“หัวหน้าโจว คุณว่าเบื้องบนคงไม่ได้คิดจะให้พวกเราตามจับพวกค้าของเถื่อนไปตลอดหรอกใช่ไหม”
ไม่เคยมีใครได้ยินข่าวนี้มาก่อน ว่าคนที่ได้รับโอกาสในการฝึกเพิ่มที่สถาบันจะต้องมาตามจับพวกค้าของเถื่อนตลอด และวิธีการฝึกวิชาเช่นนี้ก็ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน
ตอนนี้เหล่านักศึกษาล้วนเรียกโจวเฉิงว่า ‘หัวหน้าโจว’ หาใช่เรียกตามตำแหน่งก่อนเข้ามาเรียนที่สถาบัน ในหมู่นักศึกษารุ่นเดียวกันย่อมมีคนที่ตำแหน่งสูงกว่าเขา ทว่าความสามารถของโจวเฉิงไม่ได้ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง ตอนปฏิบัติภารกิจเขาสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและเฉียบขาด ทำให้ทั้งภารกิจอยู่ภายใต้การควบคุม หากโจวเฉิงใจร้อนกว่านี้แม้เพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้ปลาใหญ่ตื่นตูม และหากไม่ละเอียดรอบคอบมากพอ ก็อาจจถูกปลาใหญ่ในคราบผู้ล่าลวงตาได้สำเร็จ
เรือลำที่ปลอมแปลงเป็เรือของตำรวจชายฝั่ง ภายในเรือบรรทุกอาวุธปืนมาจำนวนมหาศาล
ถ้าไม่ระวังตัวไว้ก่อนและบุกโจมตีอีกฝ่ายทันที ทางฝั่งนักศึกษาคงได้รับาเ็และเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่อย่างแน่นอน!
‘รองหัวหน้าทีม’ อย่างโจวเฉิงหลังจบภารกิจก็ได้ปลดตัวเองออกจากตำแหน่งทันที แต่คนอื่นยังคงเรียกเขาว่าหัวหน้านั่นก็เป็เพราะทุกคนให้การยอมรับในตัวเขา โจวเฉิงคาดคะเนสถานการณ์อย่างแม่นยำ กล้าหาญและรอบคอบ เขาคือผู้บัญชาการที่ผ่านมาตรฐาน อีกทั้งใน่เวลาสำคัญ เขายังกล้าที่จะก้าวออกมาปกป้องลูกน้อง ะุนัดนั้นเฉียดเส้นเืใหญ่ที่ขาของโจวเฉิงไปเพียงเล็กน้อย วิธีการปฏิบัติงานเช่นนี้ของเขาทำให้เพื่อนร่วมสถาบันล้วนให้การยอมรับได้อย่างง่ายดาย แม้ทุกคนจะมีตำแหน่งเทียบเคียงหรือสูงกว่ากับโจวเฉิงก็ตาม
เพราะเชื่อมั่นในการวิเคราะห์ของโจวเฉิง อีกฝ่ายจึงถามเขา และตั้งตารอเขาช่วยไขความกระจ่าง
“ผมไม่รู้” โจวเฉิงไม่เดาอย่างส่งเดช
แม้ในใจเขาจะมีคำตอบ แต่ก่อนได้รับคำสั่งอย่างแท้จริง เขาจะไม่มีวันพูดเหลวไหล สิ่งที่โจวเฉิงเรียนรู้มาจากสนามรบและมีประโยชน์มากที่สุดไม่ใช่การยิงปืน และไม่ใช่ทฤษฎีกลยุทธ์วางแผนรบ แต่เป็ ‘การระวังตัว’ นิสัยของเขาไม่ใช่พวกที่ยอมอยู่ในกรอบ มิเช่นนั้นเขาคงไม่ทำการค้าบุหรี่เก็งกำไร ทว่าในสนามรบเต็มไปด้วยภัยอันตรายรอบด้าน สถานการณ์ต่างๆ สามารถพลิกผันได้ทุกเมื่อ หากโจวเฉิงไม่ระวังตัวมากพอ สิ่งที่สูญเสียไปอาจจะไม่ใช่แค่ชีวิตของตัวเอง แต่อาจรวมไปถึงชีวิตของคนอื่นด้วย
