กู้เจิงซุกโถน้ำร้อนไว้ใต้ผ้าห่มนางนอนพักผ่อนมาทั้งวัน อาการปวดท้องเหมือนจะหายหมดแล้ว นางสดชื่นขึ้นมากคิดว่าพรุ่งนี้จะเริ่มตั้งใจอ่านหนังสือ ประตูห้องเปิดออก เป็เสิ่นเยี่ยนเดินเข้ามา
เขาไม่ได้อยู่ในชุดสีเขียวยาวในตอนเช้าแต่เปลี่ยนเป็ชุดผ้าฝ้ายขาวสะอาดและน่าจะล้างหน้ามาแล้ว ร่างสูงโปร่งสง่างามสีหน้ายังคงเรียบเฉยเ็าเช่นเคย ทันทีที่เข้ามา เขาก็สบตากับนาง
“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือเ้าคะ?” กู้เจิงร้องทักด้วยเสียงอ่อนหวานเฮ้อ เสียงของร่างนี้ แม้แต่นางเองก็ยังหลงใหล
“เ้าดีขึ้นแล้วหรือ?” เสิ่นเยี่ยนหมายถึงอาการปวดท้องของนาง
กู้เจิงผงกศีรษะ
“เมื่อครู่ท่านแม่เรียกข้าไปว่า” เสิ่นเยี่ยนนั่งบนเก้าอี้มองสตรีที่ห่อตัวไว้ในผ้าห่มด้วยสีหน้าสบายอกสบายใจ แพขนตายาวของนางกระพริบจ้องเขาปริบๆ
กู้เจิงได้ยินแล้วอึ้งไป “ท่านพี่ทำอะไรผิดหรือเ้าคะ?”
“ท่านแม่ว่าเื่ที่ข้าไม่เคยบอกเ้าเื่ตำแหน่งเสนาธิการในค่ายทหารเื่นี้เป็ข้าผิดเองจริงๆ” เสิ่นเยี่ยน
เห็นกู้เจิงค่อยๆยกยิ้มขึ้นอย่างไม่ปิดบังเลยสักนิด เขากล่าวเย้ยหยันเสียงเรียบว่า “แต่ว่า ตระกูลกู้ของพวกเ้าไม่ได้สนใจฐานะที่ปรึกษาของข้าหรอกหรือ? เหตุใดจึงสนใจในสิ่งอื่นอีกเล่า?”
กู้เจิงลุกขึ้นนั่งพลางกอดโถน้ำร้อนไว้ในอ้อมแขนแสร้งทำไม่สนใจว่าเขากำลังพูดเย้ยหยันถึงอะไร นางเอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “ตอนบ่ายปาเม่ยมาที่บ้าน นางบอกว่าท่านเป็เสนาธิการในค่ายทหารแต่ภรรยาอย่างข้ากลับไม่รู้ เื่นี้เลย ในเมื่อเป็สามีภรรยากันแล้วท่านต้องคำนึงถึงหน้าตาของข้าบ้างเ้าค่ะ”
“หน้าตา?”
คำพูดสองคำนี้ของเสิ่นเยี่ยนทำเอากู้เจิงหน้าแดงเล็กน้อย “นับั้แ่แต่งเข้าตระกูลเสิ่นข้าทำให้ท่านขายหน้าั้แ่เมื่อไรกันเ้าคะ? เวลาญาติพี่น้องของท่านมาข้าก็เป็มิตรเคารพนอบน้อม ยิ่งกับท่านพ่อท่านแม่ข้าไม่เคยไม่เคารพเลยแม้แต่น้อย” เขาคงไม่นับบัญชีเก่า ก่อนแต่งงานกระมังถ้ายังนับก็เป็ผู้ชายใจแคบเกินไปแล้ว อีกอย่างนั่นก็ไม่ใช่นาง
เสิ่นเยี่ยนเหลือบมองรอยยิ้มอ่อนโยนของภรรยาเขาเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ท่านพ่อท่านแม่และญาติพี่น้องของข้าชอบเ้าจริงๆที่เ้าเป็เช่นนี้ เพราะเ้าอยากใช้ชีวิตร่วมกับข้าจริงๆ อย่างนั้นหรือ?”
กู้เจิง “...”
“หืม?”
