มีคนได้ยินเสียงนั้นก็เอ่ยเสริม “น้องจื่อเยี่ย รีบไปพักเถิด พวกเราคงยังไม่แยกย้ายตอนนี้หรอก”
“นั่นสิ สร่างเมาแล้ว อีกเดี๋ยวค่อยมาดื่มต่อ”
“ข้าคิดว่าเหล้าหงซูอร่อยกว่า หวานหยาดเยิ้ม ไม่แผดเผาลำคอ ไม่เหมือนกับเหล้าล้มลา แค่ดมกลิ่นเหล้าก็เวียนศีรษะแล้ว”
“น้องสิบเอ็ด อย่ากลัวไป หากเ้าหมอนี่สติไปจริง พี่จะรับเ้าไว้เอง รับรองว่าไม่ให้เ้าล้มกองกับพื้น”
......
หลังจากเย้าแหย่สองสามคำ ก็หันไปพูดเื่อื่นกันต่อ
จิ้นเซี่ยวพยุงเ้านายของเขา แล้วค่อยๆ เดินไปที่พลับพลาที่อยู่ลึกสุดในดงต้นเหมย นายน้อยชื่นชอบความสงบ จึงเลือกเรือนที่อยู่ไกลหน่อยซึ่งทำให้เขาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
ระหว่างทางนั้นมีสาวใช้แปลกหน้ามาตามหา “จิ้นเซี่ยว จิ้นจงส่งข้ามาตามหาเ้า เขาบอกว่ามีเื่ด่วน ให้เ้าไปหาเขาที่ด้านหน้า”
จิ้นเซี่ยวมองไปยังใบหน้าของซูจื่อเยี่ยที่เริ่มซีดขาว ชัดว่าเหล้าล้มลากำลังออกฤทธิ์ เขาจึงไม่วางใจที่จะปล่อยให้นายน้อยของตนเองอยู่ในดงดอกเหมยตามลำพัง
“เหตุใดเขาจึงไม่มาหาข้าที่นี่ ข้าจะมีเวลาว่างไปด้านหน้าได้อย่างไร”
สาวใช้กล่าวว่า “จิ้นจงรู้ว่าเ้าจะพูดเช่นนี้ เขาส่งคนมาบอกว่าเขามีธุระ ปลีกตัวไม่ได้ ให้เ้ารีบไปโดยด่วน”
จิ้นเซี่ยวพยักหน้าตอบ “ข้ารู้แล้ว เ้าบอกกับเขาว่า รอข้าปรนนิบัตินายน้อยเสร็จ ก็จะไปหาเขาที่ด้านหน้า”
สาวใช้เตือนว่า “จิ้นเซี่ยว หรือไม่ก็ให้ข้าช่วยดูแลนายน้อยรองไปที่พลับพลาเถิด จิ้นจงเรียกเ้าไป แสดงว่าต้องมีเื่อะไรที่รอไม่ได้แน่นอน”
จิ้นเซี่ยวยังคงลังเลอยู่ ซูจื่อเยี่ยก็หันไปบอกเขา “ไปเถิด”
จิ้นเซี่ยวมองเข้าไปในดวงตาของเขาอย่างจริงจัง ดวงตาของเ้านายสว่างไสว ดูท่าว่าน่าจะมีสติแล้ว
“วางใจได้”
จิ้นเซี่ยวรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินดังนั้น นายน้อยของตนใช้กลอุบายเล็กๆ โดยถ่ายพลังของฤทธิ์เหล้าที่ดื่มเข้าไปออกมา
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้”
เขาส่งตัวซูจื่อเยี่ยที่มึนเมาให้กับสาวใช้แปลกหน้า จากนั้นก็รีบไปอย่างสบายใจ
อีกด้านหนึ่ง ชุดของจินเซียงอวี้นั้นเปียกเป็วงกว้าง ความเย็นชื้นนั้นทำให้รู้สึกไม่สบายตัว
ซูฮุ่ยหยาเห็นดังนั้นจึงบอกให้นางถอดกางเกงที่เพิ่งตัดมาใหม่ออก จากนั้นสาวใช้ติดตามของจินเซียงอวี้ก็กล่าวว่าได้นำกางเกงมาด้วยมากมาย และบอกว่าจะออกไปเอาที่รถม้า
“พี่เซียงอวี้ รีบถอดกางเกงออกมาแล้วนั่งใต้ผ้าห่ม”
จินเซียงอวี้เองก็ดื่มจนเกินตัว ในใจยังพะวงถึงซูจื่อเยี่ย “น้องฮุ่ยหยา เ้ารีบบอกให้คนเอาน้ำแกงสร่างเหล้าไปให้พี่เยี่ยดื่มเร็ว”
“ได้ ช่างเถิด ข้าไปเองดีกว่า” เมื่อนางเห็นว่าจินเซียงนั่งลงบนเตียงแล้ว สาวใช้ก็ห่มผ้าห่มให้นางอย่างดี
“พวกเ้าออกไปเฝ้านอกประตู ให้พี่เซียงอวี้นอนสักพักให้หายเมา อย่าได้จากไป มิฉะนั้นข้าจะตีขาพวกเ้าให้หัก”
สาวใช้ก้มศีรษะตอบรับ จากนั้นซูฮุ่ยหยาก็ลุกขึ้นแล้วจากไป และแอบเผยรอยยิ้มที่เป็ไปตามแผนลับหลังจินเซียงอวี้
ชื่อเสียงที่ไม่ดี ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับนาง?
