“ไจ้เฉินใช่หรือไม่? ไจ้เฉินๆ เ้าพึ่งสิบห้าจริงหรือ? ข้าสิบเจ็ดแล้ว ส่วนเขามีนามว่าหนิงเหมี่ยว นามรองคือ ตวนเฉิง ปีนี้สิบแปดแล้ว เราสองคนเป็คนบ้านเดียวกัน เดินทางมาเมืองเจี้ยนคังด้วยกัน ตอนนี้พวกข้าเช่าหอพักตรงตรอกสิบสี่ที่อยู่ทางทิศเหนือของสำนักศึกษาหลวงอยู่ด้วยกัน เ้าเห็นเขาภายนอกเป็คนอย่างนี้ แล้วอย่าคิดว่าเขาเป็คนดีเชียว เพราะความเป็จริงหากไปมีเื่กับเขา เขาจะกวนโมโหเ้าจนต้องร้องขอชีวิตเชียวล่ะ”
หนิงตวนเฉิงวางหน้าไม่ถูก กุมขมับพลางฝืนยิ้มให้ิหยวน และหันไปดุอีกคน “เ้าช่วยพูดให้มันน้อยๆ หน่อยจะได้หรือไม่?”
หลังทำความรู้จักกันเรียบร้อยแล้วก็พบว่าิหยวนไม่ใช่คนที่เด็กสุดในกลุ่ม เพราะมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งจากอี้โจวอายุเพียงสิบสี่ เข้าเรียนด้วยเงื่อนไขพิเศษ เขาถูกใคนสักคนดันหลังให้ออกไปยืนตรงกลางกลุ่มเพื่อแนะนำตัว เขาเป็คนค่อนข้างขี้อาย ร่างกายก็ผอมเพรียวราวกับเด็กผู้หญิง เด็กหนุ่มส่งยิ้มให้ก่อนจะก้มหัวคำนับ “ผู้…ผู้น้อย…มาจากอี้โจว นามว่า…นามว่า...ตี้อู่จี้หวา”
“เป็ชื่อที่ไพเราะมาก ลังเก้อตี้อู่เป็ตระกูลใหญ่ในอี้โจวเชียวนะ หวังว่าเ้าจะสืบทอดวรรณกรรมจีน ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน” ยังคงเป็หวงซื่อเหวยที่เข้าไปพูดคุยแสดงความเห็น เขาส่งยิ้มเป็มิตรให้คนอายุน้อยกว่าพลางแตะๆ แขนดู “เพียงร่างกายผอมแห้งไปหน่อย”
ตี้อู่จี้หวาได้ยินอย่างนั้นก็เขินหน้าแดง
“เอาล่ะๆ เ้าแก่กว่าคนอื่นตั้งหลายปี หยอกล้อคนอื่นให้น้อยหน่อยเถิด” หนิงตวนเฉิงปัดมือหวงซื่อเหวยออกจากแขนบอบบางของตี้อู่จี้หวา ก่อนจะหันไปปลอบใจ “อย่ากังวลไปเลย ทุกคนมาจากต่างบ้านต่างเมือง วิถีชีวิตขนบธรรมเนียมย่อมไม่เหมือนกัน ใช้เวลาฝึกอีกสักหน่อยก็คงพูดภาษากลางได้ชัดขึ้น ตอนนี้เราล้วนเป็บัณฑิตแขนงวิชาเดียวกัน หากเ้า้าความช่วยเหลือก็มาหาเราได้เลย”
“ขอบ…ขอบคุณศิษย์พี่ขอรับ” ตี้อู่จี้หวาเอ่บขอบคุญด้วยเสี่ยงตะกุกตะกัก
ทันใดนั้นก็มีเสียงเย่อหยิ่งดังขึ้นมาแทรก “คนบ้านนอกพูดไม่ชัดยังบังอาจเข้ามาศึกษาที่สำนักศึกษาหลวง”
