“ท่านย่าเหลียงไม่ใช่เด็กทุกคนจะมีชีวิตรอดหากต้องดื่มกินน้ำข้าวั้แ่แรกเกิด ครอบครัวเด็กกำพร้าเช่นพวกข้าที่ผู้คนไม่อยากเข้าใกล้เพราะจะนำพาความอัปมงคล เกิดเป็มนุษย์หากมีสักครั้งในชีวิตที่จะไม่เพิกเฉยต่อหนึ่งชีวิตที่เราสามารถช่วยเหลือได้ นั่นไม่สมควรแก่การยกย่องหรอกหรือ ข้าจางจื่ออี๋คุกเข่าโขกหัวให้ท่านยังนับว่าน้อยไปด้วยซ้ำ บุญคุณของท่านวันหน้าข้าต้องตอบแทนอย่างแน่นอน”คำมั่นนี้จางจื่ออี๋สลักมันเอาไว้ในใจ แม้วันเวลาผ่านไปอีกหลายสิบปีสกุลเหลียงที่ซื่อสัตย์ก็ยังคงมีความสัมพันธ์กับสามพี่น้องสกุลจางไม่เสื่อมคลาย
“โถ...เด็กน้อยเอ๋ย ไม่พูดถึงเื่เหล่านี้แล้ว เื่เล็กน้อยใช่เหนือบ่ากว่าแรง ข้าผู้นี้ไม่เชื่อเื่โชคลางอันใดไม่ เกิดแก่เจ็บตาย ผู้ใดกำหนด ทุกสิ่งล้วนเป็วัฏสงสาร ข้าไม่ได้ช่วยเปล่าๆ เสียเมื่อไร่เงินหนึ่งตำลึงนี่เป็ก้อนหินรึ ไม่ต้องซาบซึ้งบุญคุณถึงเพียงนั้น”ท่านย่าเหลียงบอกปัดราวกลับไม่ใส่ใจ ยามนี้จางจื่อหนิงกินอิ่มแล้วกำลังถูกตบหลังเบาๆ เพื่อให้เรอออกมา
“ขอบคุณย่าเหลียงมากเ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะรีบเข้าไปตัวอำเภอซื้อผ้ามาเพิ่ม เพราะผ้าอ้อมของยายหนูหนิงมีน้อยเหลือเกิน เพื่อให้ท่านไม่ต้องลำบากมา ข้าจะทำผ้าอ้อมให้พอใช้สำหรับใส่ทั้งกลางวันและกลางคืน ส่วนงานซักทำความสะอาดข้าจะเป็ผู้รับหน้าที่นั้นเองเ้าค่ะ”งานดูแลเด็กอ่อนเป็เื่ที่ยากลำบากและต้องใช้ความอดทนสูง เพื่อทำให้อารมณ์ของผู้เลี้ยงคงที่นี่จึงเป็ข้อเสนอที่จางจื่ออี๋คิดขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เลี้ยงเกิดทัศนะคติที่ไม่ดีต่อตัวเด็ก
“เ้าร่ำรวยมากรึ! หยุดความคิดนั่นซะ ของใช้ตอนแบเบาะของลูกชายคนเล็กของข้ายังใหม่อยู่ ให้ยายหนูหนิงใช้ต่อจะเป็อะไรไป เถี่ยตั้นบ้านข้าเกิดมาก็ได้รับความรักความเอ็นดูจากคนในครอบครัวอย่างล้นหลาม ถือเป็เด็กที่เกิดมาสมบูรณ์แข็งแรงผู้หนึ่ง ยายหนูหนิงเกิดมาก็น่าเวทนาพอแล้วให้นางแบ่งเอาความโชคดีของเ้าเด็กดื้อนั่นไปบ้างจะเป็ไร”ครอบครัวสกุลเหลียงของนางทำความดีมาทั้งชีวิต นางไม่เชื่อหรอกว่าการแบ่งปันเล็กๆ น้อยๆ นี่ให้เด็กกำพร้าที่น่าสงสาร จะทำให้ชีวิตตกต่ำ กลับกันนางคิดว่านี่จะนำความโชคดีมาให้ในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน
“ขอบคุณที่ย่าเหลียงเมตตายายหนูหนิงเ้าค่ะ เช่นนั้นแล้วข้าจะกลับบ้านไปเอาของใช้อย่างพวกเบาะนอนผ้าห่มมาให้นะเ้าคะ”จางจื่ออี๋ไม่ได้มีความเห็นอะไรสำหรับข้อเสนอของย่าเหลียง หญิงสาวกล่าวขอตัวแล้วเดินออกมาจากบ้านสกุลเหลียงพร้อมกับน้องชาย ฝีเท้าของทั้งสองไม่เร็วไม่ช้าต่างฝ่ายต่างไม่พูดพาให้เกิดความเงียบสายหนึ่ง
