หลังจากพักค้างคืนในโรงเตี๊ยมมาหนึ่งคืน ในรุ่งอรุณของเช้าวันถัดไป กลุ่มคนทั้งสามได้ออกเดินทางไปยังเมืองอันหนานต่อทันที เพียงแต่คราวนี้มีไป๋จื่อเยว่เพิ่มขึ้นมาด้วยอีกคน
ทว่าอาชาไนยนั้นมีเพียงแค่สามตัว ดังนั้นไป๋จื่อเยว่และมู่ขวงจึงต้องใช้อาชาร่วมกัน
“คุณชาย เด็กหนุ่มผู้นี้ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดา”
ขณะที่มู่งจงและมู่เฟิงควบอาชาไนยไปข้างหน้า มู่จงก็ได้หันไปกล่าวกับอีกฝ่าย
“หื้ม ไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาอย่างไร?”
มู่เฟิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เมื่อวานตอนที่ข้าส่งคลื่นพลังชีวิตเข้าไปสำรวจปราณกระดูกของเขา ข้ากลับพบว่าร่างกายของเขาสามารถดูดซับพลังชีวิตจากข้าได้ แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ข้าก็ััได้เช่นนั้น”
มู่จงกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“มีเื่เช่นนี้ด้วย!”
มู่เฟิงหันกลับไปมองทางมู่ขวงและไป๋จื่อเยว่ที่อยู่ด้านหลังด้วยความประหลาดใจ
“สามารถดูดซับพลังชีวิตได้...”
มู่เฟิงขมวดคิ้ว เขาติดตามบิดาของตัวเองมานานหลายปี เคยได้พบเหล่ายอดฝีมือมากมายในกองทัพ แน่นอนว่าเขาย่อมได้เรียนรู้จากอีกฝ่ายมาไม่น้อย ดังนั้นความรอบรู้ของเขาจึงค่อนข้างกว้างขวาง
ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินว่านอกจากปราณกระดูกและกระดูกิญญาแล้ว บนโลกนี้ยังมีกลุ่มคนที่มีร่างกายพิเศษดำรงอยู่ โดยพวกเขาจะมีความสามารถพิเศษที่คนทั่วไปไม่มี
บางคนเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการควบคุมเปลวไฟ บางคนสามารถต้านทานแรงะเิได้ และบางคนก็มีความสามารถในการสื่อสารกับเหล่าสรรพสัตว์เป็ต้น
แน่นอนว่าบุคคลเช่นนี้มีจำนวนเพียงน้อยนิดเท่านั้น กระทั่งหนึ่งในล้านยังพบเห็นได้ยาก จากข่าวลือได้บอกว่าหนทางในการฝึกยุทธ์ของคนกลุ่มนี้ เรียกได้ว่าเป็หนทางแห่งยอดอัจฉริยะเลยทีเดียว
“หรือไป๋จื่อเยว่ผู้นี้จะมีร่างกายพิเศษ?”
มู่เฟิงครุ่นคิดกับตัวเอง เพียงแต่คุณสมบัติที่สามารถดูดซับพลังชีวิตได้ เขายังไม่เคยได้ยินมาก่อน
พลังชีวิตนั้นเป็เสมือนพละกำลังของผู้ฝึกยุทธ์ โดยปกติแล้ว คนนอกไม่สามารถดูดซับเพื่อนำไปใช้เองได้
“เื่นี้เอาไว้ก่อน ถึงเมืองอันหนานแล้วค่อยว่ากัน”
มู่เฟิงส่ายหน้าก่อนจะเลิกคิดมาก เขาเร่งควบอาชาและมุ่งหน้าต่อไป
ในเวลาเกือบเที่ยงวัน เบื้องหน้าของพวกเขาได้ปรากฏภาพของเมืองแห่งหนึ่งขึ้นในคลองสายตา แม้ระยะทางจะยังคงห่างไกล แต่ก็ยังสามารถมองเห็นกำแพงเมืองที่สร้างขึ้นจากหินและมีร่องรอยของอาวุธมีคมที่ปรากฏอยู่บนนั้นได้ สิ่งเหล่านี้คือหลักฐานที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ในอดีตของเมือง
“ฮ่าๆ พี่เฟิง นั่นคือเมืองอันหนานใช่หรือไม่?”
