“คุณชายสาม นายท่านรออยู่ด้านใน” ชายวัยกลางคนเดินนำฉินอวี่มาหยุดอยู่หน้าประตูห้องหนังสือ
ฉินอวี่พยักหน้าเล็กน้อย และเดินเข้าไปด้วยท่าทางที่สงบ
ทันทีที่เดินเข้าไปในห้องหนังสือ ฉินอวี่ก็มองเห็นผู้เป็ “บิดา” ฉินจ้านกำลังนั่งอย่างเคร่งขรึมเฉียบขาดอยู่กลางห้องหนังสือ และจ้องเขม็งมาที่เขาอย่างเ็า
ฉินอวี่ยืนอยู่หน้าประตูและสบตากับฉินจ้าน โดยไม่พูดอะไร
“ขั้นยุทธ์ระดับที่หนึ่งแล้ว! หากไม่กดดันเ้าบ้าง เ้าก็ไม่รู้จักพัฒนาตัวเลยหรือ?” ฉินจ้านกล่าวอย่างเคร่งขรึม แฝงไปด้วยความน่าเกรงขามและเ็า
ฉินอวี่ไม่ได้ตอบอะไร ภาพของฉินจ้านที่เขามีจำกัดอยู่เพียงความทรงจำของฉินอวี่ ในความทรงจำของฉินอวี่มีความทรงจำเกี่ยวกับฉินจ้านผู้เป็พ่ออยู่น้อยมาก แต่นอกจากฉินเฟิงคนที่เขากลัวมากที่สุดก็คือฉินจ้านผู้เป็พ่อ
“อายุสิบห้าปีแล้ว ได้ขั้นยุทธ์ระดับหนึ่ง หากขยันหมั่นเพียรในตอนนี้ยังทันเวลา แต่หากไม่ขยันให้หนัก เ้าก็คงต้องเป็คนธรรมดาไปตลอดชีวิต และไม่แม้แต่จะรู้ว่าจะต้องตายเช่นไรเมื่อถึงเวลานั้น” ฉินจ้านพูดอย่างเคร่งขรึม
เมื่อเห็นท่าทางที่สงบของฉินอวี่ สายตาของฉินจ้านก็เปล่งประกายเล็กน้อย และพูดขึ้นเบาๆ “หากเ้าเข้าสู่ขันยุทธ์ระดับหนึ่งได้เร็วกว่านี้สักหนึ่งปี จะได้ส่งเ้าเข้ากองทัพเพื่อฝึกฝนกระดูกของเ้า บางทีเ้าอาจจะได้เข้าสู่การทดสอบอุปสรรคสองขั้นแรกไปแล้ว แต่ตอนนี้คงได้แต่รอ รอให้เ้าเข้าถึงขั้นยุทธ์ระดับห้าเสียก่อน ข้าจะพาเ้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง ที่นั่นเป็สำนักของแม่ของเ้า! แต่เ้ามีเวลาเพียงสามปีเท่านั้น ภายในสามปีหากยังเข้าถึงขั้นยุทธ์ระดับห้าไม่ได้ เ้าก็คงต้องอยู่ที่นี่ อยู่ในแคว้นอู่ตลอดไป”
“สำนักของท่านแม่?” ฉินอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่าตระกูลฉินไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เขาเห็น และแม่ของเขาก็ดูเหมือนจะไม่ใช่สาวใช้อย่างที่คนอื่นพูด
ฉินจ้านมองดูฉินอวี่ ระหว่างคิ้วของเขาย่นลงอย่างสงสัย เขาให้ความสนใจกับบุตรชายคนที่สามอย่างฉินอวี่อยู่ครู่หนึ่ง โดยปกติแล้ว หากต้องเผชิญหน้ากับตนเองเขาจะต้องตัวสั่นเทาไปแล้ว แต่ในครั้งนี้ สีหน้ากลับไม่เปลี่ยนแปลง และยังมีท่าทางที่สงบด้วย
หรือว่า... เขาจะโตขึ้นแล้วจริงๆ?