ผู้คนที่กำลังพูดคุยกันอย่างเป็มิตรกวาดตามองรอบๆ หาเ้าของเสียง พบว่าเป็คุณชายท่านหนึ่งสวมชุดหรูหรา ปักปิ่นหยก ห้อยจี้หยก รูปร่างสูงโปร่ง โหงวเฮ้งดี ดูเป็คนมีความสามารถ ทว่าคำพูดคำจาไม่น่าฟัง
หวงซื่อเหวยผู้กระตือรือร้นอยู่เสมอ “ท่านเป็ผู้ใด? มีผู้ใดในกลุ่มเราคุยกับท่านหรือ? หากท่านมีปัญหากับบัณฑิตบ้านนอกนักก็ไปร้องเรียนเ้าหน้าที่ผู้ทำหน้าที่คัดเลือกบัณฑิตสิ อย่ามาหาเื่วุ่นวายให้เรา แล้วท่านเป็ผู้ยิ่งใหญ่มาจากที่ใดมิทราบ”
“หึ! เ้านี่ไม่เอาไหนเลย ข้าก็คือเซี่ยชิงฟาจากซวนเฉิง”
ทันใดนั้นฝูงชนก็เงียบลง แม้แต่หวงซื่อเหวยก็ยังพูดไม่ออก
คนส่วนใหญ่ในที่นี้รู้จักชื่อนี้ เขาเกิดในตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงและพอมีความสามารถด้านบทกวีอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นไม่ว่าชื่อเสียงหรือวงศ์ตระกูลของคนผู้นี้ก็นับว่าเหนือกว่าพวกเขามาก ไม่รู้เหตุใดเขาถึงไม่เข้าศึกษาที่สำนักศึกษากลาง ไยถึงได้ตัดสินใจมาเล่าเรียนที่สำนักศึกษาหลวง
เซี่ยชิงฟาชักสีหน้าไม่พอใจ สะบัดแขนเสื้อหมายจะเดินจากไป
“ศิษย์…ศิษย์พี่เซี่ยช้าก่อนขอรับ” คนที่หยุดเขาไว้คือชายหนุ่มขี้อายอย่างอู่จี้หวาที่พูดติดสำเนียงถิ่นและติดอ่าง “บรรพชนกล่าวว่า…กล่าวว่า” เขาพยายามพูดช้าๆ ชัดๆ ไม่ให้ติดอ่าง แม้ใบหน้ายังคงแดงก่ำ ทว่าเขากลับไม่ได้วางท่าเจียมตัวหรือหยิ่งผยอง
“กล่าวว่า คนเก่งมีพร์ ไม่จำเป็ต้องถ่อมตัว คนบ้านนอกอย่างจี้หวาได้รับการเสนอชื่อ และผ่านการคัดเลือกจากสำนักศึกษาหลวงแล้ว นับว่ามีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าศึกษา โอรส์ ชนชั้นปกครอง ขุนนางทั้งเก้าขั้น เมือง อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ตรอก และบ้านเรือน ล้วนเป็รากฐานของบ้านเมือง แม้ตระกูลตี้อู่จะอยู่ชนบท ไม่สูงส่งเท่าตระกูลเ้าขุนมูลนาย แต่ก็มีความตั้งใจจริงที่จะศึกษาหาความรู้เพื่อรับใช้บ้านเมือง แล้วท่านเล่า คิดอย่างนั้นหรือไม่?”
ทั้งิหยวน หวงซื่อเหวย และคนที่เหลือ ได้ฟังคำพูดที่มีหลักการและสมเหตุสมผลจากคนร่างผอม พวกเขาก็อดมองด้วยความชื่นชมไม่ได้
เซี่ยชิงฟาถูกตอกกลับก็หัวฟัดหัวเหวี่ยง “ทหาร! ไม่ว่าตัวอันใดจะแอบเข้ามาในสำนักศึกษาหลวง พามันออกไปจากที่นี่ซะ!”