เพราะว่าต่างฝ่ายต่างมีเื่ให้ขบคิด เด็กชายจางจื่อเหยาลอบสังเกตพี่ใหญ่ของตนเองอยู่หลายหน ท่านพี่แต่เดิมนั้นอ่อนโยนจนเข้าขั้นหัวอ่อน เื่เชื่อฟังนั้นไม่มีผู้ใดล้ำหน้านางไปได้ ไม่รู้เมื่อไหร่ที่นางกลายมาเป็คนที่มีความคิดที่เป็ระบบ ซ้ำยังรู้จักเข้าหาผู้อื่นอย่างหาได้ยาก แม้จะมีข้อสงสัยแต่แล้วจะอย่างไรเล่า ในเมื่อพวกเราเหลือกันเพียงสามพี่น้อง หากไม่เติบโตจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร ตัวเขาเองก็ต้องพยายามให้มากยิ่งขึ้น ไม่มีสิ่งใดที่เกินความมุมานะของคนไปได้หรอก
“อาเหยาเ้าเชื่อหรือไม่ ว่าวันข้างหน้าเราต้องมีชีวิตที่ดียิ่งกว่าวันนี้”จางจื่ออี๋รั้งตัวน้องชายที่มีส่วนสูงเท่าหัวไหล่ของนางเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับวาดมือโอบไหลอีกฝ่ายเอาไว้อย่างอ่อนโยน ตอนนี้ตัวนางคือเสาหลักของครอบครัวเื่ความเป็อยู่หรือเื่ปากท้อง ให้ผู้เป็พี่สาวคนนี้แบกรับมันเอาไว้ก็เพียงพอ
“เชื่อขอรับ ต้องมีวันนั้นแน่นอน ท่านพี่จะไม่ลำบากเพียงลำพังอาเหยาจะช่วยท่านอีกแรง”ถูกพี่ใหญ่โอบกอดด้วยความอ่อนโยนทำให้เด็กชายขัดเขินเล็กน้อย แต่ก็ทำใจผลักไสไม่ลงอ้อมกอดของท่านพี่ช่างอบอุ่นเหลือเกิน ราวกลับว่ามันสามารถปัดเป่าความหนาวเหน็บในจิตใจให้มลายหายไป
“ดี! เอาล่ะก่อนกลับบ้านเราจะแวะไปที่ที่หนึ่งเสียก่อน”หญิงสาวลูบศีรษะเล็กแ่เบาพร้อมประกายบางอย่างที่ส่องวาบอยู่ในดวงตาดำสนิท ไม่รอให้น้องชายตอบรับนางก็ชักเท้ามุ่งไปยังจุดหมายแรกทันที
“เราจะไปที่ใดกันหรือขอรับ”
“บ้านผู้นำหมู่บ้าน”
บทสนทนาระหว่างพี่น้องก็จบลงเพียงเท่านั้น ใช้เวลาราวหนึ่งเค่อก็เดินมาถึงเรือนหลังที่ดูดีที่สุดในหมู่บ้าน บ้านสกุลหลี่ สกุลหลี่สามรุ่นต่างเป็ผู้นำหมู่บ้านจางเจี่ย ไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งของรากฐาน บุตรหลานบ้านหลี่ต่างเป็คนมีหัวคิด นำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ตระกูล บุตรชายคนโตของผู้เฒ่าหลี่ทำงานอยู่ที่ว่าการอำเภอ ตำแหน่งเสมียนศาลของเขาถือว่าสูงส่ง ผู้คนในหมู่บ้านต่างให้ความเคารพนับถือ มีเื่บางอย่างที่จางจื่ออี๋้าถามความให้กระจ่าง
“ท่านปู่หลี่อยู่หรือไม่เ้าคะ”เสียงเล็กหวานใสชวนให้ผู้ฟังเคลิบเคลิ้ม เด็กสาวนามจางจื่ออี๋ผู้นี่ได้รับมรดกสืบทอดความหน้าตาดีมาจากบิดามารดา ไม่ใช่แค่จางจื่ออี๋เท่านั้นน้องชายของนางก็เช่นกัน หลังจากส่งเสียงเรียกไม่นานก็มีคนเดินออกมาเปิดประตู เป็หญิงสาววัยกลางคนที่แต่งกายสะอาดสะอ้านใบหน้าติดจะเ็าเล็กน้อยแต่เมื่อมองตาก็จะเห็นความอ่อนโยนที่แฝงอยู่ในนั้นได้ไม่ยาก