ในตอนนี้ ฉินจ้านก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาในทันที
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเ้าไม่นึกถึงเื่ของแม่เ้าเลยหรือ?” ฉินจ้านกล่าว
ฉินอวี่ตกตะลึง เงาร่างอันสง่างามร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา ความประทับใจที่ลึกซึ้งที่สุดคือดวงตาที่แสนอ่อนโยนคู่นั้น
“ท่านแม่...” ฉินอวี่พึมพำ
อาจจะเป็เพราะผลกระทบจากความทรงจำของฉินอวี่ ในใจของฉินอวี่จึงค่อยๆ เ็ปขึ้นเล็กน้อย ในอดีตเขาเป็เด็กกำพร้าที่ไม่มีความทรงจำที่เกี่ยวกับพ่อแม่เลยแม้แต่น้อย และในตอนนี้เมื่อได้ยินถึงเื่ของผู้เป็แม่ และดวงตาแสนอ่อนโยนคู่นั้นที่หวนนึกถึง ความสงบของฉินอวี่ก็เหมือนถูกโยนก้อนกรวดก้อนหนึ่งลงมา จนเกิดระลอกคลื่น
“ช่างมันเถอะ มีบางเื่ที่รอให้เ้าฝึกฝนได้สำเร็จ เ้าก็จะรู้ได้เอง ไปเถอะ” ฉินจ้านพูดอย่างเคร่งขรึม และในตอนนี้ เขาดูเหมือนจะแก่ลงไปไม่น้อย
ฉินอวี่เหลือบมองไปที่ฉินจ้าน ก่อนหันหลังกลับออกไป
เมื่อฉินอวี่ก้าวออกจากธรณีประตูไป เสียงของฉินจ้านก็ดังขึ้น “เดี๋ยวก่อน”
“นี่เป็ของที่แม่ของเ้าทิ้งไว้ ถ้าเ้าสามารถสำเร็จได้ก่อนจะเข้าร่วมการชุมนุม บางทีอาจจะได้ไปสำนักแม่ของเ้าก่อนก็ได้” ฉินจ้านกล่าวช้าๆ
ฉินอวี่หยุดครู่หนึ่งก่อนหันกลับมา แต่กลับเห็นแผ่นไม้ไผ่ลอยเคว้งอยู่ข้างหน้าตนเอง ฉินอวี่เหลือบมองไปที่ฉินจ้านด้วยความประหลาดใจ ของที่ลอยอยู่ได้เช่นนี้ ขั้นต่ำสุดก็มีเพียงคนขั้นปราณเสถียรเท่านั้นที่สามารถทำได้ แม้แต่คนระดับขั้นยุทธ์ระดับเก้าอย่างฉินจ้านก็ไม่สามารถทำได้ นอกเสียจากฉินจ้านจะปกปิดพลังเอาไว้ ซึ่งแม้แต่ตนเองก็ไม่เคยพบเจอมาก่อน
เมื่อจ้องมองไปที่แผ่นไม้ไผ่ เขาพบว่ามีตัวอักษรเล็กๆ ถูกแกะสลักอย่างหนาแน่นเรียงอยู่บนชิ้นไม้ไผ่ แต่เมื่อมองเห็นอักขระห้าตัวบนแผ่นไม้ไผ่ ฉินอวี่ก็เหมือนถูกฟ้าผ่า
“วิชายุทธ์ว่านจ้ง (ชุดที่หนึ่ง)”
“ความแข็งแกร่งสามารถทำลายูเาได้ หากพลังถูกสะสมได้ครบทั้งหมื่นระดับ จะสามารถทำลายฟ้าสังหารจักรพรรดิได้...”
