อวี๋เฟยลงมือทำเื่นี้ด้วยความระมัดระวังเป็อย่างยิ่ง นอกจากตัวนางเองและแม่นมหลี่แล้ว คาดว่ามีเป่ยเซวียนเฉิงเพียงคนเดียวที่รู้เื่นี้อย่างชัดแจ้ง
ส่วนหมอหลวงที่ให้นางใช้เซียงอ้ายเ่าั้เพื่อรักษาความเสถียรของชี่ [1] ระหว่างตั้งครรภ์ เดิมทีก็ไม่สามารถใช้เป็หลักฐานที่เป็รูปธรรมได้อยู่แล้ว ดังนั้นเป่ยเหลียนโม่จึงไม่ได้วางแผนลงมือกับพวกเขา
“หวังเฟยถูกใส่ร้าย ข้าคงไม่ต้องอธิบายความซับซ้อนในเื่นี้แล้วกระมัง เ้าเองก็รู้ดี เปิ่นหวังจึงอยากถามเ้าเพียงข้อเดียว เ้ายินดีคืนความยุติธรรมให้หวังเฟยหรือไม่”
แม่นมหลี่ลอบกัดฟัน ยามนี้ชิงผิงอ๋องยังถือว่าถามนางอย่างสุภาพ แต่เกรงว่าหลังจากนางเอ่ยคำปฏิเสธไปแล้ว เครื่องมือทรมานในห้องนี้จะต้องถูกทดลองกับร่างกายของนางเป็แน่
“ท่านอ๋อง บ่าวยังคงยืนยันคำเดิมเพคะ เื่นี้ฝ่าาทรงตัดสินแล้ว บางทีหากท่านอ๋องเสด็จไปร้องขอต่อฝ่าา พระองค์อาจจะเมตตาก็ได้นะเพคะ บ่าวเป็เพียงบ่าวไพร่ฐานะต่ำต้อยคนหนึ่ง ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรท่านอ๋องได้จริงๆ เพคะ”
เป่ยเหลียนโม่ไม่เดือดดาลเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น แม่นมหลี่ผู้นี้เป็ผู้ติดตามเดิมของอวี๋เฟย นางเข้าวังมาพร้อมกับอวี๋เฟยและปรนนิบัติรับใช้มาเป็เวลานานหลายปี หากจะกล่าวถึงความภักดี เกรงว่าในวังหลวงแห่งนี้คงมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเทียบเคียงนางได้
ทว่าทุกสิ่งล้วนมีข้อยกเว้น เขาเอ่ยถามว่า “เ้าไม่ยินยอมที่จะช่วยคืนความยุติธรรมให้หวังเฟยจริงๆ หรือ?”
“ไม่ใช่บ่าวไม่ยินยอม แต่บ่าวทำเช่นนั้นไม่ได้เพคะ” แม่นมหลี่ค้อมศีรษะลง “หวังเฟยและเหนียงเหนี่ยงของบ่าวมีความแค้นสะสมกันมานานแล้ว เื่นี้ท่านอ๋องก็ทรงทราบ ถึงแม้บ่าวจะร้องขอความเมตตาให้หวังเฟย แต่ฝ่าาอาจไม่ทรงเชื่อก็เป็ได้เพคะ”
เป่ยเหลียนโม่ไม่มีทางหาหลักฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้พบ แม่นมหลี่คิดมาดีแล้ว ขอเพียงนางทนผ่านคืนนี้ไปได้ เป่ยเหลียนโม่ก็จะทำอะไรนางไม่ได้แล้ว
นอกจากนี้ หากนางกลับไปด้วยาแทั่วทั้งร่าง และขอให้อวี๋เฟยช่วยแก้แค้นเขา แม้แต่เขาเองก็คงยากจะรักษาตัวให้ปลอดภัยเช่นกัน เพราะฉะนั้นหากโชคดีสักหน่อย นางก็ไม่จำเป็ต้องถูกทรมานด้วยเครื่องมือเหล่านี้เลย
ทว่าสิ่งที่นางคิดได้ แน่นอนว่าเป่ยเหลียนโม่ย่อมคิดได้เช่นเดียวกัน
หากให้นางกลับไปในสภาพสะบักสะบอม แน่นอนว่าจะเป็การเปิดโอกาสให้อวี๋เฟยแว้งกัดเขาได้อย่างไม่ต้องสงสัย
“เ้าเป็คนเก่าคนแก่ของวังหลวง ความประสงค์ของผู้เป็นายควรจะทำให้สำเร็จไม่ว่าจะต้องสูญเสียสิ่งใดไปบ้างก็ตาม เื่นี้เปิ่นหวังรู้” เป่ยเหลียนโม่ลูบไล้แหวนปานจื่อ [2] บนนิ้วมือเบาๆ และกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“แต่คนเราก็ต้องคิดถึงตัวเองด้วย และแม้จะไม่คิดถึงตัวเอง เช่นนั้นก็ต้องพิจารณาถึงญาติพี่น้องใกล้ตัวด้วย”
ชายหนุ่มหยิบลูกตะกร้อผ้าซึ่งมีขนาดเท่ากำปั้นออกมาจากแขนเสื้อ มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าเป็ของเล่นเด็ก ทว่าสิ่งนั้นกลับทำให้แม่นมหลี่หน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน
นั่นคือ....นั่นคือลูกตะกร้อผ้าที่นางเย็บให้หลานของนาง!