สิ่งที่นางต้องทำคือฉุดซูจื่อเยี่ยลงจากหลังม้า อย่าให้เขาแบ่งทรัพย์สมบัติของจวนอ๋องไปหมด
ในเวลาต่อมา มีชายหนุ่มสวมชุดผ้าไหมจิ่นสีฟ้าคราม รูปร่างสูงโปร่ง ผมดำขลับประดับด้วยกว้านสีทองปักลายเมฆมายังพลับพลาดอกเหมย และวางมาดเปลือกนอกแบบฉบับของคุณชายผู้สง่างาม เพียงแต่หากดูให้ละเอียดจะเห็นว่าแววตาของเขานั้นซ่อนความชั่วร้ายไว้ด้วย
เอี๊ยด!
ประตูไม้เคลือบสีแดงถูกผลักเบาๆ โดยผู้มาเยือน กลิ่นหอมจางๆ แผ่ออกมาจากในห้อง ทำให้ผู้มาเยือนสูดดม ในแววตาเผยความได้ใจ
“คุณหนูตัวเป่า?”
ซูจื่อหงเคยหมั้นหมายก่อนหน้านี้ เพียงแต่ว่าคู่หมั้นยังไม่ทันได้ออกเรือนมา ตระกูลบิดาของนางก็ก่อปัญหา ทั้งครอบครัวจึงถูกเนรเทศไป เื่หมั้นหมายนี้จึงล่มไปก่อน
ดังนั้นเขากับเสด็จแม่ของเขาจึงพึงใจบุตรสาวในรองเสนาบดีกรมคลัง ซึ่งหน้าที่รับผิดชอบของรองเสนาบดีกรมคลังคือดูแลคลังหลวงของราชวงศ์โจว
ที่ซูจื่อหงเล็งเห็นคือกระเป๋าเงินของคนอื่น หาใช่บุตรสาวคนอื่นไม่ เพราะนี่คือกระเป๋าเงินที่ใหญ่ที่สุดในราชวงศ์โจว
เมื่อเขาผลักประตูเข้าไป ก็พบว่าตนเองเหมือนจะเข้าห้องผิด แต่เขาไม่ได้กลับออกไปทันที เพียงแต่จดจ้องหญิงสาวบอบบางที่อยู่หลังม่าน ไม่รู้เพราะเหตุใด ใบหน้าเด็กสาวที่แดงระเรื่อนั้นช่างท้าทายสติสัมปชัญญะของเขาเหลือเกิน
ภายในห้องนั้นเงียบสงัด ดูเหมือนเด็กสาวจะร้อน และได้ยินเสียงของนางบ่นพึมพำ
เสียงหายใจของซูจื่อหงถี่และแรงขึ้น เท้าสองข้างไม่อาจควบคุมได้ หรือบางทีเขาไม่อยากจากไปอยู่แล้ว จึงหันหลังไปปิดประตูแน่น แววตาจดจ้องเด็กสาวที่อยู่บนเตียง
จินเซียงอวี้ที่อยู่บนเตียงเวียนหัวอย่างหนัก และรู้สึกเพียงความอึดอัด
เมื่อสังเกตได้ว่ามีอะไรยืนอยู่ข้างเตียง นางจึงเค้นเสียงถาม “ใคร!”
ซูจื่อหงใจเต้น ในที่สุดเขาก็ขยับ
“ฮ่าๆ จินเซียงอวี้ ที่แท้เ้าก็อยู่ที่นี่หรือ?” ซูจื่อหงชอบสาวน้อยพริกขี้หนูคนนี้เหลือเกิน แต่ทำอย่างไรได้ เสด็จแม่ของเขากลับชื่นชอบบุตรสาวแห่งรองเสนาบดีกรมคลังที่กระเป๋าเงินหนัก
โอกาสอยู่ตรงหน้า ใครไม่กินก็โง่สิ!