เมื่อไม่ได้คำตอบจากปากของโจวเฉิง นักศึกษาก็ไม่รู้ว่าตนควรผิดหวังหรือปลาบปลื้มใจ ที่โจวเฉิงไม่ตอบคำถามให้ชัดเจน เป็เพราะโจวเฉิงไม่ใช่คนชอบพูดจาเหลวไหลสินะ
ทุกคนล้วนรู้สึกอยากรู้อยากเห็นว่าเผิงเฉิงเป็เมืองแบบไหน
น่าเสียดายที่เบื้องบนไม่อนุญาตให้เหล่านักศึกษาเดินเล่นในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เนื่องจากแก๊งลักลอบค้าของเถื่อนก็ระบาดที่เมืองนี้เช่นกัน ดีงนั้นความเคลื่อนไหวของทุกคนจึงต้องปิดเป็ความลับ สถานที่ตั้งค่ายจึงอยู่ค่อนข้างห่างไกลออกไปจากตัวเมือง และเหมือนกับตอนที่ไปถึงมณฑลิ่ พวกเขาต้องตั้งค่ายภายใต้ความมืดมิด
กลิ่นเค็มลอยโชยมาพร้อมกับลมทะเล
คนที่ไม่เคยเจอผืนทะเลกว้างใหญ่ย่อมรู้สึกตื่นเต้นเป็ธรรมดา
ตั้งค่ายริมทะเลก็เป็เื่สนุกได้เช่นกัน ทิวทัศน์เช่นนี้เหมือนสิ่งที่อยู่ในภาพยนตร์เหลือเกิน ลมทะเลพัดเข้าชายฝั่ง ใครบอกกันว่าฤดูหนาวของทางใต้ไม่หนาว?
โจวเฉิงกำลังคิดถึงแฟนสาวสุดที่รัก
หากเขาต้อง ‘บุกตะลุย’ อยู่ข้างนอกตลอดเวลาเช่นนี้ ถ้าเกิดแฟนของเขาไปเยี่ยมที่วิทยาลัยนั่นก็เท่ากับไปเสียเที่ยวมิใช่หรือ
อีกทั้งตอนนี้เขาก็ไม่อาจติดต่อกลับไปยังปักกิ่งได้ ไม่ใช่แค่โจวเฉิง แต่นักศึกษาทุกคนก็เป็เช่นนี้!
แผลที่ขาทั้งเจ็บทั้งคัน เพราะปากแผลกำลังสมานตัว
โจวเฉิงแบ่งบุหรี่สองซองที่หยิบติดตัวมาด้วยให้เพื่อนนักศึกษาหมดแล้ว ตอนนี้พอคิดถึงเสี่ยวหลานจึงอยากสูบบุหรี่สักมวนเพื่อทำใจให้เย็นลง แต่กลับหาไม่ได้แม้แต่ก้นบุหรี่!
“โจวเฉิง มานี่หน่อย”
ครั้งนี้โจวเฉิงสร้างผลงานไว้อย่างยอดเยี่ยม
ไม่มีใครปฏิเสธความดีความชอบของโจวเฉิงในครั้งนี้ นักศึกษาที่คุยกับโจวเฉิงเมื่อครู่ส่งสายตามา เขานึกว่าโจวเฉิงถูกเรียกไปรับคำชม
โจวเฉิงเดินเข้าเต็นท์มา สิ่งที่รอเขาอยู่คือใบหน้าเคร่งเครียดของคนสองคน
“โจวเฉิง พวกเรามีคำถามอยากถามคุณ หวังว่าคุณจะตอบตามความสัตย์จริง”
โจวเฉิงรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่แปลกประหลาด
“คุณรู้ได้อย่างไร ว่าเรือลำนั้นเป็พวกค้าของเถื่อนปลอมแปลงมา”
“คุณรู้หรือไม่ว่าหากคุณตัดสินใจผิดพลาด เรือค้าของเถื่อนจะหลุดรอดไปได้จำนวนมาก”
“ทั้งที่ควบคุมเรือค้าของเถื่อนไว้ได้แล้ว ทำไมถึงยังมีคนะโลงทะเลหนีไปได้อีก”
คำถามเหล่านี้ล้วนมีปัญหา แน่นอนว่าโจวเฉิงทำได้เพียงตอบตามจริงเท่านั้น
ในที่สุดอีกฝ่ายก็ถามคำถามสุดท้าย ก่อนจะวางเอกสารฉบับหนึ่งลงตรงหน้าเขา
“พานเป่าหัว คุณคงรู้จักผู้ชายคนนี้สินะ!”