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตด้วย โปรดไว้ชีวิตหลานชายของบ่าวด้วยเถิด!”
นางโขกศีรษะเพียงสองครั้งก็ถูกประคองขึ้นมา องครักษ์เงายืนขนาบสองข้างของนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ราวกับกำลังยับยั้งไม่ให้นางทำร้ายตัวเองมากไปกว่านี้
“เปิ่นหวังไม่เคยกระทำสิ่งใดอันเป็การบีบบังคับผู้อื่น เื่สกปรกโสมมเช่นนี้ เปิ่นหวังเพียงอยากให้แม่นมคิดไตร่ตรองให้ชัดแจ้ง จะช่วยเสือฆ่าคน [3] หรือจะสำนึกตนให้ทันท่วงทีล้วนขึ้นอยู่กับความคิดของแม่นมแล้ว”
เื่นี้ไม่มีหลักฐานก็จริง ทว่ายามนี้แม้ไม่มีหลักฐานก็ไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะไม่มี หรือจะไม่มีไปตลอดกาล
แม่นมหลี่ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขาคือพยานบุคคลที่ดีที่สุด มีนางอยู่ก็เท่ากับมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้ และอวี๋เฟยก็ใส่ใจแม่นมผู้นี้มากอีกด้วย
องครักษ์เงาใต้บัญชาของเขาสืบเื่ราวเหล่านี้อยู่หลายวันจึงสามารถสืบพบว่าครอบครัวของแม่นมหลี่อยู่ที่ใด
“เปิ่นหวังไม่โปรดปรานการบีบบังคับผู้อื่นมาั้แ่ไหนแต่ไร” เขาหยิบตะกร้อผ้าลูกนั้นขึ้นมาชมด้วยท่าทางสบายๆ “ทว่าเปิ่นหวังไม่โปรดปรานการรอนานโดยไม่ได้สิ่งใดกลับมามากกว่า แม่นมลองคิดใคร่ครวญให้ชัดแจ้งเถิด”
แม่นมหลี่ร้องไห้จนน้ำตาและน้ำมูกไหลปะปนกันไปหมด ชิงผิงอ๋องสืบพบตัวหลานชายของนางได้อย่างไร เขาอยู่ที่ใด ถูกชิงผิงอ๋องจับตัวมาหรือไม่ เขาเป็เพียงเด็กน้อยอายุสามขวบเท่านั้น เขาทนถูกทรมานเช่นนั้นไม่ไหวหรอก!
“ท่านอ๋อง ได้โปรดปล่อยญาติของบ่าวไปเถิดเพคะ บ่าว...บ่าวจะเชื่อฟังท่านอ๋องทุกเื่ และจะเชื่อฟังคำสั่งของท่านอ๋องแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น!”
เป่ยเหลียนโม่โยนลูกตะกร้อผ้าในมือคืนให้นาง แม่นมหลี่รีบหยิบมันขึ้นมาและประคองไว้ในมืออย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงกอบกุมมันไว้บริเวณหน้าอกพลางร่ำไห้คร่ำครวญไม่หยุด
“เป็ความผิดของบ่าวเองเพคะ ท่านอ๋องอย่าได้คาดโทษครอบครัวของบ่าวเลย!”