คำพูดและคำที่คุ้นเคยอย่างไม่รู้จะคุ้นเคยอย่างไรอีก ทำให้ฉินอวี่ตกอยู่ในภวังค์ และหวนคืนสู่คืนนั้นเมื่อหลายปีก่อน...
นี่คือว่านจ้ง! นี่คือวิชายุทธ์ว่านจ้งที่ตนเองเป็คนสร้างขึ้น
มันต้องใช่แน่ๆ ไม่ผิดอย่างแน่นอน!
หากจะพูดถึงหัวข้อบรรยายของกลิญญาอื่นอาจเป็ไปได้ที่จะมีความคล้ายกันโดยบังเอิญ แต่สำหรับวิชายุทธ์ว่านจ้งนี้ ไม่ใช่เื่บังเอิญแน่นอน เป็เพราะคำพูดที่กล่าวไว้ว่า “ทำลายฟ้าสังหารจักรพรรดิ” นี่คือคำที่ฉินอวี่เป็ผู้คิดเปลี่ยนแปลงสร้างขึ้นมา
ในตอนที่สร้างวิชายุทธ์ว่านจ้งขึ้นมา เดิมแล้วฉินอวี่คิดจะใช้ทำลายฟ้าแยกผืนดิน แต่ด้วยความเืร้อนอย่างไม่มีสิ้นสุดของเขา เขารู้สึกว่าพลังของว่านจ้งสามารถสังหารจักรพรรดิได้ ดังนั้น เขาจึงเปลี่ยนจาก “ผืนดิน” เป็ “จักรพรรดิ” อย่างไม่รู้ตัว
หวังชิง?
ในความคิดของฉินอวี่ปรากฏภาพของคนร่างผอมบางคนหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เขามีใบหน้าที่เยาว์วัยแต่มากประสบการณ์
เขาชื่อว่า หวังชิง
เขาคือหนึ่งในเด็กสองคนที่เติบโตมากพร้อมกับฉินอวี่ หลังจากที่ฉินอวี่ได้รับพิษไปไม่นานนัก เขาได้สร้างวิชาลับลำดับที่สองออกมา นั่นก็คือวิชายุทธ์ว่านจ้งนี้ และมอบให้กับหวังชิง
“หวังชิงหรือ?”
หลังจากนั้น จู่ๆ ฉินอวี่ก็จำหนึ่งในบันทึกเกี่ยวกับสำนักยุทธ์ว่านจ้ง ในตำราเล่มหนึ่งที่เขาอ่านเจอในหอตำราของตระกูลฉินขึ้นมาได้
“สำนักยุทธ์ว่านจ้ง นับั้แ่ฟ้าดินแตกสลาย และเสี่ยตี้ได้รวมตัวฟ้าดินอีกครั้ง แดนซิงเฉินหนึ่งในสำนักระดับบนสุด ด้วยเหตุจากการสูญเสียวิชาเซียนของสำนัก จนค่อยๆ ตกต่ำลง จึงได้มาตั้งรกรากที่เขตแดนฟ้าชิงเหลียน”
“มีข่าวลือว่ามีม้วนภาพวาดลึกลับอยู่ในหอบรรพชนของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง... บนม้วนภาพมีรูปคนมองดูผืนดวงดาวอันกว้างใหญ่ บางคนกล่าวว่าคนผู้นี้เป็ภาพเหมือนตนเองของปฐมาจารย์หวังชิง และมีบางคนกล่าวกันว่าคนผู้นี้คือผู้ชี้ทางของท่านปฐมาจารย์...”
แต่ละคำพูดที่เกี่ยวข้องกับสำนักยุทธ์ว่านจ้งนั้น ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องในจิตใจของฉินอวี่
ฉินอวี่กำแผ่นไม้ไผ่แผ่นนั้นไว้แน่น และร่างกายของเขาก็สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
หวังชิง สำนักยุทธ์ว่านจ้ง!