มู่ขวงหัวเราะเสียงดัง
“ถูกต้อง นั่นคือเมืองอันหนาน”
มู่เฟิงเผยยิ้มออกมาทันที หลังจากควบอาชาไนยเดินทางติดต่อกันมาหลายวัน ในที่สุดเขาก็จะสามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่เสียที
“เมืองอันหนาน ข้าเพียงเคยได้ยินผู้คนพูดถึง แต่ยังไม่เคยมาที่นี่มาก่อน”
ไป๋จื่อเยว่กล่าวอย่างตื่นเต้น
หลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มของพวกเขาก็เดินทางมาถึงหน้าประตูเมือง บริเวณนี้จะมีทหารชุดเกราะกลุ่มหนึ่งคอยเฝ้าอยู่ แต่ไม่ได้ทำการตรวจสอบผู้คนที่เข้าออก
เวลานี้ยังมีกลุ่มคนอีกนับสิบคนที่กำลังยืนรออยู่ตรงหน้าประตูเมืองอย่างใจจดใจจ่อ โดยผู้นำของกลุ่มคนเ่าั้ก็คือชายชราในชุดคลุมสีดำ แม้จะอยู่ในวัยหัวหงอกแล้ว แต่ท่าทางของเขายังคงกระฉับกระเฉง
ส่วนคนอื่นๆ ในกลุ่มก็มีทั้งคนที่อยู่ในวัยกลางคนและคนที่อยู่ในวัยเยาว์ เมื่อคนกลุ่มนี้เห็นคณะของมู่เฟิงที่กำลังควบอาชาไนยตรงมายังหน้าประตูเมือง พวกเขาก็รีบออกมาต้อนรับอีกฝ่ายในทันที ชายชรายิ้มกว้างพร้อมกล่าวว่า “คุณชายมู่เฟิง ในที่สุดพวกท่านก็มาถึงแล้ว!”
“ฮ่าๆ ท่านลุงฝู ไม่ได้เจอท่านมานานหลายปี แต่ท่านยังดูเหมือนเดิมเลย”
มู่เฟิงก้าวลงจากหลังอาชา ก่อนเดินเข้ามาหาอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มกว้าง
ชายชราผู้นี้มีนามว่ามู่ฝู เป็สมาชิกของตระกูลมู่ในเมืองอันหนาน มู่เฟิงเคยพบกับอีกฝ่ายเมื่อสมัยที่ตนยังเป็เด็ก
“ช่างดีเหลือเกินที่คุณชายยังจดจำตาแก่ผู้นี้ได้ แต่เวลานี้ร่างกายของข้าได้แก่ชราลงมากแล้ว อีกทั้งยังย่ำแย่ลงทุกวัน ก่อนอื่นข้าจะแนะนำให้คุณชายเฟิงได้รู้จักกับบรรดาเสาหลักของตระกูลเสียก่อน”
ลุงฝูได้กล่าวแนะนำคนเ่าั้ให้มู่เฟิงได้รู้จัก และขณะที่กำลังจะแนะนำเหล่าคนรุ่นเยาว์ เขากลับชะงักไปครู่หนึ่ง
หนึ่งในนั้นเป็หนุ่มน้อยที่มีอายุมากกว่ามู่เฟิงสองปี สีผิวของเขาคล้ำเล็กน้อย ร่างสูงกำยำ และสวมชุดคลุมสีดำ
ส่วนเด็กสาวอีกคนนั้นมีรูปร่างบอบบางน่าเอ็นดู คิ้วของนางโค้งโก่งดุจใบหลิว ดวงตากลมโตเหมือนเมล็ดซิ่ง ใบหน้ารูปไข่ดูอวบอิ่มราวกับเมล็ดแตงโม นางสวมใส่ชุดกระโปรงสีคราม
“ส่วนสองคนนี้คือมู่ชางและมู่หลานใช่หรือไม่?”
เมื่อเห็นคนทั้งคู่มู่เฟิงได้ส่งยิ้มให้อีกฝ่าย พร้อมยื่นมือออกไป
“คุณชายเฟิง ท่านยังจำพวกเราได้ด้วย”
มู่หลานยิ้มหวานพร้อมยื่นมือออกมาจับมือของมู่เฟิง จากน้ำเสียงอันนุ่มนวลของนางเห็นได้ชัดว่ากำลังเขินอาย
“มู่เฟิง ข้าไม่ได้พบเ้ามานานหลายปี ได้ยินมาว่าเ้ากลายเป็คนไร้ประโยชน์ไปแล้ว จริงหรือ?”