เป่ยเหลียนโม่หัวเราะน้อยๆ ราวกับว่าเมื่อครู่เขาเพียงแค่พูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างสบายๆ เท่านั้น แม่นมหลี่ร่ำไห้จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ทว่าในทางตรงกันข้ามชายหนุ่มกลับสงบนิ่งเหลือเกิน มีเพียงยามที่อีกฝ่ายเกือบจะสลบไปเท่านั้นจึงจะค่อยๆ ชำเลืองมอง
“เปิ่นหวังและหวังเฟยก็เป็คนในครอบครัวเดียวกันเหมือนเช่นครอบครัวของแม่นม ความกังวลและความร้อนใจนั้นคาดว่าแม่นมหลี่คงรู้สึกได้ชัดเจนแล้ว ต้องทำอย่างไรต่อไปคงไม่จำเป็ต้องให้เปิ่นหวังชี้แจงหรอกกระมัง”
“เพคะๆ บ่าวเข้าใจแล้ว ทุกอย่างไม่เกี่ยวข้องกับหวังเฟย เื่ราวทั้งหมดคืออวี๋เฟยเหนียงเหนี่ยงทำร้ายองค์ชายของนางเอง” แม่นมหลี่ร้องไห้พลางโขกศีรษะ “แต่ท่านอ๋องเพคะ หากบ่าวชี้แจงแทนหวังเฟยเช่นนี้ เกรงว่าครอบครัวของบ่าวก็อาจไม่รอดเช่นกันเพคะ!”
อวี๋เฟยรู้ดีว่าเวลานี้ครอบครัวของนางอยู่ที่ใด หากนางทรยศต่ออวี๋เฟย เช่นนั้นก็เกรงว่าครอบครัวของนางจะต้องถูกแก้แค้นก่อนที่อวี๋เฟยจะได้รับโทษเสียอีก
เป่ยเหลียนโม่ลุกขึ้นยืนและทอดมองแม่นมหลี่ที่กำลังโศกเศร้าอยู่บนพื้น ก่อนจะกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ที่หมู่บ้านหนิวเจียในอำเภอชิงสุ่ยมีต้นไหวใหญ่ต้นหนึ่ง นั่นคือที่อยู่ของครอบครัวเ้า เปิ่นหวังจะช่วยพาพวกเขาย้ายไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยมากกว่า”
เขาเดินไปถึงประตูและหยุดลงอีกครั้ง ก่อนจะผินใบหน้ามองไปยังอีกฝ่าย
“ภายในวังหลวงผู้คนต่างหลอกลวงกันและกัน มิสู้กลับไปอยู่ข้างกายคนในครอบครัวเสียยังดีกว่า มีลูกหลานล้อมรอบ มีความสุขกับครอบครัวที่ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา”
ยามที่เขากล่าวถึงที่อยู่ของครอบครัวนางขึ้นมาแม่นมหลี่ก็ใมากแล้ว ทว่าเมื่อนางได้ยินคำสัญญาที่เป่ยเหลียนโม่มอบให้กับนางอีกครั้ง นางจึงน้อมคำนับรัวๆ ด้วยความซาบซึ้งใจ
หากสามารถออกจากวังหลวงกลับไปใช้ชีวิตสงบสุขกับครอบครัวได้ เช่นนั้นก็คงดีไม่น้อย
ยามนี้นางอายุมากแล้ว ความปรารถนาสูงสุดก็คือการได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข หากสามารถอาศัยโอกาสนี้ออกจากวังหลวงได้ เช่นนั้นต่อให้ต้องแลกด้วยอะไรก็ยอมทั้งนั้น
สองวันต่อมา เหยาเชียนเชียนได้รับพระราชโองการจากทางวังหลวง เนื้อความระบุว่านางเป็ผู้ถูกใส่ร้ายในเหตุการณ์สังหารองค์ชายและวางยาพิษอวี๋เฟย ดังนั้นในเวลานี้ฮ่องเต้จึงส่งคนมารับนางกลับนครหลวงโดยเฉพาะ
“หวังเฟย ฝ่าาทรงมีพระประสงค์ให้พระองค์เข้าวังหลวงหลังจากจัดเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว หากจะช้าสักหน่อยก็ไม่เร่งรัดพ่ะย่ะค่ะ” ข้าหลวงปฏิบัติต่อนางด้วยความเคารพนบนอบเป็อย่างยิ่ง นั่นทำให้เหยาเชียนเชียนตั้งตัวไม่ทันเล็กน้อย
เป่ยเหลียนโม่บอกว่าจะคลี่คลาย ก็คือคลี่คลายได้อย่างหมดจดถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
นางสับสนไปตลอดทาง ผู้ที่มาส่งสาส์นไม่ได้แจ้งว่าเื่นี้คลี่คลายได้อย่างไร เขากล่าวเพียงว่านางไม่มีความผิด ทว่าเื่คนที่อยู่เื้ัเป็ผู้ใดและบทลงโทษของคนผู้นั้นคืออะไรกลับไม่ถูกกล่าวถึงแม้แต่คำเดียว
อีกฝ่ายไม่พูด นางก็ไม่ได้ถามเพิ่มเติม ถึงอย่างไรนี่ก็คงเป็ผลลัพธ์จากการทำงานหนักของเป่ยเหลียนโม่ใน่สองสามวันที่ผ่านมา นางกลับไปถามเขาเองก็ได้
“หวังเฟยเสด็จกลับมาแล้ว!”