“ป้าสะใภ้ท่านปู่หลี่กับท่านลุงหลี่อยู่หรือไม่เ้าคะ”จางจื่ออี๋ย่อกายทำความเคารพอีกฝ่ายในฐานะผู้าุโตามมารยาทอย่างผู้ที่ได้รับการอบรบสั่งสอน
“เข้ามาเถิดท่านปู่กับท่านลุงหลี่ของเ้าอยู่ด้านในพอดี”เจียงซื่อเดินนำเด็กทั้งสองเข้ามายังโถงรับแขกเมื่อจัดเตรียมน้ำชาและของกินเล่นเรียบร้อยแล้วนางก็เดินออกไปจาห้องพร้อมกับปิดประตู
บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดหลังจากที่เด็กทั้งสองทำความเคารพผู้าุโทั้งสอง โชคดีที่จางจื่ออี๋เลือกมาเยือนบ้านสกุลหลี่ในทันทีเพราะวันนี้เป็วันหยุดของหลี่เจิ้งผู้เป็เสมียนศาลพอดี เื่ที่นาง้าสอบถามมีอยู่สองสามเื่ และนางหวังว่าสองพ่อลูกสกุลหลี่จะบอกมันออกมาตามความจริง
“พวกเ้าสองคนมาหาข้ามีเื่อันใดก็ว่ามาเถิด”เป็ผู้เฒ่าหลี่ที่เปิดบทสนทนาก่อน แม้ผู้เฒ่าหลี่จะแก่ชราจนผมขาวโผลนแต่แววตายังแจ่มใสร่างกายยังกระฉับกระเฉง ชายชราคาดเดาเจตนาของเด็กน้อยที่มาเยือนในวันนี้เป็ร้อยแปดเื่เห็นจะได้ หรือว่าคนบ้านใหญ่จางมาระรานเด็กเหล่านี้ หากเป็เช่นนั้นก็ต้องเรียกมาปรับทัศนคติถึงการเกิดมาเป็คนของพวกเขาแล้ว
“อาเหยาเตรียมกระดาษ”ก่อนออกมาหญิงสาวให้น้องชายนำกระบอกไม้ไผ่ที่ใส่กระดาษคัดอักษรของบิดามาติดตัวมาด้วย เมื่อกระดาษเปล่าถูกกางขึ้นบนโต๊ะแม้กระทั้งถาดฝนหมึกพู่กันก็เตรียมมาพร้อม เห็นทีเื่คงมิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น
“ก่อนอื่นผู้น้อยต้องเท้าความถึงเหตุการณ์ของจางจื้อหลินที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ท่านหัวหน้าหมู่บ้านเมื่อได้รับข่าวการเสียชีวิตของจางจื้อหลินเป็ผู้ใดมาแจ้ง”จางจื่ออี๋เริ่มจรดปลายพู่กันร่างลำดับเหตุการณ์พร้อมกับถามคำถามออกไป เพราะว่าเื่ที่เกิดขึ้นกับบิดาเ้าของร่างนั้น ตัวนางเองไม่มีความทรงจำใดๆ เรียกได้ว่าไม่ได้รู้เื่ใดๆ แม้แต่น้อย เด็กสาวที่มารดากำลังจะสิ้นใจและบิดาก็มาถูกฆาตกรรมนางจะมีเวลามาคิดหาสาเหตุหรือทวงความเป็ธรรมให้บิดาของตนได้เช่นไร เพราะยามนั้นยังไม่แยกบ้านปู่ย่าจางก็ไม่คิดจะสืบสาวเอาความรีบเร่งฝังศพให้จบๆ ไปเท่านั้น
เมื่อวิเคราะห์มาถึงจุดนี้แล้วจางจื่ออี๋ก็ไม่สามารถก้าวผ่านเื่นี้ไปโดยไม่ให้ความสนใจไม่ได้ วันนี้นางจึงเลือกมา สอบถามเก็บข้อมูลที่อาจใช้เป็คำให้การประกอบคำร้อง เพราะการฆ่าคนไม่มีที่ไหนที่กระทำแล้วไม่ต้องชดใช้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้