เอกสารมีหลายหน้า บนนั้นมีรูปขาวดำขนาดเล็กแปะอยู่ พานเป่าหัวในรูปมีท่าทางซื่อๆ และยังไม่มีรอยแผลเป็ที่ดวงตา
ประวัติส่วนตัวของบุคคลหนึ่งถูกทางหน่วยงานรวบรวมมาได้หลายหน้า ในบางแง่มุมถือว่าเขาคนนี้ประสบความสำเร็จแล้ว
โจวเฉิงไม่อาจรอช้า เขาตอบกลับไปด้วยเสียงนอบน้อมว่า
“ขอรายงานครับ! ผมรู้จักครับ เขาเคยเป็เพื่อนร่วมงานของผม!”
“แค่อดีตเพื่อนร่วมงานอย่างนั้นหรือ? หลังพานเป่าหัวออกจากหน่วยงานไปอย่างผิดกฎ แต่คุณยังรักษาการติดต่อกับเขา! ส่วนเขาก็รวบรวมกลุ่มทหารปลดประจำการตั้งถิ่นฐานอยู่ระหว่างมณฑลิ่กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอนนี้ทางเราสงสัยว่าเขากำลังทำธุรกิจค้าของเถื่อน!”
โจวเฉิงเม้มปาก
นี่กำลังสงสัยว่าเขากับพี่พานซานแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างนั้นหรือ?
คิดว่าเขาส่งข่าวการบุกจับพวกลักลอบค้าของเถื่อนให้พานซานได้รู้ และทำให้คนของพานซานหนีรอดจากการล้อมจับในครั้งนี้ไปได้สินะ
ในทางกลับกันพานซานเป็คนให้ข้อมูลภายในของพวกค้าของเถื่อน ทำให้โจวเฉิงมีโอกาสได้สร้างผลงาน?
หากไม่ใช่เพราะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ โจวเฉิงคงขำออกเสียงไปนานแล้ว
ตรรกะนี้ดูไร้ช่องโหว่เสียอย่างนั้น!
เพียงแต่พานซานไม่มีทางทำธุรกิจค้าของเถื่อนที่มณฑลิ่อย่างแน่นอน
งานนี้ต้องเอาชีวิตของตนเองไปแขวนอยู่บนเส้นด้าย และพานซานไม่ได้ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่เขายังทำเพื่อเหล่ามิตรสหายด้วย ไหนจะบรรดาเพื่อนทหารที่ไม่รอดจากสนามรบ พวกเขาเ่าั้ล้วนมีครอบครัวที่ต้องดูแลทั้งสิ้น เงินชดเชยจากรัฐสามารถแก้ไขปัญหาชั่วคราวได้ก็จริง แต่ระยะยาวจะทำอย่างไรเล่า
แล้วทหารที่ยังไม่ตาย แต่ต้องพิการสาหัสล่ะ?
โจวเฉิงส่ายศีรษะไปมา
“ก่อนสหายพานเป่าหัวจะออกจากหน่วยงานเขาเป็บุคลากรที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นหลังออกไปแล้วเขาไม่มีทางทำการค้าของเถื่อนซึ่งผิดต่อกฎหมายของประเทศบ้านเกิดหรอกครับ และผมไม่ได้รับข่าวจากสหายพานเป่าหัวล่วงหน้า ยินดีให้ทางหน่วยงานตรวจสอบอย่างเต็มที่ครับ!”
เอกสารถูกปิดลงอีกครั้ง
ทว่าสีหน้าตึงเครียดของพวกเขาหาได้ผ่อนคลายขึ้น
“โจวเฉิง ก่อนการตรวจสอบจะเสร็จสิ้น คุณห้ามติดต่อกับโลกภายนอกอีก ส่วนภารกิจครั้งหน้า ผมไม่อนุญาตให้คุณมีส่วนร่วม ขอให้คุณเตรียมใจให้พร้อม และให้ความร่วมมือกับการตรวจสอบของพวกเรา”
เมื่อไรการตรวจสอบจะเสร็จสิ้น?