พ่อบ้านรออยู่ที่ประตูจวนั้แ่เช้าตรู่ เมื่อเห็นรถม้าแล่นเข้ามาก็รีบร้องเรียกเสียงดัง ส่วนเป่ยเหลียนโม่ก็นั่งอยู่หน้าประตูเช่นเดียวกัน เมื่อเหยาเชียนเชียนเปิดม่านออกก็เห็นมือเรียวยาวมือหนึ่งยื่นเข้ามา
ดวงตาของเป่ยเหลียนโม่ยังคงสุกสว่างเช่นเคย เขาช่วยประคองนางลงจากรถม้า
“รบกวนท่านอ๋องแล้ว” เหยาเชียนเชียนจับมือนั้นไว้หลวมๆ พร้อมรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้า “หม่อมฉันกลับมาแล้วเพคะ”
กลับมาได้เสียที เป่ยเหลียนโม่พยักหน้าน้อยๆ ภายในจวนเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว รอเพียงช่วยนางจัดเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วก็จะเข้าวังหลวงเพื่อกล่าวขอบคุณฮ่องเต้
เหล่าบ่าวไพร่มือเท้าคล่องแคล่วรวดเร็ว เมื่อพวกเขาจัดเก็บสัมภาระเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงถอยออกไป
เหยาเชียนเชียนนั่งลงข้างๆ เป่ยเหลียนโม่พลางทอดมองไปที่ข้างนอกประตูและเอ่ยถามว่า “ท่านอ๋อง ฝ่าาทรงพระราชทานอภัยโทษให้หม่อมฉันแล้วจริงหรือ ฝ่าาทรงเชื่อว่าหม่อมฉันเป็ผู้บริสุทธิ์แล้วจริงหรือเพคะ?”
เป่ยเหลียนโม่พยักหน้าและบอกว่ายามนี้อวี๋เฟยถูกปลดเป็อวี๋กุ้ยเหรินแล้ว แม้จะประกาศต่อภายนอกว่าโทษของนางคือบกพร่องในการปกป้ององค์ชาย และประมาทจนเป็เหตุให้เกิดอันตรายต่อองค์ชาย ทว่าฝ่าาทรงทราบเื่ทั้งหมดชัดเจนแล้ว
“ถึงอย่างไรเป่ยเซวียนเฉิงก็ยังคงมีเกียรติที่ต้องรักษาไว้ในราชสำนักอยู่บ้าง ดังนั้นเสด็จพ่อจึงปกปิดมันไว้ พระสนมใช้องค์ชายเป็เครื่องมือปองร้ายหวังเฟย เป็เื่ที่ฟังแล้วช่างน่าขันยิ่งนัก และเดิมทีนี่ก็ไม่ใช่เื่ดีอะไร ดังนั้นจึงจำต้องทำเช่นนี้”
เป่ยเหลียนโม่กลัวว่านางจะรู้สึกขุ่นเคืองใจ ท้ายที่สุดแล้วฮ่องเต้ก็ไม่ได้ชี้แจงโทษของอวี๋เฟยให้ชัดเจน ทว่าในตอนต้นกลับป่าวประกาศต่อใต้หล้าว่าเหยาเชียนเชียนลอบสังหารองค์ชาย เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เขาจึงเกรงว่าอีกฝ่ายจะอึดอัดใจ