มู่ชางจงใจเอ่ยปากถามด้วยท่าทีเป็ปรปักษ์
ในอดีตเขาเคยต่อสู้กับมู่เฟิง แต่ทุกครั้งล้วนเป็เขาที่ถูกอีกฝ่ายทุบตี
รอยยิ้มของมู่เฟิงชะงักลงทันใดเมื่อได้ยินเื่นี้
“มู่ชาง!”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งตวาดออกมาทันที “เหตุใดจึงพูดกับคุณชายเฟิงเช่นนั้น”
“เดิมทีทั่วทั้งอาณาจักรหนานหลิงต่างก็รู้เื่นี้กันหมดแล้ว ข้าพูดอะไรผิดกันเล่า”
มู่ชางตอกกลับอย่างเ็า
“เ้า…”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นยกมือขึ้นหมายจะตีมู่ชาง ทว่ามู่เฟิงกลับคว้ามือของเขาเอาไว้ก่อน
“ช่างเถอะขอรับท่านอาเจียง มู่ชางพูดถูก เส้นลมปราณของข้าถูกทำลายไปแล้ว”
มู่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มจาง โดยไม่มีท่าทีโกรธเคือง
“ต้องขออภัยคุณชายเฟิง เ้าเด็กผู้นี้ั้แ่เล็กจนโตก็ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
มู่เจียงทำได้เพียงยิ้มเจื่อนพร้อมกล่าวขออภัย ั์ตาของเขามีร่องรอยของความเสียใจพาดผ่าน
“คนตระกูลมู่เหมือนกัน ไม่มีใครต่ำใครสูงไปกว่ากันหรอก ไม่เป็ไร ท่านลุงฝู พวกเราเข้าเมืองกันเถอะ”
มู่เฟิงไม่ได้ใส่ใจเื่นี้ เขา้าที่จะเดินทางเข้าเมืองเพื่อกลับจวนเต็มทีแล้ว
“ฮึ่ม เ้าหนุ่ม คราวหน้าหากเ้ากล้าพูดจาไร้มารยาทอีก ข้าจะจัดการเ้าแน่”
มู่ขวงเดินเข้าไปหามู่ชาง พลางกล่าวเตือนอย่างเ็า
“เ้าก็ลองดูได้”
มู่ชางตอกกลับด้วยใบหน้าเ็าเช่นกัน
ทุกคนต่างเดินเข้าเมือง ในระหว่างนั้นมู่เฟิงและลุงฝูได้พูดคุยสนทนาเกี่ยวกับเื่ของตระกูลมู่ เมื่อพูดมาถึงเื่บิดาของมู่เฟิง ลุงฝูก็ทอดถอนใจออกมา
ขณะที่กลุ่มของพวกเขากำลังเดินอยู่บนถนน ฉับพลันนั้นได้มีอาชาหลายตัวควบผ่านอย่างรวดเร็ว โดยอาชาตัวแรกนั้นมีเกล็ดสีดำทั่วทั้งตัว บนหลังของมันคือเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีเหลือง เพียงเหลือบมองก็รู้ได้ทันทีว่าเป็ผ้าไหมราคาแพง
สิ่งมีชีวิตนี้ถูกเรียกว่าอาชาไนยเกล็ดดำ เป็สัตว์อสูรที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับขั้นที่แปดเป็อย่างต่ำ
ผู้คนบนถนนต่างรีบหลีกทางกันอย่างรวดเร็ว ทว่าบนถนนนั้นกลับยังมีเด็กน้อยอายุราวๆ เจ็ดแปดขวบผู้หนึ่งที่ไม่สามารถหลบหลีกได้ทัน เขาถูกคนชนจนล้มลงกลางถนน ในขณะเดียวกันอาชาไนยเกล็ดดำก็กำลังวิ่งตรงเข้ามา
“แงง…”
เมื่อเด็กน้อยได้เห็นภาพนี้ เขาก็ยิ่งใกลัวจนทำอะไรไม่ถูก ทำได้เพียงนั่งร้องให้อยู่ที่เดิม
“ระวัง!”
เมื่อเห็นเช่นนั้น มู่เฟิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปในทันที มือของเขามีประกายแสงแวบผ่าน ฉับพลันนั้นดาบเล่มหนึ่งได้ปรากฏขึ้น จากนั้นเด็กหนุ่มก็เหวี่ยงดาบในมือไปทางอาชาไนยเกล็ดดำทันใด
วืด!