“นี่ยังต้องถามอีกหรือเ้าคะ?” กู้เจิงเบ้ปากแล้วนอนหันหลังให้เขานางไม่อยากสนใจเขาแล้ว หากไม่อยากใช้ชีวิตร่วมกับเขาให้ดีแล้วนางยังจะทำอะไรได้อีก?
ด้านหลังของนางไม่มีเสียงใดๆ ดังขึ้นกู้เจิงกระวนกระวายใจอยู่บ้าง กำลังครุ่นคิดว่าตนเองก็ไม่ได้พูดอะไรผิดไป อยู่ๆเสียงเรียบเฉยของเสิ่นเยี่ยนก็ดังขึ้น “นอนเถอะ”
เขาดับไฟเปิดผ้าห่มอีกด้านออกก่อนจะเอนตัวนอนลง
กู้เจิงพลิกตัวหันกลับมามองเขา เมื่อเสิ่นเยี่ยนชำเลืองมองนางก็ส่งยิ้มหวานให้ ร่างเล็กค่อยๆ เบียดกายเข้าใกล้เขา
เสิ่นเยี่ยนไม่ได้พูดอะไร เขาหลับตาลงนอน
หิมะแรกของฤดูหนาวตกลงมาในสองวันให้หลังเกล็ดหิมะเล็กๆ ขาวสะอาดลอยละลิ่วโปรยปรายลงมาทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาขึ้นทันใด
วันนี้เป็วันที่คนของตระกูลเสิ่นมาทําขนมเข่งร่วมกัน
ใน่เช้าตรู่ สองสามีภรรยาเสิ่นยกโอ่งข้าวที่หมักเอาไว้มาวางบนรถล้อเดียวเพื่อเข็นไปทำขนมเข่งที่เรือนของเสิ่นซื่อ กู้เจิงกับชุนหงตื่นเต้นนี่เป็ครั้งแรกที่พวกนางจะได้กินขนมเข่งร้อนๆ ที่ทำขึ้นเองหากได้หัวไชเท้าดองที่ชุนหงขุดมา เทน้ำมันงาลงไปสักสองสามหยด กลิ่นคงหอมจรุงขนมเข่งหนึ่งคำหัวไชเท้าดองหนึ่งคำ คิดไปคิดมาก็ยิ่งอยากกินเร็วๆ
เรือนของเสิ่นเซื่ออยู่ห่างจากบ้านตระกูลเสิ่นเพียงครึ่งถ้วยชาเดินไม่กี่ก้าวก็ถึง ทว่าเมื่อพวกเขามาถึง หน้าประตูกลับเต็มไปด้วยผู้คนไม่เพียงแค่คนตระกูลเสิ่นเท่านั้น แต่ยังมีชาวบ้านคนอื่นๆ อีก
“เ้าสี่ พวกเราอยู่ตรงนี้” ลุงใหญ่และสะใภ้ใหญ่ของตระกูลเสิ่นได้จับจองที่ตรงนี้ไว้ั้แ่เช้าตรู่แล้ว
สองสามีภรรยาเสิ่นรีบเข็นรถเข้าไป
“ท่านลุงใหญ่ ท่านป้าใหญ่” กู้เจิงคารวะทักทาย ส่วนชุนหงก็คารวะอยู่ข้างๆ
ลุงใหญ่เสิ่นมีรูปร่างอ้วนท้วนดูใจกว้างใบหน้ากลมของเขาเรียวยาวกว่าลุงรองกับนายท่านเสิ่นเล็กน้อยทว่าเวลายิ้มพวกเขากลับให้ความรู้สึกเป็มิตรดังเช่นลุงรองและนายท่านเสิ่น “หลานสะใภ้ก็มาแล้ว ขนมเข่งของลุงใหญ่เสร็จแล้วจะให้เ้าได้ลิ้มรสก่อนใคร อร่อยมากเลยล่ะ”
“ขอบคุณท่านลุงใหญ่เ้าค่ะ”
“หลานสะใภ้หัวไชเท้าแห้งของข้าอยู่ในตะกร้าตรงนั้น จะกินก็หยิบไปได้เลย” ป้าใหญ่เสิ่นชี้ไปที่ตะกร้าไม้ไผ่ที่อยู่ข้างๆ นางกล่าวอย่างเป็กันเอง
“ได้เ้าค่ะเดี๋ยวข้าจะลองชิมหัวไชเท้าแห้งของป้าใหญ่ดู” กู้เจิงพูดยิ้มๆ
เสียงดังมาจากด้านหลังนายท่านเสิ่น “พี่รอง พวกเราอยู่นี่ เหตุใดถึงทำข้าวหมักมาเยอะขนาดนี้?”