“ชิงฟา” ชายหนุ่มที่ยืนห่างจากกลุ่มพวกเขาไม่กี่ก้าวหันหน้าไปตามทิศทางของเสียง ชายหนุ่งผู้หนึ่งยืนอยู่ในหอฝู่เหรินค่อยๆ หันหน้ามาทางจุดที่พวกยืนอยู่ เขาเพียงเอ่ยคำเดียวสั้นๆ ทุกอย่างกลับหยุดนิ่งอย่างน่าประหลาด เซี่ยชิงฟาถึงกับหยุดชะงัก ได้แต่กำหมัดเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ แล้วโบกมือสั่งให้คนของตนถอยห่างจากกลุ่มคนบ้านนอก
ความเงียบโรยตัวปกคลุมทั่วบริเวณ ทุกคนหันมองชายหนุ่มผู้นั้นเป็ตาเดียว ส่วนิหยวนยิ่งตกตะลึงกว่าผู้ใด
หนิงตวนเฉิงยิ้มก่อนทักทาย “ท่านป๋อน้อยก็อยู่ฝ่ายเดียวกันกับพวกเราหรือ?”
หยางจวินฉีกยิ้มกว้าง “ข้ามาเล่าเรียนทบทวนตนเอง สำนักศึกษากลางนั่นมีอันมีใดดี สำนักศึกษาหลวงสิดีมีสหายมากมาย”
ทุกคนต่างออกมาทักทายและแนะนำตัวทีละคน
“คารวะศิษย์พี่หยาง ข้า…ข้าน้อย…อู่ตี้จี้หวา…มาจากอี้โจวขอรับ”
“คารวะท่านป๋อน้อย ข้าน้อยมาจากไท่โจว นามว่าอู่ซาน นามรองอู่จงเหริน จากนี้จะตั้งใจเรียนรู้ความมุ่งมั่นจากท่านป๋อ...”
ถึงตาของิหยวนแล้ว ทว่าเขายังคงยืนอึ้งอยู่ที่เดิม หวงซื่อเหวยจึงต้องดันหลังเขาออกไป ยิ่งได้เห็นคิ้วคมคมราวดาบกับดวงตาเป็ประกายราวกับดวงดาวที่คุ้นเคย เขาก็ยิ่งพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าควรเรียกคนตรงหน้าว่าอย่างไร
ทว่าท่าทีของหยางจวินกลับตรงกันข้าม เขายืนยิ้มพอใจยกมือไพล่หลังรอฟังอีกฝ่ายเอ่ยทักทายอยู่นานจนต้องเป็ฝ่ายทักทายก่อน “ศิษย์น้องเสี่ยวหยวน นับว่ามีวาสนาได้พบพาอีกครั้ง”
ิหยวนครุ่นคิดในใจ “...คนโกหก”
หยางจวินหันไปทักทายทุกคนตามมารยาท จากนั้นก็เอ่ยเสียงดังฟังชัด “ล้วนเป็บัณฑิตในสำนักศึกษาหลวง ล้วนเป็สหายร่วมศึกษา ไม่มีผู้ใดเหนือกว่าหรือด้อยกว่า ไม่ต้องสนใจว่าหยางจวินคือคุณชายหรือป๋อน้อย ข้าน้อยความรู้ยังอ่อนด้อย หวังว่าวันหน้าทุกท่านจะชี้แนะ”
“พูดได้ดี” เสียงหนึ่งเอ่ยชื่นชมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ทั้งราชสำนักและขุนนางท้องถิ่นต่างเปิดโอกาสและสนับสนุนให้พวกเ้าเข้ามาศึกษาในเมืองหลวงก็เพื่อให้พวกเ้าได้มีความรู้ความสามารถ เป็ผู้ได้รับการอบรมสั่งสอน สงบสุขุม มีความคิดกว้างไกล เมื่อเป็บัณฑิตมีการศึกษาแล้วก็ต้องเป็ขุนนางที่ภักดีต่อฝ่าา เป็บุตรที่กตัญญูต่อบิดามารดา หากเอาแต่ถือยศฐาบรรดาศักดิ์ หวังกดผู้อื่นให้ต่ำเพื่อยกตนให้สูงก็ไม่จำเป็ต้องมาที่นี่”
