ณ เรือนหลิงฉวน เสียงนกร้องไพเราะ กลิ่นหอมดอกไม้อบอวล
ว่ากันว่าสถานที่แห่งนี้เป็ที่พำนักระดับสูงสุดในจวนเ้าเมืองแล้ว มีเพียงแขกพิเศษของเกาะสามเซียนถึงจะพักที่นี่ได้
ตรงข้างสระน้ำ ตอนนี้ฉินตงหวู่เปลี่ยนมาแต่งกายด้วยชุดที่สะอาดสะอ้านงดงาม บุคลิกสง่างามขึ้นมาอีกหลายส่วน
กลับกันเสี่ยวจิ่วกับเสี่ยวเนี่ยนมิได้สนใจอะไรมากนัก พวกเขากินขนมอบกับอาหารรสเลิศที่คนรับใช้ส่งมาลงท้องไปทั้งหมด ต่อให้กินไม่ไหวแล้วก็ยังเก็บใส่ถุงเก็บของ ถึงอย่างไรก็มิอาจปล่อยให้กินอาหารอย่างทิ้งขว้างได้
จั๋วอวิ๋นเซียนนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น เขากำลังพลิกอ่านตำราในมือ…มันคือตำราเกี่ยวกับภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ของทะเลล่วนซิง เนื้อหามีไม่มาก แต่จั๋วอวิ๋นเซียนกลับอ่านมันอย่างตั้งใจ
“นายน้อย…”
เมื่อได้ยินเสียงของฉินตงหวู่ จั๋วอวิ๋นเซียนกล่าวโดยมิได้เงยหน้ามอง “พี่ฉินอยากจะถามว่าทำไมข้าถึงทำเช่นนี้ใช่หรือไม่?”
“เ้าค่ะนายน้อย”
ฉินตงหวู่ตะลึงเล็กน้อย จากนั้นกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “ข้ารู้ว่านายน้อยมีความลับมากมาย แต่ยิ่งเป็เช่นนี้พวกเรายิ่งต้องหาที่ซ่อนมิใช่หรือ”
จั๋วอวิ๋นเซียนถามกลับไปประโยคหนึ่ง “เช่นนั้นคิดว่าพวกเราจะซ่อนได้นานเท่าไร?”
“คือว่า…”
ฉินตงหวู่ครุ่นคิด ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร หนึ่งปี? สิบปี? หรือตลอดชีวิต? ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางซ่อนตัวได้ตลอดชีวิต!
จั๋วอวิ๋นเซียนวางตำราลงพลางถามกลับว่า “พี่ฉิน ท่านรู้หรือไม่ว่าสถานการณ์เช่นไรถึงจะเรียกว่าอันตรายอย่างแท้จริง?”
โดนล้อมรอบทิศ? ถูกหักหลัง? หมดสิ้นทางรอด?
ฉินตงหวู่ลองจินตนาการถึงสถานการณ์มากมาย แต่ยังไม่มั่นใจนัก “นายน้อยโปรดชี้แนะด้วย”
“ศัตรูทั่วสารทิศ ไร้ซึ่งพันธมิตร”
จั๋วอวิ๋นเซียนค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำ จากนั้นอธิบายว่า “ถ้าคนคนหนึ่งเป็ศัตรูกับผู้คนทั่วฟ้าดิน เช่นนั้นคงไม่มีจุดจบที่ดีแน่ กลับกันถ้าความลับมิใช่ความลับอีกต่อไป ก็จะไม่ถูกคนเพ่งเล็ง…อย่างเช่นเอาความลับของตัวเองแบ่งปันกับผู้คนจำนวนมาก หรือแม้กระทั่งประกาศให้ทุกคนรู้”
ตามความคิดของจั๋วอวิ๋นเซียน เทียบกับการหลบซ่อนในที่มืด อดทนอดกลั้น แบกรับความอัปยศ ไม่สู้ยืนในที่แจ้ง พัฒนาตัวเองและแข็งแกร่งขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย
“แน่นอนว่ามิอาจปฏิเสธได้ว่าในอดีตมีผู้แข็งแกร่งมากมายที่ฝืนท้าชะตาฟ้า จนลุกผงาดขึ้นมา…”
