ตาข่ายที่ถักทอโดยแนวหินกำลังเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงดังแกรกและเสียงแตกเหมือนเครื่องบดเนื้อ บดขยี้พืชพรรณและก้อนหินในบริเวณที่มันผ่านไป
องครักษ์ผีนับร้อยคนแผดเผาชีวิตของพวกเขาเพื่อประคองให้ค่ายกลขับเคลื่อน ครั้นเห็นว่าค่ายกลเข้าใกล้ต้วนเหลยถิงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาก็พากันเริ่มดีใจ
ห้าสิบก้าว สามสิบก้าว ยี่สิบก้าว...
ยิ่งเข้าใกล้ตาข่ายก็ยิ่งเล็กลง ครั้นกรงตาข่ายครอบลงไปและเห็นว่าห่างเพียงก้าวเดียวก็จะสามารถกลืนต้วนเหลยถิงเข้าสู่ภายในได้
เคอโยวหรานถึงขั้นหาลมหายใจของตนไม่พบ ทำได้แค่เบิกตามองต้วนเหลยถิงเผชิญหน้ากับอันตรายโดยมิอาจทำสิ่งใด
นางกู่ร้องอยู่ในมิติวิเศษอย่างสุดชีวิต “ซานหลาง ท่านทำอันใด? รีบหนีสิ ซานหลาง...”
ทางด้านต้วนเหลยถิงที่อยู่นอกมิติวิเศษััได้ถึงเคอโยวหราน ทั้งยังรู้ดีว่านางตื่นตระหนักยิ่งนัก
ทว่ายังเหลืออีกนิด ต้องรออีกสักนิด เมื่อเห็นว่าตาข่ายกำลังครอบลงมาและห่างจากต้วนเหลยถิงไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ
หน้าผากของเคอโยวหรานมีเหงื่อหลายเม็ดผุดซึม หัวใจถึงกับหยุดเต้นไปเสียแล้ว
ขณะนั้นเอง ต้วนเหลยถิงพลันพลิกกายกลิ้งลงตามหน้าผา
เวลาเดียวกัน ภายในมือของเขายังคว้าก้อนหินขนาดเท่าไข่ไก่ จากนั้นใช้กำลังภายในอันแข็งแกร่งรวมถึงองศาพิสดาร ขว้างก้อนหินเข้าไปในประตูเป็ที่แท้จริงของตาข่ายใหญ่
“เปรี้ยง...ครืน...” ตาข่ายใหญ่ถูกทำลายจนกลายเป็สี่ถึงห้าเสี่ยง แหลกสลายจนกลายเป็ผุยผง
“พรวด...”
“พรวด...”
“พรวด...”
เหล่าองครักษ์ผีต่างกระอักเืและล้มลงบนพื้นอย่างฉับพลัน ไร้ซึ่งความสามารถในการต่อกร ทั่วทั้งร่างราวกับพังทลายกลายเป็ของเหลวก็มิปาน
“แค่กๆๆ...แค่กๆ...” อั้นปากระอักเืก่อนเอ่ย
“บัดซบ คนผู้นั้นช่างมีความสามารถ กระทั่งตายก็ยังต้องลากพวกเราไปด้วยถึงจะยอมรามือ แค่กๆๆ...”
อั้นลิ่วหอบหายใจพลางเอ่ยเสริมว่า “แค่กๆ...สามารถทำลายค่ายกลของพวกเราภายในเวลาอันสั้นเช่นนี้ ช่างเก่งกาจนัก แค่กๆ...
แต่น่าเสียดาย แค่กๆ...ข้างล่างคือหน้าผา ตกลงไปมีเพียงต้องร่างแหลกสลาย อึก...”
ทางด้านต้วนเหลยถิงที่เหล่าองครักษ์ผีต่างคิดว่าตายไปแล้ว หลังตกลงไปใกล้กับหินแหลมพลันแทรกกายเข้าสู่มิติวิเศษผ่านความนึกคิด หลบเลี่ยงอันตรายจากการกระแทกก้อนหินไปได้
ภายในสวนดอกไม้ของหอเล็กฝานหวา ในเสี้ยววินาทีที่ต้วนเหลยถิงปรากฏตัว เคอโยวหรานพลันโผเข้าหาอ้อมกอดของเขาทันใด
“ซานหลาง...ฮือๆๆ...ท่านทำข้าใแทบแย่ ท่านเคยบอกว่าจะไม่เอาชีวิตของตนเองไปเสี่ยง เหตุใดท่านถึงหลอกผู้อื่นเช่นนี้เล่าเ้าคะ? ฮือๆๆ...”