ฉินอวี่ปิดตาแน่น หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความรู้สึกที่สับสนอย่างยิ่ง
อดีตศัตรูกลายเป็ปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ อดีตน้องสาวกลายเป็เสี่ยตี้ และอดีตเด็กชายกลายเป็ปฐมาจารย์...
และสิ่งเหล่านี้ ได้กลายเป็อดีตอันไกลแสนไกล ดูเหมือนว่าทุกสิ่งจะเป็เพียงความฝัน
ในขณะนี้ ฉินอวี่รู้สึกถึงความเหงาที่อธิบายไม่ถูก เขายังคงใอยู่กับอดีตของตนเอง แต่เขาไม่อยากที่จะกลับชาติมาเกิดอย่างลึกลับน่าแปลกใจเช่นนี้
และทั้งหมดนี้ ราวกับว่ามีมือใหญ่ที่มองไม่เห็นกำลังควบคุมมัน มารดาที่กลับชาติมาเกิดคือคนของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง และวิชายุทธ์ที่ตนเองเป็ผู้สร้าง ก็ยังกลับมาตกอยู่ในมือของตนเองหลังจากผ่านเวลามาหลายร้อยปี
ฉินจ้านกำลังนั่งมองด้วยความประหลาดใจ สีหน้าของฉินอวี่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ในสายตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
เขารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของฉินอวี่ และเขาสามารถััได้ถึงความใ ความโกรธ ความแค้น... และความเหงาจากการแสดงออกของลูกชายตนเอง
ในขณะนี้ ฉินจ้านก็ตระหนักว่าในฐานะผู้เป็พ่อ เขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับลูกชายที่ดูธรรมดาของเขาเลย
เป็เพราะตนเองไม่ใส่ใจลูกหรือ?
หรือว่า...
หลังจากนั้นไม่นาน
ฉินอวี่รู้สึกตัวกลับมา ความคิดภายในใจของเขาถูกระงับไว้ทั้งหมด เขาเหลือบมองไปที่ฉินจ้าน และพูดอย่างเรียบเฉย “ข้ารู้แล้ว” หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังกลับออกไป
กลับมาถึงที่พำนักก็เป็เวลาเย็น เสี่ยวเถาและเสี่ยวฮวาเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่ออยู่ที่ประตูลานเล็กๆ เมื่อเห็นร่างของฉินอวี่ ทั้งสองคนจึงรีบวิ่งเข้าไปทันที
“คุณชายสามไปไหนมา”
“คุณชายสาม...”
ฉินอวี่ชำเลืองมองทั้งสองคน และพูดอย่างใจเย็น “ในระยะเวลาครึ่งเดือนนี้ ไม่อนุญาตให้ใครก็ตามเข้าใกล้ที่พำนักของข้า ไม่ว่าจะเื่อะไร ให้รอจนกว่าข้าออกจากการฝึกค่อยว่ากันอีกครั้ง!” หลังจากพูดจบ ฉินอวี่ก็เดินเข้าห้องและปิดประตูทันที โดยไม่รอคำตอบของสาวใช้ทั้งสองคน
“นี่... สามคุณชายสามกำลังคิดจะทำอะไร?” เสี่ยวเถาและเสี่ยวฮวาหันมองหน้ากัน
“เสี่ยวเถา... ข้ารู้สึกกลัวนิดหน่อย คุณชายสามคงไม่ได้รับการกระตุ้นจริงๆ หรอกนะ... ได้ยินมาว่า... คนเช่นนี้น่ากลัวยิ่งนัก...”