จั๋วอวิ๋นเซียนเว้นจังหวะเล็กน้อย จากนั้นกล่าวว่า “เพียงแต่ถึงอย่างไรคนเช่นนั้นก็มีน้อยมาก ข้าไม่คิดว่าตัวเองจะเป็วีรบุรุษแห่งยุคสมัยในตำนาน ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งอาจต้องตาย ดังนั้นข้าต้องคิดหาวิธีทำให้ตัวเองปลอดภัย มีชีวิตยืนยาวขึ้น มีเพียงทำเช่นนี้ข้าถึงจะสามารถมีเวลามากขึ้นเพื่อทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ”
สรุปได้เพียงคำเดียว หากอยากจะมีชีวิตที่ดีในทะเลล่วนซิง ก็ต้องหาที่พึ่ง
“……”
ฉินตงหวู่อ้าปากค้าง ตะลึงงัน นางเพิ่งเคยได้ยินคำพูดเช่นนี้เป็ครั้งแรก ถึงแม้จะมิได้น่าใ แต่กลับควรค่าให้เก็บไปคิด
เป็อย่างที่จั๋วอวิ๋นเซียนว่ามา ั้แ่อดีตจนถึงปัจจุบันมีกี่คนที่ตายไปพร้อมกับความลับ หรือตายไปเพื่อวิชาลับ หรือเพื่อสมบัติล้ำค่า
แต่ถึงจะรู้แล้วสามารถทำได้จริงหรือ? อย่างที่ทุกคนต่างอยากได้มรดกสืบทอดของสำนักเทียนกง แต่เมื่อได้รับแล้วกลับคิดจะเก็บไว้คนเดียว นิสัยหวงของเช่นนี้เป็เื่ธรรมดาของมนุษย์ไม่ว่ายุคสมัยไหน
เมื่อคิดได้เพียงเท่านี้ฉินตงหวู่ทนไม่ไหวจึงกล่าวเตือนว่า “นายน้อย เ้าเกาะทั้งสามของเกาะสามเซียนมิใช่คนดี พวกเขาเป็พวกเห็นแก่ผลประโยชน์”
“ข้ารู้ดี”
จั๋วอวิ๋นเซียนพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เ้าเกาะทั้งสามมิใช่คนดี หรือต้องบอกว่าทะเลล่วนซิงมิใช่สถานที่ของคนดีอยู่แล้ว ที่จริงทุกคนล้วนทำเพื่อผลประโยชน์ เพื่อความอยู่รอด เพราะเหตุนี้ พลังถึงจะเป็สิ่งที่สำคัญ และนี่ก็คือความยุติธรรมของทะเลล่วนซิง”
ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอ ผู้ที่ปรับตัวได้ถึงจะมีชีวิตรอด ผู้แข็งแกร่งเป็ใหญ่…ความอ่อนแอคือสิ่งผิดบาป
หลายปีมานี้ถึงแม้จั๋วอวิ๋นเซียนจะมิได้ออกไปไหน แต่เขาคอยเก็บข้อมูลของทะเลล่วนซิงอยู่ตลอด ตลอดเวลาสามปีเขาเข้าใจสถานการณ์ของทะเลล่วนซิงมากพอแล้ว เข้าใจขั้วอำนาจทุกฝ่าย รู้จักผู้นำและผู้แข็งแกร่งของทุกขั้วอำนาจ
และสาเหตุที่เขาเลือกเกาะสามเซียน เป็เพราะผ่านการตัดสินใจอย่างรอบคอบแล้ว มิได้ใช้อารมณ์ตัดสินใจ และมิใช่เพราะความหน้ามืดตามัว
เมื่อพูดถึงความแข็งแกร่ง ฉินตงหวู่รู้สึกละอายใจ “นายน้อยตัดสินใจเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราก็เหมือนเป็ภาระของท่าน เป็ตัวถ่วงของท่านมิใช่หรือ”
จั๋วอวิ๋นเซียนกล่าวอย่างเนิบช้า “ดังนั้นพวกเ้าต้องรีบพัฒนาตัวเอง ถึงจะสามารถช่วยเหลือข้าได้”
เมื่อฉินตงหวู่ได้ยินก็ยิ้มแห้งออกมา ทั้งที่รู้ว่านายน้อยเจตนาดี แต่คำพูดนี้ฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ
“ใช่แล้วพี่ฉิน ตราประทับของท่านฟื้นฟูได้กี่ส่วนแล้ว?”