ต้วนเหลยถิงโอบเคอโยวหรานเอาไว้ ััได้ว่าร่างกายของนางสั่นเทาอย่างชัดเจน เขาจึงโอบกอดนางให้แน่นยิ่งกว่าเดิม ครั้นได้ยินเสียงร้องไห้ของนาง หัวใจของเขาก็ถึงกับบีบรัดเข้าหากัน
เขาลูบปลอบเคอโยวหรานพลางเอ่ยปลอบขวัญว่า
“ไม่ต้องกลัว ภายในใจของข้ามีแผนการ คาดการณ์เอาไว้เป็อย่างดีั้แ่แรกแล้ว สิ่งที่ข้ารับปากเ้า ข้าล้วนจดจำได้เสมอ ไม่มีทางเอาชีวิตของตนเองไปล้อเล่นอย่างแน่นอน”
“ไอ้หยา คนหนุ่มสกุลต้วน เ้าช่างยิ่งมีความสามารถยิ่งขวัญกล้าทีเดียว!” เซียนพิษอุทาน
“คนหนุ่มเอ๋ย ไม่เคยมีผู้ใดรอดจากค่ายกลเป็ตายขององครักษ์ผีมาก่อน นับได้ว่าเ้าเป็คนแรก รู้ตัวหรือไม่?”
หมอเทวะเข้ามาวนรอบกายต้วนเหลยถิงพลางมองสำรวจขึ้นลงแล้วเอ่ยว่า “จิ๊ๆๆ ต้วนซานหลางนะต้วนซานหลาง เ้าช่างเก่งกาจทีเดียว
นั่นคือค่ายกลเป็ตายเชียวนะ ต่อให้ข้ากับตาเฒ่าสารพัดพิษเข้าไปก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว เ้าหาประตูที่แท้จริงของค่ายกลเจอและทำลายค่ายกลได้อย่างไร?”
เซียนพิษเองก็อัดอั้นตันใจด้วยความสงสัยเช่นกัน “ซานหลาง เ้ารู้หรือไม่ว่าผู้สร้างค่ายกลเป็ตายนี้คือใคร? คนผู้นั้นเป็ถึงผู้ก่อตั้งสำนักผี ศิษย์พี่ของข้ากับตาเฒ่าหมอ เขาเชี่ยวชาญค่ายกลของสำนักแพทย์พิษอย่างยิ่ง...”
“ใช่ๆๆ...” ไม่รอให้เซียนพิษกล่าวจบ หมอเทวะพลันถอนหายใจออกมา
“ทักษะวิชาแพทย์พิษของเขาเหนือกว่าข้ากับตาเฒ่าพิษ คนผู้นั้นเสียสติไร้ความเป็มนุษย์ คือคนที่สามารถทำทุกสิ่งเพื่อให้บรรลุเป้าหมายโดยไม่สนใจวิธีการ”
หลังกล่าวจบ หมอเทวะถึงกับเย็นสันหลังจนอดสั่นสะท้านมิได้
เคอโยวหรานอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของต้วนเหลยถิง ครั้นได้ยินผู้เฒ่าทั้งสองสลับกันอธิบาย นางก็ยิ่งรู้สึกว่าเื่นี้ตึงมือเหลือเกิน
แรกเริ่มนางแค่อยากหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวให้มุ่งสู่ฐานะปานกลาง ผลสุดท้ายศัตรูของต้วนเหลยถิงแข็งแกร่ง นางจึงยอมละทิ้งชีวิตปกติเพื่ออยู่เคียงข้างสามีและเริ่มสั่งสมอิทธิพล
ยังไม่ทันสั่งสมอิทธิพลให้เพิ่มพูนก็พบว่าผู้ที่ไล่ล่าครอบครัวต้วนเหลยถิงมาโดยตลอดคือสำนักผี นึกไม่ถึงว่าคนที่อยู่หลังม่านจะเป็ศิษย์พี่ของหมอเทวะกับเซียนพิษ
เคอโยวหรานไม่เข้าใจ นางจึงเงยหน้าถามต้วนเหลยถิงว่า “ครอบครัวของท่านไปหมางใจกับสำนักผีได้อย่างไร? เหตุใดพวกเขาถึงพยายามไล่ล่าครอบครัวของท่านอย่างสุดกำลังหรือเ้าคะ?”
ต้วนเหลยถิงเองก็มีเครื่องหมายคำถามเต็มหัวเช่นกัน “ครอบครัวของข้าไม่มีโอกาสใกล้ชิดกับยุทธภพด้วยซ้ำ เมื่อก่อนตอนถูกคนสวมผ้าคลุมไล่ล่า พวกเรายังนึกว่าเป็องครักษ์เงาของพวกท่านอาที่้าลงมือเพื่อชิงอำนาจ
ไม่คาดคิดเลยสักนิดว่าเื่นี้จะเกี่ยวโยงถึงสำนักผี เพียงแต่ข้าพอจะมีการคาดเดาอยู่บ้าง นั่นคือสำนักผีอาจเป็ผู้หนุนหลังท่านอาบางคนของข้า”
เซียนพิษหัวเราะลั่นพลางเอ่ย “ไม่ๆๆ สำนักผีไม่มีทางร่วมมือกับขั้วอำนาจใด ศิษย์พี่ผู้นั้นของข้าชื่นชอบเพียงการศึกษาของประหลาดต่างๆ
อีกทั้งสิ่งของเหล่านี้ยังจำเป็ต้องใช้เงินทอง ดังนั้นแท้จริงแล้วสำนักผีที่เขาสร้างขึ้นก็คือหน่วยมือสังหาร งานที่ทำคือช่วยเก็บกวาดโดยมีผู้อื่นออกเงิน”
“ไม่ถูกต้อง!” ต้วนเหลยถิงขมวดคิ้ว “ในเมื่อพวกเขาทำกิจการเป็มือสังหาร เช่นนั้นก็น่าจะพอมีชื่อเสียง เหตุใดข้าถึงมีข่าวคราวเกี่ยวกับพวกเขาน้อยนัก?”