“หม่อมฉันเข้าใจเจตนาของเสด็จพ่อเพคะ และเข้าใจความลำบากพระทัยของเสด็จพ่อด้วยเช่นกัน” เหยาเชียนเชียนยิ้ม “ท่านอ๋องวางใจเถิด หม่อมฉันรู้ว่าเื่นี้สามารถจัดการได้ในระดับใด และนี่เป็ผลลัพธ์จากการทุ่มเททั้งแรงใจและแรงกายของท่านอ๋อง กว่าจะได้มาซึ่งผลลัพธ์นี้ไม่ง่ายเลย หม่อมฉันเข้าใจทุกอย่างเพคะ”
แม้ว่าเป่ยเหลียนโม่จะมีศักดิ์เป็อ๋อง แต่การที่ต้องปะทะกับพระสนมผู้ซึ่งเป็ที่โปรดปรานอย่างยิ่งนั้นไม่ง่ายดายเลยจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นคือเื่นี้ก็ยากเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่เพียงแค่ตัวนางที่รู้สึกเช่นนั้น เกรงว่าทุกคนต่างก็รู้สึกหมดหวังกับการพลิกสถานการณ์เช่นเดียวกัน ทว่าในท้ายที่สุดเป่ยเหลียนโม่ก็ทำสำเร็จ
“หม่อมฉันขอบพระทัยท่านอ๋องจริงๆ เพคะ แต่ต่อให้กล่าวมากกว่านี้สักเพียงใดก็เป็เพียงคำพูดลอยๆ เท่านั้น ต่อไปหม่อมฉันจะระวังตัวให้มากขึ้น และจะไม่สร้างปัญหาให้ท่านอ๋องอีกเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่จับมือนางแล้วลุกขึ้นยืน เขาอยากจะบอกเหยาเชียนเชียนเหลือเกินว่าทุกสิ่งที่นางนำพามาสู่เขานั้นไม่ใช่ปัญหาเลย ไม่ว่าจะต้องทำเพื่อนางมากสักเพียงใด เขาก็ยอมลำบากด้วยความเต็มใจ
ภายในรถม้าที่กำลังเดินทางไปยังวังหลวง เป่ยเหลียนโม่เล่าเื่ราวที่เขาประสบมาให้นางฟังคร่าวๆ
เมื่อเหยาเชียนเชียนได้ฟังก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง นางอดถามไม่ได้ว่า “แม่นมหลี่ผู้นั้นภักดียิ่งนัก ท่านอ๋องกล่าวโน้มน้าวนางได้อย่างไรหรือเพคะ?”
ชิงผิงอ๋องข้ามรายละเอียดเื่ลูกตะกร้อผ้าไป เล่าเพียงว่าเขาสัญญาว่าจะให้นางออกจากวังหลวงเพื่อไปพักผ่อนอยู่บ้านในยามแก่เฒ่า นางทนทุกข์กับความยากลำบากในวังหลวงมาครึ่งชีวิตแล้ว และไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่อยากร้องขอคำสัญญานี้
“เป็เช่นนี้เอง” เหยาเชียนเชียนพยักหน้า “ทว่าฮ่องเต้ก็ทรงเชื่อแม่นมหลี่ ถึงแม้ว่านางจะเป็แม่นมที่ติดตามปรนนิบัติข้างกายอวี๋เฟย ฮ่องเต้ทรงลงทัณฑ์อวี๋เฟยเพราะคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของนาง เช่นนี้จะไม่ด่วนตัดสินไปหน่อยหรือเพคะ?”