“ซูจื่อหง รีบไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นข้าจะใช้แส้ลงทัณฑ์เ้า” ขณะนี้จินเซียงอวี้ใเล็กน้อย
แต่เพียงแค่เสี้ยวความคิดเท่านั้น
สมองของซูจื่อหงกำลังแผดเผาด้วยความร้อน ความทะเยอทะยานเื่การหมั้นหมายบ้าบอเ่าั้เขาทิ้งไปอีกทาง
ซูจื่อหงกำลังบ้าคลั่ง
อีกด้านหนึ่ง ซูฮุ่ยหยาไปที่ห้องครัวและนําน้ำแกงสร่างเหล้ามาให้ทุกคนเองกับมือ “เอ๋ พี่รองข้าล่ะ?”
มีคนบอกนางว่า ซูจื่อเยี่ยเมามากเกินไปและถูกพาไปพักที่พลับพลาในส่วนลึกสุดของดงดอกเหมยแล้ว
“โอ้ พวกเ้าแย่มาก ทั้งที่รู้ว่าพี่รองข้าไม่มีทางปล่อยให้พี่เซียงอวี้แพ้จริงๆ จึงจงใจดื่มมากกว่า เหตุใดพวกเ้าไม่ดูแลพี่รองข้าให้ดี สนใจแต่การดื่มของตนเอง”
แม้ว่าซูฮุ่ยหยาจะบ่น แต่ในสายตาของทุกคนนั่นคือการออดอ้อนที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจนัก
“นี่ น้องฮุ่ยหยาอย่าได้โกรธไป พี่ขอโทษ ข้าว่าพวกเราเองก็ดื่มกันพอประมาณแล้ว หรือไม่ก็ชนน้ำแกงสร่างเหล้า จากนั้นค่อยไปก่อกวนพี่จื่อเยี่ย เ้าว่าดีหรือไม่?”
“ก็ดี ข้าเองก็อยากไปชมดอกเหมยที่ดงดอกเหมยเช่นกัน”
“ข้าจะวาดรูปค้นหาเหล้าดอกเหมย”
“ตกลง เราจะไปขุดออกมา แล้วดื่มต่อกันอีก”
ดวงตาของซูฮุ่ยหยาเปล่งประกายแวววาว เหยื่อติดกับแล้ว ไม่รู้ว่าพี่รองแสนดีของนางหากได้รับความช่วยเหลือจากคนกลุ่มใหญ่แบบนี้ จะโมโหจนทุบทำลายบ้านหรือไม่?
องค์หญิงต่างแดนในราชวงศ์โจวของพวกนางเพียงแค่มีเกียรติโดยผิวเผิน แต่ไม่มีกำลังอำนาจแม้แต่น้อย
ดังนั้นเมื่อฮ่องเต้มีราชโองการหมั้นหมาย ก็มักจะยกองค์หญิงต่างแดนให้แก่บัณฑิตในตระกูลสูงศักดิ์เพื่อเป็ภรรยาเอก เพราะว่าราชนิกูลโบราณนั้นหัวแข็ง และดูแคลนคนต่างแดน รู้สึกว่าพวกเขาเป็คนป่าเถื่อนที่ไม่มีอารยธรรม
ส่วนตระกูลที่สร้างความดีความชอบหรือเป็เชื้อพระวงศ์ ไม่มีใครยินยอมรับหญิงต่างแดนเป็ภรรยา
นอกจากนี้ยังมีความลับที่รู้กันดีที่นี่ นั่นคือบนตัวของหญิงสาวต่างแดนมักมีกลิ่นสาบของแกะที่ล้างอย่างไรก็ล้างไม่ออก
ซูฮุ่ยหยาคำนวณไว้ทุกอย่าง แต่นางลืมคิดถึงพี่ชายของนางที่เป็คนแปลกประหลาด และมีรสนิยมผิดแปลกเป็พิเศษ
เหล่าองค์ชายองค์หญิงหัวเราะคิกคักและเดินผ่านดงดอกเหมยผืนใหญ่ โดยได้เดินตามรอยเท้ามายังที่พลับพลาแห่งหนึ่ง
“พี่รอง มาพักที่พลับพลานี้หรือ?”
