงเื่นี้ในระยะยาว”
ทุกคนรีบตอบรับ “ขอรับ”
ผลลัพธ์คือเมื่อศิษย์ทั้งสิบสองคนเก็บค่ายกล มีหนึ่งคนช้าไปหนึ่งก้าว ค่ายกลเล็กที่โอบล้อมิญญาร้ายพลันมีช่องโหว่ ิญญาชั่วร้ายที่ดิ้นพล่านอยู่ในค่ายกลเป็เวลานานกรีดร้อง กระโจนเข้าใส่ศิษย์ตัวน้อยผู้นั้นที่ถูกทำให้ตะลึงจนร่างแข็งทื่อเป็ท่อนไม้
ก่อนที่ทุกคนจะร้องออกมาด้วยความใ ิญญาชั่วร้ายตนนั้นถูกแส้แห่งแสงฟาดใส่อย่างโเี้ มันกรีดร้องแล้วพุ่งไปด้านข้าง
ไป๋เจ๋อจวินรวบนิ้วทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างไม่เร่งรีบ แส้สีเหลืองสว่างไสวปรากฏขึ้นจากปลายนิ้ว จากนั้นสั่นไหวแ่เบา แส้แห่งแสงดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา ราวกับสายฟ้าลงทัณฑ์จาก์เชือดเฉือนมาที่ร่างของิญญาชั่วร้าย
หลินอวิ๋นตกตะลึงไปชั่วครู่ ไม่เสียทีที่เป็การบ่มเพาะของปราณพิสุทธิ์ขั้นปลาย ทุกคนต่างชื่นชมคล้ายประจบสอพลอ นอกจากหนีรั่วหลีที่เม้มริมฝีปากกับหนีอิ๋นเสวี่ยผู้นั้น...หลินอวิ๋นเห็นกับตาว่ากำลังกลอกตาอยู่
จากการเคลื่อนไหวแส้แห่งแสงของไป๋เจ๋อจวิน ิญญาร้ายตนนั้นที่กำลังกรีดร้องอยู่พลันมีควันสีฟ้าปะทุขึ้นจากร่าง แม้แต่เสื้อผ้าบนร่างยังก็ถูกแผดเผา เผยให้เห็นรูทุกขนาด ทันใดนั้น ไป๋เจ๋อจวินชะงักไปทั้งร่าง แส้แห่งแสงในมือนิ่งค้าง ก่อนจะฟาดไปที่ร่างของิญญาร้ายตนนั้นอย่างแรง สุดท้ายแล้วหลังจากฉีกเสื้อผ้ามันออกครึ่งหนึ่ง กลับเผยให้เห็นเครื่องหมายสีแดงสดบนไหล่ของิญญาร้ายตนนั้น
หลินอวิ๋นขมวดคิ้วทันที
“นี่มัน!!!” นักพรตผู้หนึ่งที่อยู่ข้างกายเขาะโออกมาด้วยความประหลาดใจ ทุกคนตกตะลึงเช่นเดียวกัน ต่างจ้องมองไปที่เครื่องหมายร่างแข็งทื่อ
ผ่านไปเป็เวลานานที่บริเวณใจกลางของค่ายกล นอกจากเสียงร้องโหยหวนด้วยความเ็ปของิญญาร้ายแล้วกลับไม่มีใครส่งเสียงใด
นักพรตธรรมดาที่อยู่รอบนอกซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลเล็กน้อยจึงไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าภายในเกิดอะไรขึ้น ต่างพูดคุยกันด้วยความสงสัย “เป็อะไรไป? เกิดอะไรขึ้น?”
“์!” อี้จื่ออีที่อยู่ด้านข้างหลินอวิ๋นมองไป เขาได้แต่อ้าปากค้าง
ยังมีศิษย์สำนักไท่ซื่อซานคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ข้างเขา หลังเห็นว่าอีกฝ่ายผิดแปลกไป จึงรีบเข้ามาห้อมล้อมแล้วถาม “ศิษย์พี่อี้ เกิดอะไรขึ้นหรือ? เกิดอะไรขึ้นกัน?”
“เหตุใดไป๋เจ๋อจวินและคนอื่นๆ ถึงมีสีหน้าเช่นนี้?”
อี้จื่ออีไม่ตอบ เขามีสีหน้าจริงจังขึ้นมา
หลังจากที่ผู้ยิ่งใหญ่ในสำนักเต๋าเ่าั้ตกตะลึงเป็เวลานาน ไป๋เจ๋อจวินฉวีซูกลับมามีสติก่อน เขาสั่งด้วยน้ำเสียงทุ้ม “จับไปขังก่อน”
“ขอรับ!” ได้ยินเช่นนี้แล้ว ศิษย์ทั้งสิบสองคนจึงบรรจุิญญาร้ายตนนั้นด้วยถุงกักอสูรปราบปีศาจไว้ชั่วคราว
หนึ่งคืนผ่านไป ข่าวการกลับมาจุติของฉิงชางจวินผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรโลกทำให้ชาวสำนักเต๋าในโซ่วหลิงต่างตกตะลึง แน่นอนว่ายังมีคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่ไม่เข้าใจ ทว่าเพียงชั่วข้ามคืนต่างค่อยๆ ทราบนามอันยิ่งใหญ่ของฉิงชางจวิน
ฉับพลัน อี้จื่ออีกลับกลายเป็คนเนื้อหอม
โรงเตี๊ยมที่เขาอาศัยอยู่มีผู้คนมากมาย แน่นอนว่าล้วนแล้วแต่เป็มิตรกับเขาในยามปกติ ทว่าผู้ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับเขาล้วนไม่สามารถเบียดเข้ามาเพื่อฟังการบรรยายเหตุการณ์ของเขาได้
------------------------
[1] ดวงดาวตี้ซิง หมายถึง ดาวหมีเล็ก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้