เืพลังหากว่ากันตามธรรมชาติแล้ว คือการผนึกพลังปราณใต้หล้าที่บริสุทธิ์เป็เอกไว้ด้วยกันนั่นเอง เพราะเดิมทีความแข็งแกร่งอันมากมายของพลังนั้นก็เป็การผนึกพลังของกฎเกณฑ์กำลังอยู่แล้ว โลหิตจักไม่มีสิ่งแปลกปลอมใด เมื่อกลืนกินเข้าสู่ร่างกายก็จะละลายกลายเป็สายพลัง ถึงจะเป็แค่เืพลังหยดเดียวก็สามารถกลายเป็พลังมหาศาล ซ่อมแซมทุกส่วนของร่างด้วยความรวดเร็ว
เ่ิูกลืนเืพลังเข้าไปหนึ่งเม็ด
โลหิตเพิ่งตกถึงท้อง ฉับพลันก็รู้สึกถึงมันได้ชัดเจนดังคาด พลังเย็นสบายกล้าแกร่งเกิดขึ้นฉับพลัน พลุ่งพล่านไปทั่วกระเบียดนิ้วของเรือนร่าง ให้ความชุ่มชื้นทุกอณู จากนั้นก็กรีดร้องหลั่งรวมจากทั้งร่าง ขยายกว้างประหนึ่งแม่น้ำฉางเจียง ทะลวงเข้าโลกตันเถียน
โลกตันเถียนนั้น ลมฟ้าพลันเปลี่ยนสี อสนีบาตและฟ้าแลบเริ่มแผลงฤทธิ์
พายุที่เคยรุกล้ำอยู่บนเมล็ดอัคคีเม็ดที่สามไม่หายไปไหน กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงในบัดดล ราวกับได้รับมอบพลังชีวิตมา ดั่งัสีเงินคำรามตะเบ็งลั่น โรยตัวลงมาจากอากาศธาตุ โคจรอย่างบ้าคลั่ง ทำลายพื้นทรายในพริบตา เข้าโจมตีเมล็ดอัคคีในส่วนลึก
“สำเร็จ!”
เ่ิูดีใจเป็ล้นพ้น
ตอนที่ัเงินแห่งพลังและเมล็ดอัคคีปะทะกันนั้น เสมือนสายไฟยามฟ้าผ่า เปรี้ยงปร้างเพียงครั้ง พสุธาก็แยกจากกัน น้ำพลังบริสุทธิ์เอ่อออกมาจากใต้ทะเลทรายพร้อมกับเสียงกัมปนาท พุ่งพรวดสู่ท้องฟ้าได้หลายร้อยเมตร จากนั้นก็กลายเป็สายฝน และไอหมอกที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ครองบรรยากาศ สาดกระหน่ำไปทั่วบริเวณ
บุกเบิกน้ำพุสำเร็จ
น้ำพุพลังตาที่สามปรากฏขึ้นแล้ว
พลังแท้จริงของเ่ิูนั้น ในที่สุดก็พัฒนาไปอีกขั้น
“น้ำพุบริสุทธิ์คราวนี้ต้องแข็งแกร่ง โหมกระหน่ำยิ่งกว่าตาแรกและตาที่สองเป็แน่ ฤทธิ์เดชตอนท้ายทรงพลังยิ่งกว่า เริ่มต้นก็ได้บรรลุน้ำพุตาที่สามอย่างงดงามแล้ว” เ่ิูค่อยๆ เปิดเปลือกตา ใบหน้าเผยยิ้มพึงพอใจ “คงเป็เพราะรางวัลและกับการต่อสู้ในสมรภูมิหุบเขาปัดป้องเป็แน่ ตรากตรำมาถึงขั้นนี้ เตรียมพร้อมอย่างดีถึงจะสัมฤทธิ์ผล สำเร็จแน่นอน!”