เมื่อได้ยินคำถามของเขา ฉินตงหวู่เผยสีหน้ายินดี “นายน้อยท่านดูสิ ตราประทับของข้าฟื้นฟูกลับมาอย่างสมบูรณ์แล้ว อีกทั้งหลอมิญญาเก้ารอบอย่างสมบูรณ์ ถ้าผสานจิตได้ก็จะก้าวเข้าสู่เส้นทางบำเพ็ญเซียนอีกครั้ง”
เมื่อพูดจบหว่างคิ้วของฉินตงหวู่ก็ส่องแสง ตราประทับกวางตัวหนึ่งบินออกมา รอบกายของมันมีแสงิญญาเก้าสาย ส่องแสงเจ็ดสีออกมาจากภายใน
“กวางเจ็ดสีหรือ? ที่แท้เ้าก็เป็คนของตระกูลฉินแห่งต้าซ่ง!”
จั๋วอวิ๋นเซียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขามองฉินตงหวู่ั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้า เหมือนเพิ่งรู้จักอีกฝ่ายเป็ครั้งแรก
ตราประทับอื่นจั๋วอวิ๋นเซียนอาจไม่รู้จัก แต่ต้าซ่งกับต้าถังสองแคว้นทำากันเป็ระยะๆ ในฐานะที่เป็นายน้อยตระกูลวิถีเซียนแห่งต้าถังจะไม่รู้จักประวัติความเป็มาของ ‘กวางเจ็ดสี’ ได้อย่างไร…เพราะเป็ตราประทับของเทพาแห่งต้าซ่ง ฉินเซี้ยงหลงก็คือ ‘กวางเจ็ดสี’
ฉินตงหวู่กับฉินเซี้ยงหลงมีนามสกุลเดียวกัน ทั้งยังมีตราประทับเป็กวางเจ็ดสี เห็นได้ชัดว่าเป็คนตระกูลฉินแห่งต้าซ่ง
ตอนที่จั๋วอวิ๋นเซียนพบฉินตงหวู่ครั้งแรก เพราะหลังจากผ่านการสังหารหมู่มา เขารู้สึกสงสารจึงให้ฉินตงหวู่แม่ลูกกับเสี่ยวจิ่วติดตามข้างกาย ดังนั้นเขาไม่เคยสนใจสถานะของอีกฝ่าย แต่ตอนนี้ดูท่าเขาจะคิดง่ายเกินไปแล้ว
“ต้องขอบคุณเมตตาของนายน้อย! ถ้ามิใช่เพราะเพลิงหยางบริสุทธิ์ของนายน้อยขจัดพิษให้ข้า เกรงว่าข้ากับเสี่ยวเนี่ยนคงตายที่ท่าเรือหลงหยาไปนานแล้ว”
ฉินตงหวู่รู้สึกซาบซึ้งจึงคุกเข่าลง แต่นางกลับพบว่าตัวเองถูกพลังไร้ลักษณ์พยุงไว้ มิอาจคุกเข่าได้
“พี่ฉินมิจำเป็ต้องทำเช่นนี้…”
จั๋วอวิ๋นเซียนกล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ความจริงแล้วข้าช่วยพวกท่านเป็เพียงเื่เล็กน้อยเท่านั้น สามปีมานี้พวกท่านดูแลข้าอย่างดี จึงมิได้ติดค้างอะไรกับข้า ดังนั้นไม่จำเป็ต้องขอบคุณข้าเลย”
สำหรับอดีตของฉินตงหวู่ จั๋วอวิ๋นเซียนมิได้ถามไถ่ ถึงอย่างไรทุกคนต่างมีเื่ราวของตัวเอง ยิ่งรู้มากก็ยิ่งเกี่ยวข้องมาก อาจจะมิใช่เื่ที่ดีนัก
“นายน้อย ท่านไม่เข้าใจ…”
ฉินตงหวู่กล่าวด้วยความดื้อรั้น “ตอนนั้นข้าถูกตระกูลบังคับให้แต่งงาน แต่ข้าอยากหนีไปกับคนรัก ปิดบังชื่อแซ่ คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะตามมาถึงที่ สามีของข้าแลกชีวิตเพื่อปกป้องข้ากับเสี่ยวเนี่ยน และข้าก็ถูกคนวางยาพิษ ตราประทับโดนกัดกร่อน สูญเสียพลังไปหมดสิ้น”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้สายตาของฉินตงหวู่มีแต่ความโศกเศร้า
……