กู้เจิงมองไปก็เห็นลุงรองกับป้ารองต่างคนต่างเข็นรถมาหนึ่งคัน บนรถมีข้าวหมักอยู่สี่ตะกร้า
“ปีนี้เ้าสามจะกลับมาฉลองปีใหม่ข้าเลยทำอะไรให้พวกเขาหน่อย” ลุงรองกล่าว
พอพูดถึงน้องสาม ลุงใหญ่เสิ่นป้าสะใภ้ใหญ่ นายท่านเสิ่น และฮูหยินเสิ่นต่างล้วนมีสีหน้าแปลก ประหลาด
วันที่กู้เจิงแต่งงานนางได้พบเครือญาติพี่น้องของตระกูลเสิ่นหลายคนแต่ครอบครัวเดียวที่นางไม่เห็นคือครอบครัวของลุงสาม ตอนนั้นนางไม่ได้คิดอะไรมากแต่ดูจากวันนี้ ลุงสามเสิ่นที่ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนเหมือนจะมีเื่อะไรที่ไม่อาจพูดได้
บรรยากาศการทำขนมเริ่มต้นขึ้นทางด้านหน้ามีคนช่วยกันโขลกตำขนมเข่งอย่างเป็จังหวะ
กู้เจิงกับชุนหงเดินเข้าไปดูเห็นครกหินสิบกว่าก้อนวางเรียงกันอย่างเป็ระเบียบ ข้างๆหินแต่ละก้อนมีชายร่างกำยำยืนตำอยู่ เขาโยนข้าวที่นึ่งจนเป็แป้งลงไปในครกหินโขลกตำไปสักพักก็มีคนคอยพลิกแป้งข้าวร้อนๆ ไปมา
“คุณหนู ท่านทำอะไรหรือเ้าคะ?” ชุนหงเห็นนิ้วของคุณหนูขยับเหมือนกำลังดีดผีผา* อยู่
(*เป็เครื่องดนตรีเก่าแก่ของจีนชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเป็เครื่องสายใช้ดีด มีรูปร่างเหมือนลูกแพร์ )
กู้เจิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “อยากถ่ายรูปแล้วส่งให้กลุ่มเพื่อนจัง”
ชุนหงกระพริบตาปริบๆ นางฟังไม่เข้าใจ
ขนมเข่งที่ตำออกมาด้วยมือพอได้กินเข้าปากแล้วทุกคำที่กัดลงไปนุ่มหยุ่นอยู่ในปาก กลิ่นหอมของข้าวถูกหมักจนซึมลึกไปถึงข้างในได้กัดหัวไชเท้ากรอบอีกคำ กู้เจิงรู้สึกเป็สุขนัก
ขณะที่กู้เจิงกำลังกินขนมเข่งอยู่ ฮูหยินเสิ่นก็แบ่งขนมเข่งที่เพิ่งนำออกมาห้าหกชิ้นเอาใส่ห่อผ้าแล้วยื่นให้กู้เจิง จากนั้นจึงหยิบหัวไชเท้าดองใส่ในตะกร้าอีกหลายชิ้น “อาเจิง เ้าเอาขนมเข่งร้อนๆ นี้ไปให้อาเยี่ยนกับหลี่หนานนี่เป็ของที่พวกเขาชอบกินกันทั้งนั้น”
“เ้าค่ะ” กู้เจิงพยักหน้านางไม่เคยไปค่ายทหารที่ประตูเมืองทางทิศใต้เลย ได้โอกาสพอดี
นายหญิงเสิ่นรีบอธิบายเส้นทาง “เ้าเดินไปที่ประตูใหญ่ทางทิศใต้เมื่อไปถึงก็บอกพวกเขาว่าเ้าเป็ภรรยาของอาเยี่ยนแล้วพวกเขาจะพาเ้าไปหาอาเยี่ยนในค่ายทหารเอง”
“ทราบแล้วเ้าค่ะท่านแม่”
ชุนหงเอาแบ่งเอาห่อขนมเข่งจากมือของกู้เจิงมาช่วยถือ