เขาหยัดกายขึ้นยืน รู้สึกถึงกำลังภายในที่คึกคัก โหมแรงดั่งนทีเกรี้ยวกราด
โลกตรงหน้าราวกับหมดจดขึ้นมา เขากวาดตามองไปก็เห็นได้ทุกซอกทุกมุมของห้อง แม้จะเป็เศษฝุ่นบนโต๊ะเม็ดเดียว ก็สามารถรู้รูปร่างของมันได้ และตอนที่หลับตาก็เหมือนจะได้ยินเสียงบนเพดาน ซ่อนตัวอยู่ใต้พลังแห่งกระบวนกอักขระที่หลั่งไหลไร้เสียง
ทัศนวิสัยของเขาว่องไวกว่าเมื่อก่อนสามสี่เท่า
ไม่เพียงเท่านั้น ตอนที่เด็กหนุ่มลองขยับตัวช้าๆ ก็ยังรู้สึกถึงความปราดเปรียวที่มากขึ้นของร่างกายทุกส่วน เพราะผ่านอาณาน้ำพุิญญาขั้นที่สาม ขอเพียงเขาตั้งจิตให้มั่นสักนิด ก็จะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่สุดของตำแหน่งใดก็ตามในร่างกายได้เลย
ตอนนั้นที่ตื่นขึ้นมาในบ่อเืประหลาด เ่ิูค่อยๆ รับรู้ว่าความแข็งแกร่งของรูปกายเขา เพราะเหตุผลลึกลับบางอย่าง ก็ทะยานขึ้นหลายขั้นไม่หยุด ก่อนหน้านี้ที่เขาเข้าใจผิดแปลกๆ เหมือนว่าปฏิภาณเขาไม่แข็งแกร่งพอ ไม่อาจควบคุมร่างกายนี้ได้ตามใจอยาก ราวกับว่าความนึกคิดและพลังของเขาอ่อนแอเกินไป ไม่อาจเข้าคู่กับร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นได้
แต่ตอนนี้เมื่อเข้าอาณาน้ำพุิญญาขั้นที่สามได้แล้ว ความรู้สึกนี้ก็หายไป
การบุกเบิกน้ำพุตาแรกนั้น สำหรับเหล่านักยุทธ์แล้ว ราวกับเป็การเกิดใหม่ นอกจากการเพิ่มพูนพลังแล้ว การเข้าใจตัวเองก็แจ่มแจ้งขึ้นมาก อายุของนักยุทธ์ พลังชีวิต รวมทั้งสมรรถนะของร่างกายยังมากขึ้นอีกด้วย
การฝึกฝนของนักยุทธ์ต้องใช้เวลา
ต้องใช้เวลามาก
มีเื่เล่านักเรียนที่จะพัฒนาจากอาณาที่หนึ่งถึงอาณาที่สาม หากคุณสมบัติพอได้ก็ต้องใช้เวลาถึงสองปีเต็ม คุณสมบัติครบครันเช่นอัจฉริยะตัวน้อยๆ ต้องใช้เวลาหนึ่งปีโดยประมาณ...แน่นอนว่า เหล่าชนชั้นสูงที่ชาติตระกูลสูงส่งเช่นเซี่ยโหวอู่ หากใช้หญ้าวิเศษหรือยาเทวดาชุบเลี้ยงเข้าโดยตรง อาจจะไม่ต้องใช้เวลาถึงปีก็สำเร็จได้
แต่เ่ิูคนนี้ จากคนที่ไม่รู้อะไรเลยสู่นักยุทธ์อาณาน้ำพุิญญาขั้นสาม ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งปีในการฝึก ความเร็วระดับนี้เรียกว่าเป็เื่เขย่าภพได้เลย ขอเพียงเผยแพร่ออกไปเท่านั้น ต้องสามารถก่อเป็คลื่นลูกใหญ่ มีชื่อเสียงในฐานะยอดอัจฉริยะแห่งโลกหล้า
และด้วยพลังของเขาในตอนนี้ มากพอจะข้ามชั้นไปปีสี่ได้เลย
และหลังจากเข้าปีสี่แล้ว พลังเช่นนี้ก็สามารถไต่เต้าเกินระดับกลางขึ้นไปได้แน่
ทว่าเ่ิูไม่คิดจะทำเช่นนั้น
ตอนนี้เขาเริ่มมีความคิดของตัวเองแล้ว
โดยเฉพาะเมื่อผ่านสมรภูมิหุบเขาปัดป้องมา เ่ิูก็เริ่มผิดหวังในสำนักกวางขาว
นี่ไม่ใช่เพราะฉินอู๋ซวง เซี่ยโหวอู่ หรือความเกะกะระรานของพวกศิษย์สูงศักดิ์เท่านั้น แล้วก็มิใช่เพราะพลังในกายเขานี้ไม่ได้มาจากการชี้แนะถ่ายทอดของคณาจารย์ในสำนักด้วย ทว่าเป็เพราะเขาได้กลิ่นเหม็นเน่าหึ่งหั่งและแข็งทื่อจากตัวของอาจารย์พวกนั้น เ่ิูมองสำนักกวางขาว่นี้เสมือนคนใกล้สิ้นชีพ ป่วยคางเหลืองรอวันตาย สูญเสียใจที่จะพัฒนา เหมือนบึงน้ำที่ตายไปแล้วและเน่าหม็น ยากยิ่งจะชุบเลี้ยงัอสรพิษออกมาได้
หลายปีมานี้สำนักกวางขาวพัฒนาจากหนึ่งในสิบยอดสำนัก จากอันดับหนึ่งเช่นจักรพรรดิ สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ทางวรยุทธ์ที่ให้กำเนิดเหล่าผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน ร่วงหล่นเป็รั้งท้าย ค่อยๆ กลายเป็เครื่องมือในการวางท่าโอ้อวดของพวกหนุ่มสาวทรงอิทธิพล ไม่ใช่ว่าไร้ต้นสายปลายเหตุ
เ่ิูทั้งครุ่นคิดและลังเล ว่าสำนักแบบนี้ เขายังจะศึกษาอะไรจากมันได้
แม้ว่าการที่เขาเข้าการแข่งขันรอบที่สี่ สำแดงพลังคลุ้มคลั่ง ทวงคืนเกียรติกลับสู่สำนักได้สำเร็จก็ตาม ทว่าทำไมเมื่อกลับเข้าศาลาขึ้นฟ้า พวกคณาจารย์ชั้นสูงถึงได้พากันชี้นกเป็ไม้ ทำความลำบากให้เขาด้วย ใจคิดแต่จะฆ่าเขาฝังให้พ้นๆ ไปอย่างเดียว จิตใจชั่วช้าเป็อันตราย หากเขายังอยู่ในสำนักนี้ต่อไป จะต้องตกที่นั่งแบบไหนกัน?