ณ เรือนหลิงฉวน เสียงนกร้องไพเราะ กลิ่นหอมดอกไม้อบอวล
ว่ากันว่าสถานที่แห่งนี้เป็ที่พำนักระดับสูงสุดในจวนเ้าเมืองแล้ว มีเพียงแขกพิเศษของเกาะสามเซียนถึงจะพักที่นี่ได้
ตรงข้างสระน้ำ ตอนนี้ฉินตงหวู่เปลี่ยนมาแต่งกายด้วยชุดที่สะอาดสะอ้านงดงาม บุคลิกสง่างามขึ้นมาอีกหลายส่วน
กลับกันเสี่ยวจิ่วกับเสี่ยวเนี่ยนมิได้สนใจอะไรมากนัก พวกเขากินขนมอบกับอาหารรสเลิศที่คนรับใช้ส่งมาลงท้องไปทั้งหมด ต่อให้กินไม่ไหวแล้วก็ยังเก็บใส่ถุงเก็บของ ถึงอย่างไรก็มิอาจปล่อยให้กินอาหารอย่างทิ้งขว้างได้
จั๋วอวิ๋นเซียนนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น เขากำลังพลิกอ่านตำราในมือ…มันคือตำราเกี่ยวกับภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ของทะเลล่วนซิง เนื้อหามีไม่มาก แต่จั๋วอวิ๋นเซียนกลับอ่านมันอย่างตั้งใจ
“นายน้อย…”
เมื่อได้ยินเสียงของฉินตงหวู่ จั๋วอวิ๋นเซียนกล่าวโดยมิได้เงยหน้ามอง “พี่ฉินอยากจะถามว่าทำไมข้าถึงทำเช่นนี้ใช่หรือไม่?”
“เ้าค่ะนายน้อย”
ฉินตงหวู่ตะลึงเล็กน้อย จากนั้นกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “ข้ารู้ว่านายน้อยมีความลับมากมาย แต่ยิ่งเป็เช่นนี้พวกเรายิ่งต้องหาที่ซ่อนมิใช่หรือ”
จั๋วอวิ๋นเซียนถามกลับไปประโยคหนึ่ง “เช่นนั้นคิดว่าพวกเราจะซ่อนได้นานเท่าไร?”
“คือว่า…”
ฉินตงหวู่ครุ่นคิด ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร หนึ่งปี? สิบปี? หรือตลอดชีวิต? ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางซ่อนตัวได้ตลอดชีวิต!
จั๋วอวิ๋นเซียนวางตำราลงพลางถามกลับว่า “พี่ฉิน ท่านรู้หรือไม่ว่าสถานการณ์เช่นไรถึงจะเรียกว่าอันตรายอย่างแท้จริง?”
โดนล้อมรอบทิศ? ถูกหักหลัง? หมดสิ้นทางรอด?
ฉินตงหวู่ลองจินตนาการถึงสถานการณ์มากมาย แต่ยังไม่มั่นใจนัก “นายน้อยโปรดชี้แนะด้วย”
“ศัตรูทั่วสารทิศ ไร้ซึ่งพันธมิตร”
จั๋วอวิ๋นเซียนค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำ จากนั้นอธิบายว่า “ถ้าคนคนหนึ่งเป็ศัตรูกับผู้คนทั่วฟ้าดิน เช่นนั้นคงไม่มีจุดจบที่ดีแน่ กลับกันถ้าความลับมิใช่ความลับอีกต่อไป ก็จะไม่ถูกคนเพ่งเล็ง…อย่างเช่นเอาความลับของตัวเองแบ่งปันกับผู้คนจำนวนมาก หรือแม้กระทั่งประกาศให้ทุกคนรู้”
ตามความคิดของจั๋วอวิ๋นเซียน เทียบกับการหลบซ่อนในที่มืด อดทนอดกลั้น แบกรับความอัปยศ ไม่สู้ยืนในที่แจ้ง พัฒนาตัวเองและแข็งแกร่งขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย
“แน่นอนว่ามิอาจปฏิเสธได้ว่าในอดีตมีผู้แข็งแกร่งมากมายที่ฝืนท้าชะตาฟ้า จนลุกผงาดขึ้นมา…”