เซี่ยชิงฟารู้สึกได้ว่าในคำพูดนั้นแฝงด้วยความหมายบางอย่าง จึงสะบัดหน้าหันมองคนพูดด้วยความโกรธ แต่ก็ต้องหยุดชะงักอีกครั้งพร้อมเก็บอาการของตน
ทุกคนเบิกตากว้าง ชายวัยกลางคนสวมชุดนักปราชญ์ รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลาอย่างกับหยกเย็นูเาน้ำแข็งเดินเข้ามาอยู่ท่ามกลางฝูงชน ยามเขาเดินเข้ามาใกล้ อากาศรอบกายก็พลันเย็นะเื ทุกคนถึงกับเผลอก้าวถอยห่างออกจากรัศมีไอเย็น
“เผยซูเยี่ย” เสียงเย็นเอื้อนเอ่ยออกมาหนึ่งชื่อ ก่อนจะแนะนำตัวต่อ “เป็อาจารย์ที่ปรึกษาฝ่ายพิธีการของพวกเ้า”
ิหยวนใจเต้นแรงอีกครั้ง รีบโค้งคำนับพร้อมทุกคน “ศิษย์คารวะอาจารย์เผย”
“เอาล่ะ สิ่งที่พวกเ้าควรรู้ไว้ก็คือ สำนักศึกษาหลวงนั้นแตกต่างจากสำนักศึกษาทั่วไปที่พวกเ้าเคยเรียนมา ไม่ว่าพวกเ้าจะตั้งใจเรียนหรือไม่ ใฝ่เรียนมากหรือน้อยก็ตาม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเอง อาจารย์ที่ปรึกษา เป็เพียงชื่อเรียกเท่านั้น” บรรดาศิษย์น้อยใหญ่หันมองหน้ากันไปมา ยืนตาใสเกาะกลุ่มกันเหมือนไก่น้อยไร้เดียงสา สิ่งที่อาจารย์จะสื่อก็คือ หากไม่มีเื่อันใดก็ไม่ต้องรบกวนข้าอย่างนั้นหรือ?
“แน่นอนว่าหากพวกเ้ามีเื่อันใด ทุกวันที่ห้าและสิบของเดือน ั้แ่ยามเหม่า [1] ถึงยามซื่อ [2] และั้แ่ยามเว่ย [3] ถึงยามเซิน [4] ข้าจะอยู่ที่ห้องสอน หากพวกเ้ามีสิ่งใดสงสัยหรือไม่เข้าใจบทเรียนใดก็มาถามข้าได้” ความหมายก็คือ ทางที่ดีพยายามอย่ารบกวนข้าอย่างนั้นหรือ?
“ตรงหน้าพวกเ้าคือหอฝู่เหริน ลองเข้าไปเดินสำรวจดู” ท่านอาจารย์ผู้แสนเ็าโยนป้ายไม้ให้อู่จี้หวา “นี่คือป้ายประจำฝ่าย ถือมันไปขอเข้าข้างใน พอออกมาแล้วก็ไปหาเ้าหน้าที่ธุรการ ให้เขาออกป้ายประจำตัวให้พวกเ้าทุกคน ส่วนกฎเกณฑ์การยืมตำราก็ให้เขาอธิบายให้พวกเ้าฟัง”
เผยซูเยี่ยบอกกล่าวศิษย์ของตนด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
ทิ้งให้ฝูงไก่น้อยไร้เดียงสายืนทำหน้างงอยู่ตรงนั้น
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[1] ยามเหม่า หมายถึง 5.00 ถึง 7.00 น.
[2] ยามซื่อ หมายถึง 9.00 ถึง 11.00 น.
[3] ยามเว่ย หมายถึง 13.00 ถึง 15.00 น.
[4] ยามเซิน หมายถึง 15.00 ถึง 17.00 น.