เ้าสำนักกับหวังเยี่ยนเหมือนจะเข้าข้างเขา แต่พวกเขาก็ปกป้องเขาได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น จะปกป้องเขาไปตลอดชีวิตได้อย่างไร?
แต่ถ้าจะออกไปจากสำนักกวางขาวเล่า ตัวเขาจะไปแห่งหนใดได้?
เ่ิูรู้สึกสับสนไม่น้อย
สำนักกวางขาวให้โอกาสเป็นักยุทธ์แก่เขา ทว่าหากมัวรออยู่ที่นี่ต่อไป เ่ิูคิดว่าคงมิใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดแน่
ในทะเลสำนึกเขามีความคิดมากมายผุดขึ้นมา เ่ิูยากจะเลือกได้
ในความลังเลนั้น เขาก็ค่อยๆ แบมือออก ฝ่ามือมีแสงวับวาม กระบี่ฉ่าวชางปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงนั่น ราวน้ำหลากยามใบไม้ร่วง ตัวกระบี่ดั่งกระจกวาวแสงงดงาม สะท้อนสู่ใบหน้าของเ่ิู
หากเทียบกันเมื่อครึ่งปีก่อนแล้ว ผ่านลมผ่านฝนมานานหกเดือน ใบหน้าของเขาก็ชักเติบโตเป็ผู้ใหญ่ รูปหน้ามีมุมเหลี่ยมชัดเจน ดวงตาเป็ประกายสว่างใส คิ้วคมดั่งกระบี่ ไรผมดั่งมีด จมูกเป็ทรงสวย ผังแผ่ไอความหล่อเหลาสะพัดไปทั่ว
เ่ิูลูบคมกระบี่ฉ่าวชางในมือ
อาวุธิญญาที่เขาได้คืนมาจากกลุ่มสองนทีนี้ เ่ิูได้หล่อเลี้ยงมันมาตลอดในน้ำพุตาแรกนับแต่เริ่ม ผ่านความชุ่มชื้นมาหลายวัน ตัวกระบี่ก็เหมือนจะวับวาวขึ้นมาก เรียวงามไม่แปดเปื้อน เสมือนไข่มุกใสที่เจียระไนจนงามพร้อม ชะล้างจากความมืดมิด ราวกับอวดสีสันของตัวเอง
เมื่อรู้ถึงพลังจากคมกระบี่ เ่ิูก็ตัดสินได้ทันทีว่าพลังอำนาจของมันต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าหอกไน่เหออย่างน้อยสี่เท่า
คราวนี้ที่อยู่ในสมรภูมิหุบเขาปัดป้อง ได้เจอกับอันตรายหลายครั้ง แต่เด็กหนุ่มก็มิเคยเรียกขานนามกระบี่ฉ่าวชาง ไม่เปิดเผยการมีอยู่ของอาวุธิญญาเล่มนี้ หนึ่งเพราะเขาไม่เคยฝึกกระบวนกระบี่ สองคือเพราะเ่ิูไม่อยากเปิดไพ่ลับของตัวเองต่อหน้าพวกเบื้องสูงและศิษย์หัวกะทิของสำนัก
“วันหลังต้องไปในหอสมุดคลังแสงปีสี่ หาเสียหน่อยว่ามีเพลงกระบี่ใดเหมาะสมหรือไม่”
เ่ิูกระตือรือร้นเพียงในใจ
หอกไน่เหอพังในสมรภูมิหุบเขาปัดป้องไปแล้ว เ่ิูเสียดายยิ่งนัก ศาสตราวุธเดียวที่เหมาะมือและเหลืออยู่ของเขาก็คือเ้ากระบี่ฉ่าวชาง ดังนั้นเขาจึงคิดเื่ฝึกกระบวนกระบี่
เป็ตอนที่กำลังพิจารณาอยู่นั่นเอง โลกตันเถียนพลันบังเกิดการเปลี่ยนแปลงน่าประหลาด
น้ำพลังบริสุทธิ์ในน้ำพุตาที่สามพุ่งเสียดฟ้าอย่างไร้สาเหตุ กลายเป็ัเงินบุกตะลุยไปทั่วร่าง ท้ายสุดก็รวมตัวกันอยู่ส่วนสมองของเขาด้วยความเร็วเหนือชั้น เ่ิูไม่อาจควบคุมได้
“มาอีกแล้ว!”