จั๋วอวิ๋นเซียนเว้นจังหวะเล็กน้อย จากนั้นกล่าวว่า “เพียงแต่ถึงอย่างไรคนเช่นนั้นก็มีน้อยมาก ข้าไม่คิดว่าตัวเองจะเป็วีรบุรุษแห่งยุคสมัยในตำนาน ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งอาจต้องตาย ดังนั้นข้าต้องคิดหาวิธีทำให้ตัวเองปลอดภัย มีชีวิตยืนยาวขึ้น มีเพียงทำเช่นนี้ข้าถึงจะสามารถมีเวลามากขึ้นเพื่อทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ”
สรุปได้เพียงคำเดียว หากอยากจะมีชีวิตที่ดีในทะเลล่วนซิง ก็ต้องหาที่พึ่ง
“……”
ฉินตงหวู่อ้าปากค้าง ตะลึงงัน นางเพิ่งเคยได้ยินคำพูดเช่นนี้เป็ครั้งแรก ถึงแม้จะมิได้น่าใ แต่กลับควรค่าให้เก็บไปคิด
เป็อย่างที่จั๋วอวิ๋นเซียนว่ามา ั้แ่อดีตจนถึงปัจจุบันมีกี่คนที่ตายไปพร้อมกับความลับ หรือตายไปเพื่อวิชาลับ หรือเพื่อสมบัติล้ำค่า
แต่ถึงจะรู้แล้วสามารถทำได้จริงหรือ? อย่างที่ทุกคนต่างอยากได้มรดกสืบทอดของสำนักเทียนกง แต่เมื่อได้รับแล้วกลับคิดจะเก็บไว้คนเดียว นิสัยหวงของเช่นนี้เป็เื่ธรรมดาของมนุษย์ไม่ว่ายุคสมัยไหน
เมื่อคิดได้เพียงเท่านี้ฉินตงหวู่ทนไม่ไหวจึงกล่าวเตือนว่า “นายน้อย เ้าเกาะทั้งสามของเกาะสามเซียนมิใช่คนดี พวกเขาเป็พวกเห็นแก่ผลประโยชน์”
“ข้ารู้ดี”
จั๋วอวิ๋นเซียนพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เ้าเกาะทั้งสามมิใช่คนดี หรือต้องบอกว่าทะเลล่วนซิงมิใช่สถานที่ของคนดีอยู่แล้ว ที่จริงทุกคนล้วนทำเพื่อผลประโยชน์ เพื่อความอยู่รอด เพราะเหตุนี้ พลังถึงจะเป็สิ่งที่สำคัญ และนี่ก็คือความยุติธรรมของทะเลล่วนซิง”
ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอ ผู้ที่ปรับตัวได้ถึงจะมีชีวิตรอด ผู้แข็งแกร่งเป็ใหญ่…ความอ่อนแอคือสิ่งผิดบาป
หลายปีมานี้ถึงแม้จั๋วอวิ๋นเซียนจะมิได้ออกไปไหน แต่เขาคอยเก็บข้อมูลของทะเลล่วนซิงอยู่ตลอด ตลอดเวลาสามปีเขาเข้าใจสถานการณ์ของทะเลล่วนซิงมากพอแล้ว เข้าใจขั้วอำนาจทุกฝ่าย รู้จักผู้นำและผู้แข็งแกร่งของทุกขั้วอำนาจ
และสาเหตุที่เขาเลือกเกาะสามเซียน เป็เพราะผ่านการตัดสินใจอย่างรอบคอบแล้ว มิได้ใช้อารมณ์ตัดสินใจ และมิใช่เพราะความหน้ามืดตามัว
เมื่อพูดถึงความแข็งแกร่ง ฉินตงหวู่รู้สึกละอายใจ “นายน้อยตัดสินใจเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราก็เหมือนเป็ภาระของท่าน เป็ตัวถ่วงของท่านมิใช่หรือ”
จั๋วอวิ๋นเซียนกล่าวอย่างเนิบช้า “ดังนั้นพวกเ้าต้องรีบพัฒนาตัวเอง ถึงจะสามารถช่วยเหลือข้าได้”
เมื่อฉินตงหวู่ได้ยินก็ยิ้มแห้งออกมา ทั้งที่รู้ว่านายน้อยเจตนาดี แต่คำพูดนี้ฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ
“ใช่แล้วพี่ฉิน ตราประทับของท่านฟื้นฟูได้กี่ส่วนแล้ว?”