เป่ยเหลียนโม่ลูบศีรษะเล็กของนาง เขาไม่แปลกใจแล้วว่าเหตุใดนางถึงชอบลูบเ้าแมวดำเช่นนี้ มันให้ความรู้สึกที่ดีมากจริงๆ
“ผู้ใดบอกว่าจะง่ายดายเพียงนั้นเล่า แน่นอนว่าแม่นมหลี่ต้องมีหลักฐานสิ”
ส่วนหลักฐานมาจากที่ใดนั้น เป่ยเหลียนโม่แย้มยิ้ม ไม่มีหลักฐานจริงแล้วจะไม่มีหลักฐานเท็จด้วยหรืออย่างไร
อวี๋เฟยลงมือได้เกือบจะสมบูรณ์แบบและมีเพียงไม่กี่คนที่รู้เื่นี้ ดังนั้นเป่ยเหลียนโม่ถึงได้สืบหาอยู่หลายวันแต่ก็ไม่พบหลักฐานที่แน่ชัด ทว่าความสำเร็จทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความพยายาม
ในเมื่อไม่มีหลักฐานก็สามารถสร้างมันขึ้นมาเองได้
แม่นมหลี่นำผงดอกยี่โถขาวห่อเล็กห่อหนึ่งไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ และอธิบายอย่างชัดเจนว่าพวกนางวางยาพิษลงไปในยาบำรุงครรภ์โดยหลบเลี่ยงผู้คนได้อย่างไร
“สิ่งเหล่านี้ถูกซ่อนไว้ในเล็บของอวี๋เฟยเหนียงเหนี่ยงอยู่ก่อนแล้ว นางเป็คนสั่งให้บ่าวนำเข้ามาจากนอกวังหลวงโดยไม่ให้ผู้ใดรับรู้เพคะ เหนียงเหนี่ยงสั่งให้บ่าวเก็บรักษาสิ่งนี้ไว้อย่างดี โดยกล่าวว่ามันอาจจะมีประโยชน์ในอนาคต”
นางทำร้ายเหยาเชียนเชียนคนเดียวไม่พอ แต่ยังคิดจะทำร้ายผู้อื่นด้วย เดิมทีฮ่องเต้ก็เสียพระทัยเื่เด็กคนนั้นอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อได้รู้ว่าเด็กคนนั้นเป็เพียงเครื่องมือในการวางแผนร้ายของอวี๋เฟยก็ยิ่งกริ้วมากขึ้นไปอีก
“ฝ่าาโปรดระงับโทสะ ครรภ์นี้ของเหนียงเหนี่ยงเดิมทีก็เป็การฝืนตั้งครรภ์อยู่แล้ว นางรู้ตัวว่าจะรักษาครรภ์ไว้ไม่ได้ั้แ่แรก ดังนั้นจึงต้องใช้ทุกสิ่งทุกอย่างให้คุ้มค่าที่สุด”
“บุตรชายของเจิ้นกลายเป็ตัวหมากในมือของนางที่ใช้สำหรับวางแผนทำร้ายผู้อื่น!”
แม้ว่าเหยาเชียนเชียนจะไม่เห็นสถานการณ์จริงในเวลานั้น แต่เพียงแค่ฟังการถ่ายทอดของเป่ยเหลียนโม่ก็สามารถจินตนาการได้แล้วว่าในยามนั้นฮ่องเต้จะต้องกริ้วมากเพียงใด หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่เป่ยเซวียนเฉิง แม้แต่ตำแหน่งกุ้ยเหริน มารดาของเขาก็คงรักษาไว้ไม่ได้แล้วกระมัง
เชิงอรรถ
[1] ชี่ (气) หมายถึง พลังชีวิต (ตามศาสตร์แพทย์แผนจีน) ที่ไหลเวียนไปมาในร่างกาย เป็รูปแบบของพลังงานในสิ่งมีชีวิต
[2] แหวนปานจื่อ ในสมัยโบราณเรียกว่า ‘เส้อ(韘)’ เป็อุปกรณ์สวมนิ้วหัวแม่มือสำหรับผู้ที่ยิงธนู เพื่อป้องกันการเสียดสีของสายธนูกับนิ้วหัวแม่มือ ภายหลังในศึกาใช้การยิงธนูน้อยลง จึงได้มีการพัฒนาจาก ‘เส้อ’ มาเป็เครื่องประดับที่ทำจากหยกเรียกว่า ‘แหวนปานจื่อ’ และเป็ที่้าอย่างยิ่งในหมู่ขุนนาง ในสมัยราชวงศ์ชิงแหวนปานจื่อค่อยๆ พัฒนาจนกลายมาเป็เครื่องประดับของจักรพรรดิไปจนถึงบุคคลทั่วไป
[3] ช่วยเสือฆ่าคน เป็สำนวนจีน อุปมาว่าเป็การทำงานรับใช้คนชั่ว ทั้งที่คนชั่วผู้นั้นก็เคยทำร้ายตนเอง