ซูฮุ่ยหยามีท่าทีแปลกชอบกล จากนั้นริมฝีปากเล็กเอ่ยคำพูดออกมา ราวกับว่าตนเองพบเจอกับเื่ที่น่าอายบางอย่าง
เหล่าองค์ชายองค์หญิงต่างงงงวยและกําลังจะสอบถาม แต่พวกเขาได้ยินเสียงดังมาจากในพลับพลา
“คือว่า เราจะเข้าไปจริงหรือ?” มีองค์ชายคนหนึ่งที่มีวัยวุฒิเอ่ยขึ้นด้วยใบหูที่แดงระเรื่อ
“ไอ้บ้า!” เสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนนั้นดังมาจากภายในห้องอีกครั้ง
“แย่แล้ว เสียงจินเซียงอวี้นี่นา!” ใบหน้าของซูฮุ่ยหยาดูย่ำแย่ แล้วรีบเอ่ยกับสาวใช้ข้างกาย “อวี่ม่าน รีบไปเรียกคนใช้ชั้นล่างมา
อวี่ม่านรับคำสั่ง แล้วรีบวิ่งหน้าตื่นออกไป
ซูฮุ่ยหยายืนอยู่หน้าประตูพลับพลาและตัวสั่น แต่ในใจกลับยิ้มเยาะ ซูจื่อเยี่ย ถึงเ้าจะหูตาเยอะเพียงใด แต่ก็ยากที่จะก้าวข้ามกลอุบายสาวงามได้
บรรดาคนใช้หญิงมากันอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งเชือก
“ทุบประตูเดี๋ยวนี้”
ซูฮุ่ยหยาที่เบื้องหน้าเหมือนโกรธอาย สั่งให้คนรับใช้เ่าั้กระแทกประตูอย่างแรง โดยไม่ปล่อยให้คนอื่นได้พินิจก่อน
อวี่ม่านแอบส่งสายตาให้อวี่เหลียน ทั้งสองไปยืนด้านหลังซูฮุ่ยหยาอย่างรวดเร็ว
อวี่ม่านกระซิบรายงาน “จวิ้นจู่ หญิงรับใช้เห็นนายน้อยรองเข้าไปกับตา”
ซูฮุ่ยหยาเผยแววตาที่ยิ้มอย่างมีชัยและปิดบังไม่อยู่
“ท่านย่ามันสิ ใครใช้ให้พวกเ้าเข้ามา ยังไม่รีบไสหัวออกไปอีก!” ทันใดนั้นเสียงผู้ชายที่อยู่ในห้องก็ดังขึ้น
บรรดาคนใช้เดาว่าคงเป็เื่น่าอายของซูจื่อเยี่ย ซูฮุ่ยหยาจึงเงยหน้าขึ้นด้วยความดีใจ อยากจะพุ่งเข้าไปดูด้านใน
“เกิดอะไรขึ้น? เราเข้าไปดูข้างในกันดีกว่า”
หนึ่งในองค์ชายที่ตามมาไม่กลัวว่าเื่ราวจะบานปลาย ชิงเข้าไปดูก่อนซูฮุ่ยหยา
“กรี๊ด อูอวิ๋น อูหลัน!” มีเสียงกรีดร้องที่ตื่นตระหนกของจินเซียงอวี้ดังขึ้น
สาวใช้สองคนของนางไม่ปรากฏตัวออกมา
ผู้คนที่ยืนอยู่หน้าห้องตกตะลึง ในแววตามีความสุขบนความทุกข์คนอื่น คนกลุ่มใหญ่รวมตัวกัน แล้วดันแกล้งหาเื่ออกมาคนเดียว เกิดเื่ขึ้นแล้วจะโทษใครได้!
ดวงตาของอวี่เหลียนเบิกออกกว้าง คนนอกนึกว่านางใ แต่กลับไม่รู้ว่า เมื่อครู่นางเหมือนได้ยินเสียงคุณชายซื่อจื่อของตนเอง
“จวิ้น จวิ้น จวิ้นจู่!”
ซูฮุ่ยหยาขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดโดยไม่หันมามอง “มาเร็ว”
อย่าให้ซูจื่อเยี่ยหนีไปได้ เื่นี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องโยนความผิดให้เขารับผิดชอบให้ได้
ฝูงชนรีบเข้าไปในบ้าน ทุกคนตะลึงอีกครั้ง
“ข้าคิดว่าเราควรกลับไปที่วังก่อน ไม่อย่างนั้น...” องค์หญิงสิบสองรู้สึกกลัวเล็กน้อย พวกนางแอบออกจากวังมาเที่ยวเล่น เมื่อเห็นว่าประตูวังใกล้จะปิดแล้ว อีกอย่างตอนนี้ในจวนอ๋องผิงกำลังมีเื่ราววุ่นวาย
องค์ชายหกตอบ “เื่นี้ต้องทูลรายงานให้เสด็จพ่อ”
-----