ยิ่งสายผู้คนที่มาทำขนมเข่งในลานบ้านยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆตอนที่สองนายบ่าวออกมา สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องมาที่กู้เจิงทุกคนต่างอยากรู้ว่านางเป็สะใภ้บ้านใคร ทำไมจึงงดงามถึงเพียงนี้
บ้านของตระกูลเสิ่นตั้งอยู่ข้างประตูเมืองทางทิศใต้อยู่แล้วกู้เจิงกับชุนหงจึงเดินมาถึงอย่างรวดเร็วหลังจากอธิบายจุดประสงค์ในการมาให้ทหารที่เฝ้าประตูค่ายแล้วทหารผู้นั้นก็กล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “ที่แท้ก็เป็ภรรยาของท่านเสนาธิการนี่เองข้าจะพาท่านไปหาท่านเสนาธิการเสิ่นเดี๋ยวนี้ขอรับ” พลทหารกำลังจะนำทางนางไป
กู้เจิงได้ยินเสียงรถม้าทางด้านหลัง จึงหมุนตัวไปดูเห็นรถม้าคันหนึ่งวิ่งเข้ามา สี่มุมของรถเกี้ยวยกขึ้นสูงที่คันรถมีลายเมฆาที่วาดด้วยสีทอง แม้แต่ขอบล้อรถก็สลักภาพมงคลอย่างประณีตไว้มีตัวอักษรตวนสลักอยู่บนหน้ารถ
“คุณหนู เป็รถม้าของจวนตวนอ๋องเ้าค่ะ” ชุนหงกล่าวอย่างแปลกใจ “ใช่ตวนอ๋องไหมเ้าคะ? ท่านอ๋องก็มาที่ค่ายทหารด้วยหรือ?”
เมื่อคิดถึงเื่ในคืนนั้นสีหน้าของกู้เจิงก็มืดครึ้ม นางยังไม่อยากพบท่านอ๋องในเวลานี้ทว่าอย่างไรก็สายเกินไปแล้ว เงาร่างสูงเพรียวในชุดผ้าไหมก้าวเดินลงมาจากรถม้า
“ท่านอ๋องมาหาเสนาธิการเสิ่นหรือพะย่ะค่ะ?” พลทหารที่พูดกับกู้เจิงเมื่อครู่ยืนตัวตรงถามตวนอ๋องจ้าวหยวนเช่อด้วยสีหน้านอบน้อม
สายตาเ็าของจ้าวหยวนเช่อกวาดมองกู้เจิงที่ยืนอยู่
“ท่านอ๋อง นางเป็ภรรยาของเสนาธิการเสิ่นพ่ะย่ะค่ะ” พลทหารรีบแจ้งแก่ท่านอ๋อง เมื่อเขาเห็นท่านอ๋องมองจ้องกู้เจิงเขาคงไม่รู้ว่านางเป็พี่สาวของว่าที่พระชายาของตวนอ๋อง
กู้เจิงนำชุนหงทำความเคารพ “คารวะท่านอ๋องเพคะ”
“เ้าถืออะไรมาด้วย?” ดวงตาลึกล้ำของจ้าวหยวนเช่อจับจ้องอยู่บนใบหน้าของนางแต่งงานได้ไม่กี่วัน แต่สตรีผู้นี้กลับเปล่งปลั่งขึ้นเรื่อยๆท่ามกลางหิมะที่ลอยละล่อง นางดูงดงามจนน่าตะลึง
“ขนมเข่งเพคะ”
“เอามาให้เสิ่นเยี่ยนหรือ?”
“เพคะ”
จ้าวหยวนเช่อยกยิ้มก่อนหน้านี้สตรีผู้นี้เวลาคุยกับเขาไม่เคยหลบสายดา แต่นี่คุยกันอยู่นานนางยังคงก้มหน้าหลบสายตาเขาอยู่หรือว่าหลังจากแต่งงานนางกลับกลายเป็คนสงบเสงี่ยมเจียมตัวแล้ว? คิดว่าเขาจะเชื่อหรือ?
“เปิดประตูเมืองให้กว้างขึ้น” ทหาระโไปทางประตูเมือง “ท่านอ๋องจะไปที่ค่ายทหาร”
ตอนที่กู้เจิงเงยหน้าขึ้นจ้าวหยวนเช่อก็ขึ้นรถม้าไปพอดี เขาจะไปค่ายทหารก็ไปสิแล้วเมื่อครู่ลงจากรถม้ามาทำไมกัน?