เื่นี้คงพูดยาก
—--------------------------------------------------
เซี่ยเสี่ยวหลานเดินออกจากบ้านแล้วจามทันที
ย่าอวี๋บอกว่าจะไล่ความชื้นในบ้าน เพราะสองวันนี้ระบบทำความร้อนทำงานอยู่ตลอดเวลา ทำให้อุณหภูมิในบ้านต่างจากนอกบ้านเป็อย่างมาก
จู่ๆ เซี่ยเสี่ยวหลานก็รู้สึกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ทว่าเธอไม่มีเวลาครุ่นคิด เพราะทังหงเอินมาถึงแล้ว
่กลางวันเช่นนี้ เดิมทีทังหงเอินสามารถมาอย่างเงียบๆ ได้ แต่สุดท้ายเขาก็บอกให้เสี่ยวหวังขับรถมาส่ง
ั้แ่นี้บ้านหลังนี้จะเป็ที่อยู่อาศัยของเซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวเฟิน สองแม่ลูกย้ายมาจากต่างเมือง อีกทั้งยังเป็สหายหญิงทั้งคู่ การทำให้เพื่อนบ้านคาดเดาไปว่าพวกเธอมีประวัติความเป็มาที่ไม่ธรรมดา ย่อมดีกว่าปล่อยให้มีคนคิดรังแกสองแม่ลูกเพียงเพราะมาจากต่างถิ่น
ทังหงเอินกับเสี่ยวหวังไปเลือกซื้อดอกไม้หลายกระถางมาจากตลาดดอกไม้ั้แ่เช้าตรู่ เพื่อมอบให้เป็ของขวัญต้อนรับการขึ้นบ้านใหม่ให้แก่เซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟิน
หลังเข้ามาภายในบ้านมาก็เต็มไปด้วยไออุ่น อาหารเป็ฝีมือของหลิวเฟินทั้งหมด แม้ไม่ใช่อาหารเลิศรสระดับภัตตาคาร แต่ล้วนเป็อาหารพื้นบ้านของมณฑลอวี้หนานทั้งสิ้น
ทังหงเอินอยู่ที่อวี้หนานมานานหลายปี แน่นอนว่าเขาคุ้นชินกับรสชาติอาหารอวี้หนาน
มีคนบอกว่าอาหารอวี้หนานไม่มีชื่อเสียง แต่ทังหงเอินไม่ได้ยึดติดกับเื่แบบนั้น อาหารที่กินแล้วสบายใจล้วนคืออาหารเลิศรส เมื่อครั้งที่เขาแต่งงานกับจี้หย่าและสองสามีภรรยารักกันดี แม้จี้หย่าจะทำอาหารไม่เป็ แต่เธอก็เคยลองทำอาหารให้ทังหงเอินทาน ทว่ากลับเกือบทำห้องครัวไหม้ หลังจากนั้นพวกเขาจึงกินอาหารที่โรงอาหารของหน่วยงานเท่านั้น
ทังหงเอินเดินเข้าบ้านมาก็เห็นอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ ในขณะที่หลิวเฟินยืนอยู่และยังไม่ได้ปลดผ้ากันเปื้อนที่เอวออก ภาพตรงหน้าช่างให้ความรู้สึกของความเป็บ้านเหลือเกิน
“คุณทัง รีบนั่งสิคะ ยังเหลืออาหารอีกอย่าง ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะค่ะ”
หลิวเฟินนึกไม่ถึงว่าทังหงเอินจะมาเร็วถึงเพียงนี้ แถมยังมาพร้อมกับดอกไม้อีกหลายกระถางด้วย
เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ทันเดินไปหา ย่าอวี๋ก็ลากเธอเข้าไปในครัวทันที
“ไป กับข้าวอีกอย่างเป็หน้าที่ของเธอ”
หา?
อาหารที่เธอทำรสชาติแย่ขนาดนั้น ย่าอวี๋พูดอะไรผิดไปหรือเปล่า!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้