ภายในห้อง
ฉินอวี่หยิบศิลาิญญาระดับล่างหนึ่งร้อยก้อนออกมาจากวงแหวนมิติ จากนั้นจึงวางรูปแบบค่ายกลอย่างง่ายไว้สองชุด ชุดแรกเป็ค่ายกลรวมิญญา อีกชุดหนึ่งคือค่ายกลป้องกัน ค่ายกลป้องกันนี้มีการป้องกันผลของเสียงและความร้อน แม้ว่าทั้งสองค่ายกลจะดูธรรมดาเรียบง่าย แต่นอกเหนือจากจะเป็ผู้ฝึกตนขั้นปราณเสถียรแล้ว ไม่ว่าเป็ผู้ฝึกตนขั้นยุทธ์ระดับใดก็ไม่สามารถจะทำลายมันได้
ในตอนที่อยู่ในหอตำราสำนักเทียนฉี ฉินอวี่อ่านหนังสือครอบคลุมทุกประเภท ตราบใดที่มีอยู่ในหอตำราเขาล้วนแต่จดจำได้เกือบทั้งหมดแล้ว ดังนั้น ค่ายกลเวทที่ดูเรียบง่ายทั้งสองชุดนี้ล้วนแต่เป็เื่ง่ายสำหรับเขา
หลังจากนั้น ฉินอวี่ก็หยิบกระถางสามขาขนาดใหญ่สีครามออกมาหนึ่งใบ ซึ่งกระถางสามขาขนาดใหญ่นี้เป็เตาปรุงยาที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด บนเตาปรุงยาสลักอักขระ์เอาไว้ เพลิงพิสุทธิ์ก็จะปรากฏออกมาทันทีเพียงถูกกระตุ้น
ต้องบอกเลยว่า เพื่อการปรับแต่งกระดูกในครั้งนี้ ฉินอวี่ต้องใช้เงินเป็จำนวนมาก แม้แต่น้ำที่ใช้ต้มวัตถุดิบก็ยังต้องใช้น้ำวารีิญญาระดับสูง
ขณะที่เติมวารีิญญาไปในเตาปรุงยา ฉินอวี่ได้เปิดการใช้งานของอักขระ์บนเตาปรุงยาด้วยพลังิญญาที่ส่องประกายอยู่ในศิลาิญญา จากนั้นเปลวไฟสีครามก็ห่อหุ้มไปทั่วทั้งเตาปรุงยา ไม่นานนัก วารีิญญาในเตาปรุงยาก็เดือนพล่านขึ้นมา
ฉินอวี่นำวัตถุดิบยาทั้งหมดออกมา และใส่ลงไปในเตาปรุงยาทีละอย่าง เพียงแต่ ยังมีวัตถุดิบยาอีกหลายอย่างที่ฉินอวี่ไม่ได้ใส่เข้าไป และเหตุผลที่เขาซื้อวัตถุดิบยาที่ไม่ได้ใช้มาด้วย ก็เพื่อสร้างความสับสนให้กับจื่อซวินเอ๋อ
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม
วัตถุดิบยาหลายชนิดก็ถูกต้มจนกลายเป็ส่วนผสมยาที่เหนียวหนืด
ฉินอวี่ยังไม่ได้เข้าไปในเตาปรุงยา ได้แต่นั่งรอเวลาต่อไป
หนึ่งชั่วยามต่อมา
หลังจากที่อุณหภูมิของส่วนผสมยาเดือดลดลงครึ่งหนึ่ง ฉินอวี่จึงเข้าไปนั่งในเตาปรุงยาด้วยอาการสงบนิ่ง
ขณะที่เขากำลังนั่งลง สีหน้าของฉินอวี่ก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เืบนใบหน้าของเขาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว และถูกแทนที่ด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว
พลังโอสถที่พลุ่งพล่านได้ถ่ายเข้าไปทั่วร่างกายผ่านทุกรูขุมขนราวกับงูแห่งจิติญญา สร้างความเ็ปที่รุนแรงราวกับลูกธนูนับหมื่นแทงทะลุหัวใจ
ฉินอวี่กัดฟันแน่น เหงื่อไหลออกจากหน้าผากอย่างไม่ขาดสาย ยาน้ำที่เย็นอยู่แต่เดิมกลับเดือดพล่านดั่งกำลังถูกต้มในน้ำร้อน...