หมอเทวะเอ่ยด้วยความพอใจ “นั่นเพราะศิษย์พี่ของข้าไม่เชี่ยวชาญด้านทำการค้า นอกจากนี้สำนักผีก็เพิ่งถูกสร้างขึ้นเมื่อสองปีก่อน จำนวนคนไม่มากนัก พวกเ้าไม่รู้ย่อมถือเป็เื่ปกติ”
“ยามนั้นเพื่อศึกษาเกี่ยวกับองครักษ์ผี เขาถึงได้ถูกขับออกจากสำนัก มิอาจหวนกลับตลอดกาล”
เซียนพิษลูบเคราแพะที่เริ่มกลับมามีสีดำของตนพลางเอ่ยว่า “องครักษ์ผียากจะสร้างขึ้นมาอย่างแท้จริง ข้าสงสัยว่าองครักษ์ผีที่เขาสร้างขึ้นมามีจำนวนไม่เกินสามร้อยคน”
“ไม่ๆๆ” หมอเทวะส่ายหน้าสุดชีวิต “ด้วยวิธีการของศิษย์พี่ องครักษ์ผีจะต้องไม่ได้มีแค่สามร้อย ขอเพียงเขาพบวิธีการหรือเคล็ดลับ เช่นนั้นจะต้องสร้างขึ้นมาจำนวนมากอย่างแน่นอน”
“ไม่มีทาง” เซียนพิษเบิกตาร้องะโ “ตาเฒ่าหมอ เ้าคิดว่าเขามีตัวยามากมายเพียงใดกัน? จะเหมือนพวกเราที่มีมิติวิเศษของหมาป่าเงินได้อย่างไร? ถ้าไม่มีตัวยาและมีเพียงวิธีการ กระทั่งสตรีที่ฉลาดมากความสามารถก็มิอาจทำอาหารได้หากปราศจากข้าว”
“ไม่ถูกต้อง” หมอเทวะโก่งคอร้องตะคอกจนหน้าแดง “เ้าลืมไปแล้วหรือว่าตอนศิษย์พี่ไปจากสำนักแพทย์พิษ เขาได้ขโมยสมุนไพรไปตั้งมากมาย แทบจะทำเอาห้องคลังในสำนักเหี้ยนเตียนเลยด้วยซ้ำ”
“เ้า...” เซียนพิษชี้หน้าหมอเทวะ ทันใดนั้นก็ยกมือขึ้นออกกระบวนท่าโจมตี หมอเทวะเองก็ทะยานกายขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน...
จากนั้นได้ยินเพียงเสียงดังเปรี้ยง ปรมาจารย์แพทย์พิษถูกกำแพงโปร่งใสขวางเอาไว้จนกระเด็นออกไปไกล
“อ๊าก...”
“อ๊าก...”
คนทั้งสองเปล่งเสียงกรีดร้องออกมาพร้อมกัน จากนั้นตามด้วยเสียงของหนักกระแทกพื้นสองเสียง
เคอโยวหรานถึงกับสะดุ้งโดยไม่รู้ตัว แค่คิดก็รู้สึกเจ็บแทนท่านอาจารย์ทั้งสองแล้ว
ยามนั้นเพื่อไม่ให้ท่านอาจารย์ทั้งสองต่อยตีกันในมิติวิเศษจนทำลายมิติ ตนจึงตั้งกฎกับพวกเขาสามข้อ ไม่อนุญาตให้ใช้วรยุทธ์ในที่แห่งนี้
ยามนั้นสองผู้เฒ่าก็ได้ถูกมิติวิเศษสั่งห้ามแล้ว ผลสุดท้ายพวกเขากลับจำได้แค่ข้อดีไม่จดจำข้อเสีย มักจะทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะเื่เล็กๆ น้อยๆ ทุกวัน
ภายหลังยังคิดจะลงมือ ดังนั้นจึงถูกข้อห้ามของมิติวิเศษดีดจนลอยกระเด็นไปเสียทุกครั้ง
หลังคนทั้งสองทราบถึงความผิดของตนก็จะยอมว่างเว้นสักสองวัน ทว่าผ่านไปไม่นานก็กลับสู่สภาพเดิม คิดอยากจะต่อสู้กันอีก
เมื่อเป็เช่นนี้ซ้ำไปมา นึกไม่ถึงว่าคนทั้งสองจะเพลิดเพลินไม่นึกเบื่อหน่ายเสียแล้ว
เฒ่าทารกเอ๋ยเฒ่าทารก กล่าวไปแล้วผู้เฒ่าทั้งสองก็ช่างเป็คู่รักคู่แค้นกันอย่างแท้จริง