เมื่อได้ยินคำถามของเขา ฉินตงหวู่เผยสีหน้ายินดี “นายน้อยท่านดูสิ ตราประทับของข้าฟื้นฟูกลับมาอย่างสมบูรณ์แล้ว อีกทั้งหลอมิญญาเก้ารอบอย่างสมบูรณ์ ถ้าผสานจิตได้ก็จะก้าวเข้าสู่เส้นทางบำเพ็ญเซียนอีกครั้ง”
เมื่อพูดจบหว่างคิ้วของฉินตงหวู่ก็ส่องแสง ตราประทับกวางตัวหนึ่งบินออกมา รอบกายของมันมีแสงิญญาเก้าสาย ส่องแสงเจ็ดสีออกมาจากภายใน
“กวางเจ็ดสีหรือ? ที่แท้เ้าก็เป็คนของตระกูลฉินแห่งต้าซ่ง!”
จั๋วอวิ๋นเซียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขามองฉินตงหวู่ั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้า เหมือนเพิ่งรู้จักอีกฝ่ายเป็ครั้งแรก
ตราประทับอื่นจั๋วอวิ๋นเซียนอาจไม่รู้จัก แต่ต้าซ่งกับต้าถังสองแคว้นทำากันเป็ระยะๆ ในฐานะที่เป็นายน้อยตระกูลวิถีเซียนแห่งต้าถังจะไม่รู้จักประวัติความเป็มาของ ‘กวางเจ็ดสี’ ได้อย่างไร…เพราะเป็ตราประทับของเทพาแห่งต้าซ่ง ฉินเซี้ยงหลงก็คือ ‘กวางเจ็ดสี’
ฉินตงหวู่กับฉินเซี้ยงหลงมีนามสกุลเดียวกัน ทั้งยังมีตราประทับเป็กวางเจ็ดสี เห็นได้ชัดว่าเป็คนตระกูลฉินแห่งต้าซ่ง
ตอนที่จั๋วอวิ๋นเซียนพบฉินตงหวู่ครั้งแรก เพราะหลังจากผ่านการสังหารหมู่มา เขารู้สึกสงสารจึงให้ฉินตงหวู่แม่ลูกกับเสี่ยวจิ่วติดตามข้างกาย ดังนั้นเขาไม่เคยสนใจสถานะของอีกฝ่าย แต่ตอนนี้ดูท่าเขาจะคิดง่ายเกินไปแล้ว
“ต้องขอบคุณเมตตาของนายน้อย! ถ้ามิใช่เพราะเพลิงหยางบริสุทธิ์ของนายน้อยขจัดพิษให้ข้า เกรงว่าข้ากับเสี่ยวเนี่ยนคงตายที่ท่าเรือหลงหยาไปนานแล้ว”
ฉินตงหวู่รู้สึกซาบซึ้งจึงคุกเข่าลง แต่นางกลับพบว่าตัวเองถูกพลังไร้ลักษณ์พยุงไว้ มิอาจคุกเข่าได้
“พี่ฉินมิจำเป็ต้องทำเช่นนี้…”
จั๋วอวิ๋นเซียนกล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ความจริงแล้วข้าช่วยพวกท่านเป็เพียงเื่เล็กน้อยเท่านั้น สามปีมานี้พวกท่านดูแลข้าอย่างดี จึงมิได้ติดค้างอะไรกับข้า ดังนั้นไม่จำเป็ต้องขอบคุณข้าเลย”
สำหรับอดีตของฉินตงหวู่ จั๋วอวิ๋นเซียนมิได้ถามไถ่ ถึงอย่างไรทุกคนต่างมีเื่ราวของตัวเอง ยิ่งรู้มากก็ยิ่งเกี่ยวข้องมาก อาจจะมิใช่เื่ที่ดีนัก
“นายน้อย ท่านไม่เข้าใจ…”
ฉินตงหวู่กล่าวด้วยความดื้อรั้น “ตอนนั้นข้าถูกตระกูลบังคับให้แต่งงาน แต่ข้าอยากหนีไปกับคนรัก ปิดบังชื่อแซ่ คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะตามมาถึงที่ สามีของข้าแลกชีวิตเพื่อปกป้องข้ากับเสี่ยวเนี่ยน และข้าก็ถูกคนวางยาพิษ ตราประทับโดนกัดกร่อน สูญเสียพลังไปหมดสิ้น”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้สายตาของฉินตงหวู่มีแต่ความโศกเศร้า