เ่ิูไม่ได้ตื่นใเลย
ก่อนหน้านี้ที่บุกเบิกตาน้ำพุสองตาสำเร็จ คัมภีร์ทองแดงโบราณในหัวอย่าง ‘ท่วงทำนองยุคเทพมาร’ ก็ดูดพลังของน้ำพุเขาอย่างบ้าคลั่ง กลืนกินเสร็จแล้วก็สำรอกออกมา จากนั้นเนื้อหาในคัมภีร์ก็จะสามารถเปิดอ่านได้ส่วนหนึ่ง คราวนี้ยังบุกเบิกตาน้ำพุที่สามได้ไม่นาน เื่แบบเดียวกันก็กำเนิดขึ้นมาจนได้
เ่ิูยืนนิ่ง กำหนดวิชาลมหายใจไร้ชื่อต่อไป
พริบตาเดียว พลังในร่างก็ดึงดูดอากาศอย่างบ้าคลั่ง
เ่ิูเข้าสู่ภาวะเป็ตายอีกครั้ง รู้สึกว่าร่างกายแห้งเหี่ยว พลังชีวิตเกือบจะถูกตัดขาด สภาพเหมือนเปลวเทียนในพายุ เหมือนว่าจะถูกแผดเผาบรรลัยเมื่อไรก็ได้ แต่กลับผูกมัดเส้นสายเ่าั้เสมือนว่าไม่มีเราไม่มีใคร เป็่เวลาพิเศษของคนที่อยู่ระหว่างความเป็และความตาย
และหลังจากนั้น พลังงานก็หลั่งไหลในคัมภีร์ทองแดง
พลังบริสุทธิ์ถึงที่สุดไหลพุ่งออกมาราวภูผาะเิ ซึมเข้าร่างเ่ิูทุกส่วน ให้ความชุ่มชื้นกับส่วนของร่างกายที่เกือบจะแห้งตาย เมื่อได้รับการเยียวยา สภาพที่เหนื่อยเหมือนจะบรรลุหนทางด้วยขีดจำกัด แม้จะลำบากแต่ผลพวงกลับงดงามยิ่ง
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
เ่ิูหายใจออกมาพรืดยาวอย่างโล่งเปลาะ
กำลังภายในไม่เพียงได้รับการฟื้นฟูเท่านั้น ยังหมดจดขึ้นเรื่อยๆ ความเร็วยิ่งไวขึ้น รวมถึงการยินยอมพร้อมใจของร่างกายยิ่งสูงขึ้น ราวกับว่าขอแค่สั่งเพียงครั้งเดียว กำลังภายในจะไปถึงทุกสิ่งที่เขาคิด
ใจพลังเป็หนึ่ง จิตเดียวเข้าถึงแม้เศษเสี้ยวเล็กน้อย
พลังที่ต้องเป็นักยุทธ์น้ำพุิญญาขั้นยี่สิบขึ้นไปเท่านั้นถึงจะมีกรรมวิธีควบคุมมัน ฝากฝังไว้กับโชคชะตาที่ได้พบคัมภีร์โบราณทองแดง เ่ิูได้เตรียมทุกอย่างจนพร้อมหมดสิ้น
เมื่อพลังสำรอกคืนมา เื่ที่เ่ิูรอคอยก็บังเกิดขึ้นแล้ว
หลังจากคัมภีร์สำรอกพลังทุกครั้ง ท่วงทำนองแห่งยุคเทพมารจะมีเนื้อหาอย่างหนึ่งที่ถูกเปิดผนึก อย่างแรกคือสี่กระบวนยุทธ์เทพราชันเกราะทอง อย่างที่สองคือผู้พิทักษ์ทะลุปรุโปร่ง บัดนี้เมื่อถึงตาที่สาม คราวนี้จะมีหน้าใหม่ใดเปิดผนึกได้กันหนอ?
“หากเป็วิชากระบี่ล่ะก็ คงเยี่ยมยุทธ์นัก!”
เ่ิูรอพลางขานนามแห่งท่วงทำนองยุคเทพมาร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้