ดาบเล่มนั้นถูกเหวี่ยงไปยังด้านหน้าของอาชาไนยเกล็ดดำ และเกือบจะตัดขาข้างหนึ่งของมันขาด
“ฮี้…!”
อาชาไนยเกล็ดดำส่งเสียงร้องออกมาทันที ก่อนที่ร่างของมันจะล้มลงห่างจากตัวเด็กน้อยไปห้าหกเมตร ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนที่ควบอยู่บนหลังอาชาได้ร่วงตกลงมาด้านข้างอย่างรุนแรง เหตุการณ์นี้ทำให้เขารู้สึกอับอายเป็อย่างมาก
“คุณชาย”
เหล่าผู้คุ้มกันหลายคนที่อยู่ด้านหลังต่างวิ่งกรูเข้ามาประคองคุณชายของพวกเขา
เด็กหนุ่มผู้นั้นมองไปยังมู่เฟิงที่กำลังเข้าไปช่วยเหลือเด็กน้อยด้วยสายตาเดือดดาล
“เ้าหนู ไม่เป็อะไรใช่หรือไม่?”
มู่เฟิงพยุงตัวเด็กน้อยขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยถามอีกฝ่าย
“ไม่เป็อะไรแล้วขอรับ ขอบคุณท่านมากนะขอรับ”
เด็กน้อยปาดน้ำตาพลางกล่าวขอบคุณ ก่อนจะรีบวิ่งหนีไป
ในเวลาเดียวกันนั้น เด็กหนุ่มในชุดคลุมสีเหลืองได้สาวเท้าเข้ามาพร้อมกับเหล่าผู้คุ้มกันหน้าโหดอีกหลายคน “เ้าหมอนี่ เ้ากำลังรนหาที่ตายอยู่หรือถึงได้กล้าทำร้ายม้าของข้า!”
สีหน้าของมู่เฟิงพลันเปลี่ยนเป็เ็า เขาชำเลืองมองอีกฝ่ายก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เ้าไม่เห็นหรือว่าเ้าเกือบจะชนคนตายอยู่แล้ว?”
“ชนตายแล้วอย่างไร ชีวิตของเ้าเด็กนั่นสามารถเทียบกับอาชาไนยเกล็ดดำของข้าได้หรือ วันนี้เ้ากล้าทำร้ายข้า เ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็ใคร? เสี่ยวเหยีย*จะหักข้าของเ้าเอง”
(*หมายถึงนายท่านที่อายุน้อย ใช้เรียกตัวเองเพื่อข่มคู่สนทนา)
เด็กหนุ่มในชุดสีเหลืองกล่าวขึ้นพร้อมกับโบกมือทันที ทันใดนั้นผู้คุ้มกันทั้งห้าคนก็ได้เข้ามาล้อมรอบมู่เฟิงเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“เ้าหนุ่ม เ้ากล้าดีอย่างไรมาทำร้ายอาชาของคุณชายพวกข้า คงไม่้ามีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ”
ผู้คุ้มกันหลายคนได้ล้อมมู่เฟิงเอาไว้ด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะปล่อยหมัดตรงเข้าใส่มู่เฟิง
มู่เฟิงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับ เพียงมองอีกฝ่ายอย่างเ็า ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังพุ่งตัวเข้ามาต่อยตนเองเท่านั้น
เมื่อหมัดนั้นเข้ามาใกล้ร่างของมู่เฟิงจนระยะห่างเหลือเพียงไม่กี่ฟุต ก็ได้ปรากฏร่างกำยำของคนผู้หนึ่งขึ้นมาขวางร่างของมู่เฟิงเอาไว้อย่างรวดเร็ว กำปั้นที่กำลังพุ่งเข้ามานั้นถูกหยุดเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ก่อนที่วินาทีถัดมาเ้าของหมัดจะถูกเตะจนกระเด็น
พลั่ก...!
โครม...!
“อ๊าก…”
ผู้คุ้มกันกรีดร้องโหยหวนออกมา ร่างของเขากระเด็นออกไปไกลกว่าสิบเมตร พร้อมกับท่อนแขนที่ถูกฉีกขาด
“กล้าดีอย่างไรมาลงมือกับคุณชายของข้า พวกเ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ!”